ไม่ว่าจะอากาศหนาวแค่ไหน แต่คนไทยก็ยังชอบทานของเย็น ทุกคนว่าประโยคนี้เป็นเรื่องจริงไหมคะ แล้วมีใครเคยเป็นบ้าง ถึงแม้ตอนนี้ประเทศไทยเราจะเข้าสู่หน้าหนาวอย่างเต็มตัวแล้ว อากาศเริ่มเย็นลง จนอยากจะใส่เสื้อกันหนาวอุ่นๆ ทานอาหารร้อนๆ กันได้บ่อยขึ้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าบ้านเรานั้นเป็นประเทศเมืองร้อน จนทำให้เราติดร้อนไปด้วยบ่อยๆ แม้จะเข้าหน้าหนาวแต่ก็หนาวแค่ลมเท่านั้น การทานอาหารหรือของหวานที่เย็นจัดก็ยังขาดไม่ได้ ต้องเติมของเย็นกันอยู่ทุกมื้อไม่ให้ขาดเลยค่ะ
วันนี้แสนสิริ อยากพาทุกคนไปไขความลับของขนมหวานที่เป็นขวัญใจวัยเด็กของใครหลายคน ที่เรียกว่าอยู่มาแทบทุกยุคสมัย จะ Gen ไหนก็ต้องเคยทานกันแน่นอนอย่าง ‘น้ำแข็งไส’ นั่นเองค่ะ จะร้อนหรือจะหนาว ถ้าได้น้ำแข็งไสใส่เครื่องแน่นๆ ราดน้ำหวานสีสันสดใส ตบด้วยนมข้นสักนิด จะของหวานไหนๆ ก็สู้น้ำแข็งไสสูตรไทยเราไม่ได้เลยค่ะ แต่ทุกคนรู้ไหมคะว่าเส้นทางของน้ำแข็งไสนั้นมีประวัติมายาวนานกว่า 1,200 ปีเลยทีเดียว กว่าจะมาเป็นขนมหวานที่เรารู้จักกันและส่งความสุขให้คนทุกวัยจนปัจจุบันนี้ จะมีอะไรน่าสนใจบ้าง ไปดูด้วยกันเลยค่ะ!
แสนสิริขอส่งท้ายปีกับช่วงเวลาแห่งความสุขให้ทุกคน พร้อมความหวานชื่น รื่นรมย์ จาก Hale’s Blue Boy ในงาน “SIP & SWEET” เติมความหวาน ส่งความสุข พร้อมกิจกรรมมากมายไม่ว่าจะเป็น ถ่ายรูปกับ “บอลลูน” ยักษ์สุดน่ารัก หรือ DIY น้ำแข็งไส “ฟรี” หลากรสชาติและสีสันสุดโปรด
พร้อมยกขบวนความสุขไปให้ทุกคนถึงบ้าน
22 NOV – Setthasiri Don Mueang (16.00 – 20.00 น.)
29 – 30 NOV – T77 Community (14.00 – 19.00 น.)
13 DEC – Narasiri Phahol – Watcharapol (16.00 – 20.00 น.)
เข้างาน “ฟรี” ยินดีต้อนรับทุกคน Sansiri Family ลงทะเบียนล่วงหน้าได้แล้ววันนี้ผ่านแอป Sansiri Home Service

ที่มาของน้ำแข็งไส ความชื่นใจของหน้าร้อนเอเชียกว่า 1,200 ปี
จีน ‘เป่าปิง’ น้ำแข็งไสจากยุคราชวงศ์ถัง
จากบันทึกของประเทศจีน มีน้ำแข็งไสที่เรียกว่า “เป่าปิง” (Baobing) ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง หรือราวศตวรรษที่ 7 เป็นยุคที่ชนชั้นสูงเก็บตักน้ำแข็งหรือหิมะจากภูเขา มาราดด้วยน้ำเชื่อม น้ำผึ้ง หรือน้ำผลไม้ ทานเป็นของหวานดับร้อนในวัง โดยในอดีต การทำน้ำแข็งไสเป็นกระบวนการที่ต้องใช้แรงงานสูงมาก ทำด้วยมือ ค้อน หรือใบมีด แต่ปัจจุบันมีเครื่องจักรสมัยใหม่ที่สามารถผลิตน้ำแข็งไสละเอียดและบางลงกว่าเดิม ทำให้น้ำแข็งไสมีรสชสติอร่อยยิ่งขึ้น เมื่อกาลเวลาผ่านไปวัฒนธรรมนี้ค่อยๆ ถูกเผยแพร่สู่ผู้คนทั่วไปในภายหลัง เป่าปิงถูกพัฒนาจนกลายเป็นภูเขาน้ำแข็งเกล็ดละเอียด ราดไซรัป นมข้น และโปะด้วยถั่วแดง ถั่วเขียว ผลไม้ตามฤดูกาล เป็นหนึ่งในเมนูฤดูร้อนยอดฮิตของจีนและไต้หวันในปัจจุบัน
ญี่ปุ่น ‘คากิโกริ’ ของว่างชั้นสูงจากยุคเฮอิอัน
