อีกแค่ไม่กี่เดือน เราก็จะเดินทางเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของปี 2025 กันแล้วค่ะ โดยเดือนพฤศจิกายนมองผ่านๆ อาจจะไม่มีวันหยุดสำคัญเหมือนเดือนอื่น แต่ทุกคนรู้ไหมคะว่าแท้จริงแล้วมีวันสำคัญที่อยากชวนให้ทุกคนมาให้ความสนใจไปพร้อมกันอย่าง ‘วันคนพิการแห่งชาติ’ นอกจากนี้เดือนพฤศจิกายนยังเป็น ‘เดือนแห่งการฟังแห่งชาติ’ ด้วยค่ะ วันนี้แสนสิริจึงอยากชวนทุกคนมารับชมรับฟังภาพยนตร์และซีรีส์ของชีวิตคนที่ไม่ย่อท้อต่อความแตกต่าง คนพิการ ที่สร้างแรงบันดาลใจไปด้วยกันค่ะ
วันนี้แสนสิริรวมภาพทั้งภาพยนตร์และซีรีส์ เพื่อให้ทุกคนร่วมเข้าใจความสำคัญของ ‘วันคนพิการแห่งชาติ’ และให้ทุกคนได้รับชมอีกมุมมองของอีกกลุ่มที่ไม่ย่อท้อต่อความแตกต่าง และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างคนปกติ แต่ก็มีบางมุมที่เรายังไม่เคยทราบหรือได้ยินมาก่อน สอดแทรกประเด็นเรื่องภาพจำที่คนในสังคมมีต่อคนพิการโดยถ่ายทอดปัญหาเหล่านั้นออกมาผ่านความรู้สึกของตัวละคร ทำให้ผู้ที่ชมอย่างเราได้ย้อนกลับมาตกผลึกความคิดในประเด็นดังกล่าวอีกด้วย นอกจากนี้ หลายเรื่องเรียกกระแสตอบรับและคำชื่นชมจากผู้ชมไปได้อย่างล้นหลามหลังออกฉาย ช่วยขับเคลื่อนสังคมได้อย่างยั่งยืนอีกด้วยค่ะ จะมีเรื่องไหนน่าสนใจบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ!
ถ้าใครกำลังมองหาพื้นที่ Universal Design เพื่อซัพพอร์ตคนที่รักในครอบครัว ที่แสนสิริเอง เราก็มีโครงการหลากหลายรูปแบบที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคุณได้ครบทุกรูปแบบอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม หรือคอนโดมิเนียม ที่พร้อมรองรับความหลากหลายไลฟ์สไตล์ของคุณได้อย่างพอดี เพราเราทำความเข้าใจความต้องการที่หลากหลายของใครหลายๆ คน เพื่อนำไปสู่การสร้างสรรค์บ้านที่ทุกคนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระและเท่าเทียมกัน
เพราะบ้านคือพื้นที่ของทุกคน ดูข้อมูลเพิ่มเติม คลิก https://siri.ly/WyCVJa1


Big World (小小的我)
ภาพยนตร์ coming of age ผลงานกำกับของ ลีน่า หยาง นำแสดงโดย อี้หยางเซียนซี นักแสดงหนุ่มดาวรุ่งจากวง TFboy โดยภาพยนตร์ได้รับรางวัลขวัญใจผู้ชมจากงาน Tokyo International Film Festival ทำสถิติโกยรายได้กว่า 500 ล้านหยวนภายใน 8 วันที่ภาพยนตร์เข้าฉาย และยังเป็นหนึ่งในผลงานเด่นของ China Film Pavilion ที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปีนี้ หลังจากฉายภาพยนตร์ยังได้รับความร่วมมือจากสื่อภาครัฐและภาคเอกชน จัดกิจกรรม “Moss Flower Convention” เพื่อสนับสนุนสิทธิ์ของคนพิการ ที่มีการตอบรับบนโซเชียลมีเดียทะลุถึงหนึ่งพันล้านเลยทีเดียว
