รู้ยัง! จิตแพทย์ VS นักจิตวิทยา แตกต่างกันยังไงนะ

พบจิตแพทย์ = การรักษา
พบนักจิตวิทยา  =  พูดคุย ปรับความคิด
ฟื้นฟูจิตใจให้กลับมาเข้มแข็ง

ทุกคนรู้ไหมคะว่าการหาหมอจิตแพทย์กับการไปหานักจิตวิทยาต่างกันอย่างไร ทุกคนคงรู้ว่าทั้งจิตแพทย์และนักจิตวิทยา เป็นคนที่ช่วยดูแลใจของเราทั้งคู่ ทุกวันนี้มีผู้คนจำนวนมากที่หันมาใส่ใจและให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตมากขึ้น ถึงแม้ว่ายังมีคนบางส่วนที่ยังเข้าใจว่าคนที่ไปหาจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา จะต้องเป็นคนที่ประสบปัญหาสุขภาพจิตค่อนข้างหนัก แต่แท้จริงแล้วการไปพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา ไม่ต้องประสบปัญหาด้านสุขภาพจิตก็สามารถไปพบได้ เช่น รู้สึกไม่สบายใจ กลุ้มใจ มีปัญหาทางด้านความรัก หรือ ครอบครัว ฯลฯ

ในประเทศไทยการพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา เพื่อปรึกษาเรื่องเหล่านี้ อาจจะไม่ใช่เรื่องแพร่หลายเหมือนในต่างประเทศ และถูกมองเป็นเรื่องไกลตัว ทำให้หลายคนไม่กล้าไปพบจิตแพทย์ นักจิตวิทยา หรือบางคนอาจจะไม่รู้ว่าตัวเองมีปัญหาทางด้านสุขภาพใจ เพราะการป่วยทางใจอาจไม่ได้แสดงอาการชัดเจนเหมือนป่วยทางกายนั่นเองค่ะ

หลายคนคงสงสัยว่าหากเราต้องการไปปรึกษาทางด้านสุขภาพจิตเราควรไปหาจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาดีนะ? คนที่จะไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพใจต้องถามตัวเองดูก่อนว่าตัวเองต้องการขอความช่วยเหลือแบบไหน หากสิ่งที่เราเป็นอยู่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของเรา ทำให้เราไม่สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติ ต้องหาวิธีจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องการการวินิจฉัยโรค หาสาเหตุของอาการ หรือรับยาเพื่อบรรเทาอาการควรไปหาจิตแพทย์ แต่ถ้าหากต้องการคนที่คอยให้คำปรึกษา พูดคุย ระบาย ปรับความคิดและพฤติกรรม ควรไปหานักจิตวิทยาให้คำปรึกษา เพื่อดูแลและโอบกอดจิตใจของตัวเองค่ะ

หากเปรียบเทียบจิตแพทย์และนักจิตวิทยาเหมือนการซ่อมแซมบ้านสักหลังหนึ่ง จิตแพทย์ ก็เปรียบได้กับสถาปนิก ที่คอยออกแบบซ่อมแซมบ้านที่มีโครงสร้างร้าว ให้มีความปลอดภัย และนักจิตวิทยาก็เปรียบกับมัณฑนากร ที่คอยออกแบบตกแต่งภายในให้บ้านน่าอยู่ มีพื้นที่ใช้สอยตามความต้องการของเรา เพื่อให้เราใช้ชีวิตในบ้านอย่างมีความสุข สนุกและสบายนั่นเองค่ะ 

วันนี้ Mental Life by Chanisara จะชวนทุกคนมาทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างการไปพบจิตแพทย์และนักจิตวิทยาเพื่อดูแลและโอบกอดหัวใจของตัวเราเองกันค่ะ

จิตแพทย์ VS นักจิตวิทยา มีความแตกต่างกันยังไงนะ?

เราเชื่อว่าหลายคนคงสงสัยกันใช่ไหมคะ ว่าถ้าเรารู้สึกไม่สบายใจ หรือเจ็บป่วยทั้งใจเราควรไปพบใครระหว่างจิตแพทย์กับนักจิตวิทยา

 อย่างแรกเลยเราต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่าต้องการความช่วยเหลืออะไรจากเขา หากรู้สึกว่าสิ่งที่เราเป็น กำลังรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของเรา ทำให้เราไม่สามารถเรียน ทำงาน หรือใช้ชีวิตได้อย่างปกติ เช่น รู้สึกเศร้ามาก ท้อแท้ใจ ไม่อยากออกไปทำงาน อยากร้องไห้ตลอดเวลา ต้องการรักษาให้หาย ต้องการคนที่วินิจฉัยโรค หรือหาคำตอบความรู้สึกที่เกิดขึ้น พฤติกรรมที่เกิดขึ้น เพื่อรักษา เยียวยาจิตใจของเรา หรือสงสัยว่าโรคที่เป็นถึงขนาดต้องกินยารักษาหรือเปล่า ก็ควรไปปรึกษาจิตแพทย์ 