“คากิโกริ” (Kakigōri) ของญี่ปุ่นมีหลักฐานเก่าแก่ย้อนไปตั้งแต่ยุคกลางสมัยเฮอิอัน หรือราวคริสต์ศตวรรษที่ 9 – 12 ซึ่งถือเป็นยุคทองของราชสำนักในญี่ปุ่น โดยบันทึกในหนังสือ Makura no soshi (หนังสือหมอน) ซึ่งเป็นบันทึกของเซอิ โชนางอน นักเขียนและสตรีในราชสำนักญี่ปุ่น ในเวลานั้นบันทึกว่า น้ำแข็งในฤดูร้อนถือเป็นสินค้าล้ำค่าที่ชนชั้นสูงเท่านั้นที่สามารถรับประทานได้ เพราะน้ำแข็งต้องกักเก็บไว้ในถ้ำหรือคลังเก็บน้ำแข็งดูแลเป็นพิเศษ แต่เมื่อเทคโนโลยีเข้าถึงก็กำเนิดเครื่องผลิตน้ำแข็งพัฒนาในยุคเมจิ และตู้เย็นเริ่มแพร่หลาย คากิโกริก็หลุดออกมาจากรั้ววัง กลายเป็นเมนูที่คนญี่ปุ่นนึกถึงทันทีที่เข้าสู่หน้าร้อน ผ่านน้ำแข็งเกล็ดฟูเบาราวหิมะ ราดไซรัปผลไม้ นมข้น หรือแม้แต่ชาเขียวและถั่วแดง จนกลายเป็นภาพจำของหวานประจำฤดูร้อนญี่ปุ่นมาจนทุกวันนี้
เกาหลี ‘บิงซู’ ของหวานจากคลังน้ำแข็งหลวงสู่ Soft Power
ฝั่งเกาหลีน้ำแข็งไสที่เราคุ้นชื่อคือ “บิงซู” (Bingsu) โดยเฉพาะเวอร์ชันถั่วแดงที่เรียกว่า พัดบิงซู เริ่มขึ้นในสมัยโชซอน (ค.ศ. 1392 – 1897) เมื่อราชสำนักสร้าง “ซ็อกบิงโก (Seokbinggo)” หรือคลังเก็บน้ำแข็งใต้ดิน เก็บน้ำแข็งจากฤดูหนาวไว้ทานในฤดูร้อน ซึ่งคนที่ได้ทานจะเป็นราชวงศ์และชนชั้นสูงเท่านั้น ในยุคแรก บิงซูเป็นเพียงน้ำแข็งบดราดน้ำหวาน ต่อมาพัฒนามาเป็นพัดบิงซู จนกลายเป็นของหวานฤดูร้อนที่แพร่หลายเป็นในหลายประเทศ มีการปรับรสชาติให้เข้ากับวัฒนธรรมประเทศต่างๆ จนกลายเป็นหนึ่งในอาหาร Soft Power ของประเทศเกาหลีที่ถูกเสิร์ฟในคาเฟ่เกา

การเดินทางของน้ำแข็งไสไทย ที่ความหวานครองใจทุกวัย
บันทึกทางประวัติศาสตร์ระบุว่า ช่วงรัชกาลที่ 4 มีเรือกลไฟเจ้าพระยา ขนสินค้าระหว่างสิงคโปร์ – กรุงเทพฯ หนึ่งในนั้นคือ “น้ำแข็ง” 🧊 สำหรับใช้ในวังและบ้านเจ้านายชั้นสูงเท่านั้น ในยุคนั้นน้ำแข็งถูกมองเป็นของฟุ่มเฟือย ใช้รับรองแขกบ้านแขกเมืองมากกว่าจะเป็นของกินเล่น
ต่อมาในรัชกาลที่ 5 มีการตั้ง “โรงน้ำแข็งสยาม” ที่สะพานเหล็ก ถนนเจริญกรุง ถือเป็นโรงน้ำแข็งแห่งแรกของไทยอย่างเป็นทางการ ทำให้น้ำแข็งไม่ใช่ของนำเข้าจากเรืออีกต่อไป แต่ผลิตได้เองในประเทศในปริมาณมาก ทำให้ราคาถูกลง และเริ่มเข้าถึงคนทั่วไปได้มากขึ้น นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ “หวานเย็น” เริ่มเกิดขึ้นจริงในสังคมไทย รวมถึงการไสน้ำแข็งเป็นเกล็ดเพื่อกินกับน้ำหวานด้วย
หลังคนไทยเริ่มคุ้นเคยกับน้ำแข็ง พ.ศ. 2490 ชาวจีนในจังหวัดเพชรบุรี ได้ดัดแปลงน้ำแข็งก้อนใหญ่ให้กลายเป็นเกล็ด อัดใส่ถ้วย แล้วใส่ของเหลือจากตอนเช้าอย่าง “ปาท่องโก๋ทอดกรอบ” ลงไป ราดด้วยน้ำหวานสีแดง กลายเป็นเมนูดับร้อนที่เรียกกันว่า “จ้ำบ๊ะ”
ราวช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง นมข้นหวานเริ่มแพร่หลายในตลาดไทยราวปี 2490 และถูกนำมาราดบนจ้ำบ๊ะหรือน้ำแข็งไส ทำให้รสชาติจากเดิมที่หวานน้ำแดงอย่างเดียว กลายเป็นหวานมัน หอมละมุนแบบที่เราคุ้นเคยจนถึงทุกวันนี้