ภาพยนตร์เล่าเรื่องราวของ ‘หลิวชุนเหอ’ ชายหนุ่มอายุ 20 ปี ที่เกิดมาพร้อมโรคสมองพิการ (Cerebral Palsy) ทำให้เขาในสายตาของผู้เป็นแม่ต้องถูกดูแลอย่างดีเหมือนไข่ในหินเสมอ แต่เขาพร้อมก้าวข้ามข้อจำกัดทั้งทางร่างกายและจิตใจ ไม่อยากยอมแพ้ต่อความฝันที่อยากจะเป็นครู จนมาเจอกับยาย ‘เฉินซู่ฉุ่น’ ที่ทำให้การเดินทางตามความฝันครั้งนี้ ช่วยให้หลิวชุนเหอค้นพบตัวเอง ความรักที่แท้จริง และ การยอมรับ จากผู้คนรอบข้างเกินกว่าที่เขาคาดคิดไว้
“มันไม่ใช่แค่เรื่องเงิน การมีงานทำ หมายถึงศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์”
ภาพยนตร์ทำให้เราเข้าใจอาการของโรคสมองพิการได้อย่างชัดเจนมากขึ้น ผ่านการแสดงออกทาง สีหน้า ท่าทาง ลักษณะการเดิน การทรงตัว สภาวะของกล้ามเนื้อที่หดเกร็ง ของตัวละครหลัก ตลอดเรื่องจะเห็นได้ว่าหลิวชุนเหอไม่ใช่แค่ชายที่พิการ แต่เป็นชายคนหนึ่งที่มีความฝันและมีพลังที่จะพยายามทำให้โลกเห็นตัวตนที่แท้จริงในรูปแบบของเขา นอกจากเรื่องราวการเอาชนะจิตใจและร่างกายของตัวเองแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสอนให้รักตัวเองและยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบของชีวิตตัวเอง ถือเป็นอีกภาพยนตร์ที่ช่วยปลอบประโลมจิตใจและสร้างแรงบันดาลใจได้อย่างดี ที่พร้อมจะพาเราเติบโตไปพร้อมหลิวชุนเหอเลยค่ะ

37 Seconds
ภาพยนตร์ผลงานการกำกับของผู้กำกับหญิงหน้าใหม่ ‘ฮิคาริ’ นำแสดงโดย ‘เมอิ คายามะ’ นักแสดงหน้าใหม่อายุ 23 ปี ที่เป็นโรคสมองพิการจริงๆ จนทำให้ภาพยนตร์ได้รับเลือกเข้าฉายในสาย Panorama Audience Award เทศกาลหนังนานาชาติเมืองเบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน ในปี 2019 คว้ามาได้ถึง 2 รางวัล ได้แก่ รางวัลขวัญใจผู้ชมประเภทหนังที่สร้างจากเรื่องแต่ง และรางวัล C.I.C.A.E. หรือรางวัลจากสหพันธ์โรงหนังอาร์ตเฮาส์นานาชาติ นอกจากนี้ยังได้รับเชิญให้เข้าฉายในอีกหลายเทศกาลภาพยนตร์อีกด้วย
เล่าเรื่องราวของ ‘เมอิ’ ที่เป็นผู้ป่วยโรคสมองพิการ (Cerebral Palsy) เนื่องจากตอนเกิดเธอไม่หายใจเป็นเวลา 37 วินาที ที่มีความฝันอยากจะประสบความสำเร็จในฐานะนักวาดการ์ตูนมังงะ เธอจึงไปเป็นผู้ช่วยของ ‘ซายากะ’ นักวาดการ์ตูนที่เริ่มมีชื่อเสียง แต่สุดท้ายกลับโดนเอาเปรียบ ทำให้เธอต้องออกเดินทางค้นหาคำตอบเพื่อความฝันของตัวเอง ผ่านการพบเจอทั้งคนหลอกลวง พนักงานบาร์โฮส นางโชว์ ผู้หญิงขายบริการ จนเธอได้พบกับ ‘ไมอิ’ และ ‘โทชิ’ ที่ทำให้เธอมีช่วงเวลารู้สึกเป็นอิสระ และได้เป็นคนปกติครั้งแรก