เพราะจิตแพทย์ถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการวินิจฉัยโรค มีใบประกอบวิชาชีพแพทย์ และรักษาโรคทางใจของเราได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคซึมเศร้า ไบโพล่า แพนิก ฯลฯ รวมถึงการป้องกันความผิดปกติทางสุขภาพจิต วางแผนการรักษา การบำบัดอาการ การให้ยา ซึ่งการให้ยาเป็นหน้าที่ของจิตแพทย์เท่านั้น นักจิตวิทยาไม่สามารถสั่งยาได้

แต่ถ้าหากรู้สึกไม่สบายใจ ต้องการพื้นที่ระบาย ต้องการคนให้คำปรึกษา รู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจเรา ให้ไปหานักจิตวิทยา เพราะ นักจิตวิทยาจะเน้นการเข้าใจความรู้สึก และพฤติกรรม ปรับความคิด ปรับทัศนคติ เป็นพื้นที่ปลอดภัย รับฟัง และฟื้นฟูจิตใจของมนุษย์เรา 

นักจิตวิทยาจะเน้นทำความเข้าใจพฤติกรรม เพื่อช่วยให้เรารับมือกับความท้าทายทางด้านความรู้สึก จิตใจ และการแสดงออก เพื่อให้รับมือกับอารมณ์และจิตใจของตัวเองได้ดีขึ้น เช่น หากมีเรื่องฝังใจในวัยเด็กรู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจ ทำให้เรารู้สึกไม่สบายใจ หรือไม่สามารถหลุดออกจากความรู้สึกนั้นได้สักที เราก็ควรจะปรึกษานักจิตวิทยามากกว่าการไปพบจิตแพทย์ หรือคนที่อาจจะมีปัญหาครอบครัว ความสัมพันธ์กับคนรัก ความสัมพันธ์กับลูก ไม่เข้าใจลูก ไม่เข้าใจคนรัก ก็อาจจะมาปรึกษานักจิตวิทยาเพื่อพูดคุยและหาทางออกได้เช่นกันค่ะ 

จิตแพทย์ = นักจิตวิทยา เหมือนกันตรงไหนนะแล้วทำไมบางคนถึงสับสน

จิตแพทย์และนักจิตวิทยา เหมือนกันตรงไหนนะ วันนี้เราจะพาทุกคนมาหาคำตอบกัน 

ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสุขภาพจิตทั้งจิตแพทย์และนักจิตวิทยา มีหน้าที่หลักที่เหมือนกันอันเป็นกุญแจสำคัญ คือ การดูแลความรู้สึกของมนุษย์และฟื้นฟูจิตใจของเราให้กลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง รวมถึงจิตแพทย์และนักจิตวิทยา ต้องมีความเชี่ยวชาญทางด้านจิตวิทยา สามารถทำจิตบำบัดได้เหมือนกันค่ะ

ถ้าหากทุกคนรู้สึกไม่สบายใจและสิ่งที่เป็นกำลังรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน อย่าลืมไปพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาเพื่อหาทางออกกันนะคะ 

ทำไมการดูแลจิตใจของเราถึงสำคัญ

การดูแลจิตใจสำคัญไม่แพ้การดูแลร่างกายเลยนะคะ เรื่องของจิตใจเป็นเรื่องที่หลายคนมองข้าม การดูแลจิตใจของตัวเอง คือ การใส่ใจและเข้าใจความรู้สึกของตัวเอง รักตัวเอง ถือเป็นเรื่องที่สำคัญต่อเราทุกคน เพราะถ้าสุขภาพจิตดี เราก็จะมีความสุขในการใช้ชีวิตในทุกๆ วัน ทำให้สามารถรับมือกับความรู้สึกและอารมณ์ของตัวเองได้ดีขึ้นด้วย รวมถึงสามารถแก้ปัญหาที่เราประสบพบเจอในชีวิตประจำวันได้ และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะสามารถก้าวผ่านทุกเหตุการณ์ไปได้ด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง เรายังเชื่ออีกว่าหากสุขภาพใจเราดีสุขภาพกายเราก็จะดีตามไปด้วยค่ะ 

How to วิธีดูแลสุขภาพใจ เพื่อทำให้จิตใจผ่องใสและมีความสุขในทุกๆ วัน

ขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะเป็นนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ ให้ช่วยดูแลเมื่อมีปัญหาทางใจ เพื่อฟื้นฟูจิตใจของเราทุกคนค่ะ 

การฝึกมองโลกในแง่บวก จะช่วยให้เราสบายใจขึ้น หลายคนอาจจะคิดว่าการฝึกมองโลกในแง่บวกทำยากใช่ไหมล่ะคะ แต่ถ้าเราค่อยๆ ฝึกไปเรื่อยๆ เราจะคิดบวกได้โดยอัตโนมัติเองค่ะ