ปัจจุบัน น้ำแข็งไสไทยถูกพัฒนาไปไกลกว่าถ้วยน้ำแดงสมัยก่อน นิยมใส่ทั้งลอดช่อง ซ่าหริ่ม ทับทิมกรอบ เผือกเชื่อม ข้าวโพด ลูกชิด วุ้นมะพร้าว ไปจนถึงผลไม้สดและไอศกรีม เป็นการผสมผสานวัตถุดิบไทยฟิวชันเข้าด้วยกัน

รวมองค์ประกอบน้ำแข็งไสไทยที่ให้อะไรมากกว่าความอร่อย เพราะน้ำแข็งไสไทย
1 ถ้วย ไม่ได้มีแค่ความหวาน แต่ยังเต็มไปด้วย พลังงาน ความสดชื่น และโภชนาการ ที่ซ่อนอยู่
น้ำแข็งไสเกล็ดละเอียด
ตัวช่วยลดอุณหภูมิและเพิ่มความสดชื่น โดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อนหรือหลังใช้พลังงาน เพราะช่วยลดอุณหภูมิร่างกายและกระตุ้นให้ดื่มน้ำได้มากขึ้น ส่งผลดีต่อภาวะน้ำในร่างกายโดยรวม
น้ำหวานเข้มข้น
แหล่ง “พลังงานด่วน” จากน้ำตาลเชิงเดี่ยว เนื่องจากย่อยและดูดซึมได้รวดเร็ว ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นเร็ว และร่างกายนำไปใช้เป็นพลังงานได้ทันที ดังนั้นไซรัปหรือน้ำหวานในน้ำแข็งไสจึงทำหน้าที่เหมือนน้ำเติมพลังได้ทันที แต่ก็ควรกินในปริมาณพอเหมาะ ไม่อย่างนั้นอาจได้แคลอรีเกินความจำเป็น
นมข้น
ช่วยเพิ่มทั้งความมัน และแคลเซียมสำหรับกระดูก อ้างอิงจาก USDA ระบุว่า นมข้นหวาน มีแคลเซียมราว 280 มก./100 กรัม จัดเป็นแหล่งแคลเซียมที่ค่อนข้างสูง เทียบกับปริมาณที่กินจริงแม้จะไม่มาก แต่ก็มีส่วนช่วยเสริมแร่ธาตุให้กระดูกและฟันได้บ้าง อย่างไรก็ตาม นมข้นก็มีน้ำตาลและไขมันสูง จึงควรบริโภคแต่น้อยเท่านั้นค่ะ
เครื่องเคียง
ในน้ำแข็งไสไทยแบบดั้งเดิมมักใส่ถั่วแดง ถั่วเขียว ลูกชิด ข้าวโพด เฉาก๊วย ผลไม้ ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่จัดอยู่ในกลุ่มถั่วและผลไม้ที่มี ใยอาหาร โปรตีนจากพืช วิตามิน และแร่ธาตุสูง เป็นแหล่งโปรตีนจากพืชและใยอาหารที่ดี ช่วยเรื่องระบบย่อยและสุขภาพหัวใจ เมื่อรวมกับผลไม้ที่มีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระ จึงทำให้น้ำแข็งไสไม่ได้ให้แค่ความกรุบกรอบหรือหนุบหนับ แต่มีสารอาหารแทรกอยู่ด้วย

ใครคิดถึงความหวานชื่น รื่นรมย์ จาก Hale’s Blue Boy น้ำหวานที่อยู่คู่น้ำแข็งไสไทยมาอย่างยาวนาน เตรียมพบกับงาน SIP & SWEET เติมความหวาน ส่งความสุข ชวนย้อนความสุขในวัยเด็ก กับน้ำหวาน Hale’s Blue Boy
พบกับกิจกรรมหลากหลาย…
ถ่ายรูปกับ “บอลลูน” ยักษ์สุดน่ารัก
GAME ZONE โบว์ลิ่ง OVERSIZE
DIY น้ำแข็งไส “ฟรี” หลากรสชาติและสีสันสุดโปรด
POP-UP CAFÉ “ฟรี” ขนมและเครื่องดื่ม
Check-in 40 ท่านแรก รับน้ำหวาน Hale’s Blue Boy ฟรี 1 ขวด
พร้อมยกขบวนความสุขไปให้ทุกคนถึงบ้าน
22 NOV – Setthasiri Don Mueang (16.00 – 20.00)
29 – 30 NOV – T77 Community (14.00 – 19.00)
13 DEC – Narasiri Phahol – Watcharapol (16.00 – 20.00)
เข้างาน “ฟรี” ยินดีต้อนรับทุกคน
Sansiri Family ลงทะเบียนล่วงหน้าได้แล้ววันนี้