“จากอวกาศ ชีวิตมนุษย์เป็นเหมือนแค่ชั่วพริบตา บางครั้งฉันก็คิดว่าฉันเป็นแค่หนึ่งในการทดลองของพวกเขา เหมือนกับโครงงานวิทยาศาสตร์”
ภาพยนตร์ทำให้เราเข้าใจผู้ป่วยโรคสมองพิการมากขึ้น ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติทางระบบประสาทที่เกิดขึ้นกับทารก ส่งผลต่อการควบคุมกล้ามเนื้อ การทรงตัว และการเคลื่อนไหวร่างกาย โดยเรื่องราวถือเป็นการดำเนินเรื่องที่ให้เราได้ปลดล็อคเรื่องราวภายในจิตใจของตัวเอกไปพร้อมกันอย่างสมบูรณ์ จากการถูกจำกัดกรอบการใช้ชีวิตโดยผู้ที่ดูแลและในสังคมส่วนใหญ่ พร้อมตั้งคำถามทิ้งท้ายอย่างน่าสนใจว่า คนเราพิการหรือไม่ก็ขึ้นอยู่ที่ใจใช่หรือไม่? เพื่อให้ได้ย้อนดูว่าแท้จริงแล้วทุกคนก็มีสถานภาพทางสังคมเท่าเทียม ไม่ควรมีใครถูกจำกัดชีวิตหรือความชอบเพียงเพราะมีร่างกายที่แตกต่างกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก TrueID, มติชน และ minimore

Pluto นิทาน ดวงดาว ความรัก
ซีรีส์ Girls Love แนวโรแมนติกดราม่า ที่สร้างมาจากนิยายของนักเขียนชื่อดัง เพชรไพลิน (เจ้าปลาน้อย) ที่เรียกกระแสตอบรับอย่างล้นหลามและได้รับความรักจากแฟนๆ ทั่วโลก จากการแคสต์ตัวละครมาตรงปกตามนิยาย และองค์ประกอบอื่นๆ ทั้งเนื้อเรื่อง ภาพ ฉาก การตัดต่อ เพลงประกอบ ที่ทำออกมาได้ครบเครื่องในทุกด้าน โดยเฉพาะการนำเสนอภาพการดำเนินชีวิตของผู้พิการทางสายตาในประเทศไทยเข้ามาในซีรีส์อย่างครบถ้วนและครอบคลุม
เล่าเรื่องราวของ ‘ไออุ่น’ ที่ต้องจำใจไปบอกเลิก ‘เม’ แฟนของน้องสาวฝาแฝดของเธอ ‘โอบอุ้ม’ ตามคำขอสุดท้าย แต่เมื่อไออุ่นได้เจอกับเมก็พบว่าเมเป็นผู้พิการทางสายตา และด้วยความใกล้ชิด จึงก่อให้เกิดความรู้สึกดีกับเมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้ไออุ่นไม่กล้าบอกเลิกและสวมรอยเป็นน้องสาวฝาแฝดของเธอแทน ความรักจากการหลอกลวงจึงเริ่มต้นขึ้น ไออุ่นจะคลี่คลายเรื่องราวและประเด็นในครั้งนี้ต่อไปอย่างไร
“ทำไมเราต้องมาพิสูจน์ความพิการให้ทุกคนรู้ด้วยอะ”
“แต่แค่เราโชว์บัตรพิการมันก็โอเคแล้วนิ”
“แล้วอุ้มต้องโชว์บัตรว่าอุ้มเป็นคนปกติไหม“