พบเจอ คนใหม่ๆ จะช่วยให้ภูมิคุ้มกันทางใจดีขึ้น ช่วยให้เราเห็นคุณค่าในตัวเอง 

รวมถึงได้เรียนรู้ประสบการณ์จากคนอื่นๆ อีกด้วย

ฝึกสติอยู่กับปัจจุบัน จะทำให้สภาพจิตใจของเราดีขึ้นได้ รู้สึกสนุกกับชีวิตและเข้าใจตัวเองได้มากขึ้น และพร้อมที่จะแก้ปัญหา รับมือกับสิ่งต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิต

การออกกำลังกาย จะทำให้เราสดใสมากยิ่งขึ้น สามารถเปลี่ยนแปลงสารเคมีในสมอง ทำให้เราอารมณ์ดีขึ้นได้ค่ะ

หากเรากำลังประสบปัญหาทางใจ สามารถไปพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา เพื่อดูแลฟื้นฟูจิตใจให้กลับมาเข้มแข็งกันนะคะ


Source

https://www.youtube.com/watch?v=7PuGjfHL4SU 

https://www.nu.edu/blog/psychologist-vs-psychiatrist-whats-the-difference/ 

https://www.nhs.uk/mental-health/self-help/guides-tools-and-activities/five-steps-to-mental-wellbeing/ 

Related Articles

breast cancer

5 เรื่องที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้เกี่ยวกับมะเร็งเต้านม

ทุกคนรู้ไหมคะว่ามะเร็งเต้านม อาจจะไม่ใช่เรื่องไกลตัวอย่างที่หลายคนคิด และไม่ได้เกิดได้กับแค่ผู้หญิงอย่างที่หลายคนเข้าใจ  เพราะผู้ชายก็สามารถเป็นมะเร็งเต้านมได้เหมือนกันและ มะเร็งเต้านมเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัยไม่ใช่เพียงแค่ผู้ใหญ่เท่านั้น 🤍  ในทุกวันนี้มีผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านมกว่า 2.3 ล้านคนทั่วโลก (ข้อมูลล่าสุดปี 2022)  เราทุกคนจึงควรตระหนักรู้และตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่จะได้รู้เท่าทันและห่างไกลจากโรคมะเร็งเต้านมค่ะ  หลายคนรู้สึกกลัวและไม่กล้าไปตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม เพราะอาจจะคิดว่าเราไม่เป็นหรอก เรายังอายุไม่มาก หลายคนจึงอาจไม่ได้ใส่ใจสุขภาพเท่าที่ควรนัก แต่ทุกคนรู้ไหม จริงๆ แล้ว

International Day for Tolerance

ความแตกต่าง ≠ ความแปลกแยก เราทุกคนควรได้รับสิทธิอย่างเท่าเทียม

ความแตกต่าง ≠ ความแปลกแยก แต่เราทุกคนต้องได้รับโอกาสใช้ชีวิตในสังคม และถูกยอมรับด้วยหัวใจ ทุกคนว่าไหมคะบนโลกใบนี้มีคนที่แตกต่างกันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นด้านสีผิว ความพิการ ชาติ ศาสนา วัฒนธรรม ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ หรือแม้แต่คนที่มีข้อจำกัดในการใช้ชีวิตในสังคม ไม่ว่าจะเป็นสาวพลัสไซส์ คนผิวเผือก คนแก่ หรือคนที่ต้องการความช่วยเหลือในด้านต่างๆ ไม่ว่าเขาจะเป็นใครเขาควรได้รับสิทธิ์ใช้ชีวิตขั้นพื้นฐานในสังคมเหมือนกับทุกๆ คน เช่น

single

เพราะไม่ว่าเราจะเป็นโสด หรือ มีคู่เราจะต้องเป็นแสงสว่างที่นำทางชีวิตตัวเอง

ไม่ว่าจะโสดหรือมีคู่ เราต้องมีความสุขและเป็นเทียนที่ส่องสว่าง นำทางชีวิตตัวเองให้ได้  ทุกคนรู้ไหมว่าในปัจจุบันมีคนโสดทั่วโลกอยู่ประมาณ 2.12 พันล้านคน หรือราว 27% ของประชากรโลกเลยนะ และมีการคาดการณ์ว่าคนโสดจะมีสูงขึ้นเรื่อยๆ (ข้อมูลล่าสุด ปี 2023) ทุกคนคิดว่าการที่เป็นคนโสด เราต้องรู้สึกเหงาจริงหรือเปล่านะ มีหลายผลการวิจัยบอกว่าการเป็นโสดทำให้เหงากว่าคนมีคู่นิดหน่อย แต่ทำไมมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังเป็นโสดกันล่ะ อาจเป็นเพราะอยากอยู่คนเดียว ไม่ชอบออกจากบ้าน ชอบนอนดูซีรีส์