ซีรีส์ทำให้เราเข้าใจชีวิตประจำวันของคนพิการในประเทศไทยได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยอีกนัยคือการทำให้เห็นว่าคนพิการก็สามารถใช้ชีวิตแบบคนปกติได้ ซึ่งไม่ต้องการความสงสารหรือการปฏิบัติที่ทำให้รู้สึกแตกต่างจากคนในสังคม แต่สิ่งที่ต้องการอย่างแท้จริงคือการออกแบบผังเมืองหรือสถานที่ต่างๆ ให้เป็นรูปแบบ Universal Design มากขึ้น ที่ทำให้ผู้ที่มีความบกพร่องสามารถใช้ชีวิตปกติในที่สาธารณะได้ โดยสื่อออกมาผ่านหลายฉาก อย่างเช่น ฉากที่เมเดินบน Braille Blocks สำหรับคนพิการทางสายตา แต่เกือบประสบอุบัติเหตุจากป้ายบอกทางตั้งขวางอยู่ในทางเดินของผู้พิการทางสายตา สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของสังคมไทยถึงความไม่เอื้ออำนวยในการใช้ชีวิตของผู้พิการทางสายตา รวมถึงยังมีการสอดแทรกประเด็นปัญหาครอบครัว และการเลี้ยงดูของผู้ปกครองอีกด้วย เป็นอีกซีรีส์น้ำดีที่อยากให้ทุกคนได้ลองรับชมสักครั้ง
ขอบคุณข้อมูลจาก the standard และ genderation

Tell Me That You Love Me
ซีรีส์รีเมคจากซีรีส์ญี่ปุ่นออกอากาศทาง TBS ในปี 1995 ที่ได้รับรางวัลมากมายในงานประกาศรางวัล Japan’s The Television Drama Academe Awards ตั้งแต่ละครยอดเยี่ยม บทละครยอดเยี่ยม นักแสดงนำชาย และนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม โดยซีรีส์มีจุดขายหลักและเสน่ห์คือการใช้ภาษามือในการสื่อสารตลอดทั้งเรื่องประมาณ 80% ซึ่งบทโทรทัศน์ฉบับเกาหลีนั้นเขียนโดย ‘คิมมินจอง’ เจ้าของผลงานชื่อดังอย่าง Who Are You: School 2015 (2015) และผลงานการกำกับโดย ‘คิมยุนจิน’ ผู้กำกับจากซีรีส์ดีกรีรางวัล Our Beloved Summer (2021)
เล่าเรื่องราวของ ‘ชาจินอู’ จิตรกรหนุ่มที่สูญเสียการได้ยินตั้งแต่เด็ก ทำให้รู้สึกโดดเดี่ยวและแปลกแยกจากสังคมเนื่องจากความบกพร่องทางการได้ยิน วันหนึ่งขณะที่ใช้เวลาอยู่บนเกาะเชจู เขาก็ได้พบกับ ‘จองโมอึน’ อดีตแอร์โฮสเตสที่เบนเข็มชีวิตสู่การเป็นนักแสดงกำลังถูกไล่ออกจากกองถ่าย จากความบังเอิญที่ไม่เหมือนกันของพวกเขากลายเป็นจุดที่มาช่วยเติมเต็มกันและกัน จนกลายเป็นจังหวะตกหลุมรักในที่สุด แต่ความรักของพวกเขาก็ต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย ทั้งครอบครัวและอคติจากสังคมที่มีต่อคนพิการ
“ผมสัมผัสเสียงได้ด้วยดวงตา นั่นแปลว่าทุกครั้งที่ผมกะพริบตาชั่วเวลาครู่หนึ่ง ผมจะตัดขาดจากโลกไปโดยสิ้นเชิง”
ซีรีส์ช่วยสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาที่คนพิการทางการได้ยินต้องเผชิญในสังคมได้เป็นอย่างดี ผ่านฉากที่สอดแทรกมาตลอดทั้งเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเตือนภัยคนพิการทางการได้ยินเมื่อกำลังจะเกิดอันตราย แต่เขากลับไม่ได้ยินเสียงตะโกนเมื่อเกิดเหตุร้าย หรืออคติที่มีมาแต่ช้านานของคนโบราณตั้งแต่ยุคก่อน จนถึงเรื่องชวนเข้าใจผิดเล็กน้อยไปจนถึงร้ายแรง แต่ขณะเดียวกัน ซีรีส์ก็มีมุมที่ชวนอบอุ่นหัวใจและสอนให้เรารู้ว่ารักแท้คืออะไร แม้พวกเขาจะต่างกันมากแต่ก็สามารถเติมเต็มส่วนที่ขาดของกันและกันได้ เพราะทุกคนบนโลกล้วนมีสิทธิที่จะมีความรักได้แม้ว่าจะแตกต่างกันมากแค่ไหนก็ตาม เป็นซีรีส์อีกเรื่องที่จะทำให้คุณหัวเราะ ร้องไห้ และตกหลุมรักไปกับตัวละครอย่างแน่นอน
ขอบคุณข้อมูลจาก TrueID และ thaipublica

Special
ซีรีส์ตลกแหวกแนวเกี่ยวกับชายรักร่วมเพศที่ป่วยเป็นโรคสมองพิการ ดัดแปลงจากเรื่องราวชีวิตจริงของผู้สร้างอย่าง ‘ไรอัน โอคอนเนลล์’ ที่เป็นเกย์และเป็นโรคสมองพิการ (Cerebral Palsy) เป็นครั้งแรกของซีรีส์ Netflix ที่แต่ละตอนมีความยาวเพียงประมาณ 15 นาที
เล่าเรื่องราวของ ‘ไรอัน’ ในการเป็น เกย์ คนพิการ และวัยรุ่นคนหนึ่งที่พยายามจะใช้ชีวิตของเขาให้เหมือนกับวัยรุ่นทั่วๆ ไป ที่ต้องต่อสู้กับความต้องการทางเพศและความเป็นอิสระของตัวเอง จนไรอันได้เข้าทำงานที่บริษัทนิตยสาร Eggwoke เขาจึงถือโอกาสโกหกทุกคนว่าร่างกายเป็นแบบนี้เพราะอุบัติเหตุ ไม่ใช่ความพิการแต่กำเนิด แม้ว่าชีวิตของไรอันจะโดนที่ทำงานดูถูกและกดขี่ปมด้อยของเขาก็ตาม เขาก็ได้พบกับเพื่อนดีๆ อย่าง ‘คิม’ และ ‘เคลรีย์’ ที่คอยเป็นกำลังใจและอยู่เคียงข้างเสมอ เขามักจะมองข้ามสิ่งเหล่านั้นและพยายามมองโลกในแง่ดีแทน ซีรีส์เรื่องนี้แม้ตลกขบขันแต่ก็แฝงไปด้วยความขนขื่นของชีวิตคนพิการในสังคมจริงๆ
“ผมเคยต้องซ่อนตัวในตู้เสื้อผ้าเพราะเป็นเกย์
แล้วก็ต้องซ่อนตัวอีกครั้งเพราะเป็นคนพิการ
แต่ตอนนี้…ผมจะไม่อยู่ในตู้เสื้อผ้าอีกต่อไปแล้ว”
ซีรีส์ทำให้เห็นว่า คนพิการจำนวนมากต้องเผชิญกับการเลือกปฏิบัติและการถูกกีดกันทางสังคมมากมาย ความรู้สึกกลัวที่จะถูกตัดสินและไม่ได้รับการยอมรับนั้น ล้วนมีพื้นฐานมาจากสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของพวกเขาจริงๆ นอกจากความพิการแล้ว ซีรีส์ยังถ่ายทอดการเรียนรู้เรื่องเพศ ความอิสระ และปัญหาต่างๆ ของการมีอายุที่มากขึ้นของคนพิการด้วย แต่ซีรีส์ก็ทำให้เราเห็นว่าปัญหาเหล่านี้ไม่สามารถหยุดตัวละครให้มีความสุขได้ พร้อมมอบพลังบวกในการปรับมุมมอง ทัศนคติ ความคิดต่อสิ่งต่างๆ ได้ดี โดยเสน่ห์คือการเล่าเรื่องของคนที่สังคมมองว่า ‘แตกต่าง’ หรือต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็น ‘พิเศษ’ ให้ออกมาอย่างเข้าใจ เข้าถึงได้ สนุกสนาน และอบอุ่น
ขอบคุณข้อมูลจาก nbcnews, vulture, aday magazine และ the momentum

