“จะเลี้ยงหมาหรือแมวดีนะ?” ถ้าจะหาคำตอบให้คำถามข้อนี้ คงต้องเริ่มที่ว่าใครเป็นทาสหมาทาสแมวกันซะก่อน การมีน้องๆ สี่ขาเป็นเพื่อนซี้คู่ใจคงเป็นอะไรที่ใครหลายๆ คนฝันถึง และดูเหมือนว่าการ “ซื้อสัตว์เลี้ยง” ได้กลายเป็นตัวเลือกอย่างแรก และอาจเป็นตัวเลือกเพียงอย่างเดียวที่จะทำให้ได้มีสัตว์เลี้ยงไปเสียแล้ว
นั่นเพราะหลายคนไม่รู้ถึงตัวเลือกที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นั่นคือ “การรับเลี้ยง”
สุนัขและแมวจรจำนวนหนึ่งมีแหล่งที่มาไม่น้อยหน้าไปกว่าสัตว์เลี้ยงจากฟาร์มหรือร้านขาย แต่กลับโชคร้ายทำให้ต้องกลายเป็นสัตว์จรที่ถูกละเลย สิ่งที่พวกเขาต้องการ คือบ้านสำหรับอยู่อาศัยอย่างอบอุ่นและปลอดภัย เพื่อไม่ให้พวกเขาต้องเผชิญกับการโดนทำร้าย หรือโรคติดต่อ อีกต่อไป
แม้จะมีแนวทางในการจำกัดจำนวนและช่วยเหลือสุนัขและแมวจร อย่างเช่นการฉีดวัคซีน การทำหมัน หรือการฉีดไมโครชิป แต่หากเพื่อนจรสี่ขาเหล่านี้ยังคงถูกปล่อยคืนสู่ท้องถนนโดยไม่มีเจ้าของ ไม่มีบ้านให้อยู่อาศัย ชีวิตของสุนัขและแมวจรเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ในอันตราย ทั้งจากความเสี่ยงในการโดนทำร้าย ประสบอุบัติเหตุ หรือปัจจัยอื่นๆ ที่อาจเป็นไปได้
การมีบ้านที่จะมอบความปลอดภัยจึงถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่จะเปลี่ยนสถานะเหล่าสุนัขและแมวจร ให้กลายเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีเจ้าของไปตลอดชีวิตของเขา
แสนสิริพาคุณมาสำรวจเรื่องจริงที่ถูกมองข้ามเกี่ยวกับเพื่อนจรสี่ขา สุนัขและแมวจรเหล่านี้ต่างก็กำลังเฝ้ารอที่จะได้รับความรักจากใครสักคนหนึ่ง และควรค่าแก่การได้รับการดูแลอย่างใส่ใจไม่ไปต่างจากสัตว์เลี้ยงตัวอื่นๆ เลยรูป
จากข้อมูลสำรวจประชากรสุนัขและแมว ประจำปี 2567 รอบที่ 1 จากศูนย์บัญชาการเพื่อการเฝ้าระวังโรคพิษสุนัขบ้า พบว่ามีสุนัขและแมวกว่า 286,351 ตัว ที่ยังไม่มีเจ้าของ
ทั้งนี้ จำนวนดังกล่าว อาจไม่ได้นับรวมกรุงเทพฯ และพัทยา ซึ่งเป็นแหล่งใหญ่ที่พบสุนัขและแมวจรสูงสุด
สุนัขและแมวจรเหล่านี้ล้วนแต่เคยเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีเจ้าของ แต่ด้วยเหตุผลหรือความจำเป็นบางประการทำให้เจ้าของตัดสินใจที่จะไม่ดูแลเลี้ยงน้องๆ ต่อไป ผลลัพธ์ที่ได้คือการเปลี่ยนสถานะของแก๊งสี่ขา จากสัตว์เลี้ยงเป็นสัตว์จร โดย 3 เหตุผลหลัก ที่ทำให้คนทิ้งสัตว์เลี้ยง คือ
เพราะคนเลี้ยงดูแลต่อไม่ไหว: การมีสัตว์เลี้ยงอาจส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเจ้าของหรือคนรอบข้าง เช่นมีคนในครอบครัวเป็นภูมิแพ้ ครอบครัวไม่อนุญาตให้เลี้ยง อาศัยอยู่ในคอนโดที่ไม่ให้เลี้ยงสัตว์ เลิกกับคนรัก หรือต้องย้ายที่อยู่อาศัยที่ไม่สามารถนำสัตว์เลี้ยงไปด้วยได้
เพราะสัตว์เลี้ยงมีพฤติกรรมก้าวร้าว: สาเหตุหลักของการตัดสินใจทิ้งสัตว์เลี้ยง คือการที่สุนัขหรือแมวมีพฤติกรรมก้าวร้าว ไล่กัดหรือข่วนสมาชิกในบ้าน ส่งเสียงดังหรือรุกราน จนทำให้เกิดความรำคาญ บางตัวอาจขับถ่ายไม่เป็นที่ ซึ่งก็มีสาเหตุมาจากการขาดความใส่ใจฝึกฝนอย่างถูกต้องจากเจ้าของ กลายเป็นปัญหาระยะยาวที่ทำให้อยู่ร่วมกันต่อไปไม่ได้
เพราะสุขภาพของสัตว์: สุนัขหรือแมวบางตัวอาจเกิดมาพร้อมเงื่อนไขด้านสุขภาพ ที่ส่งผลให้ต้องการการดูแลรักษาที่เคร่งครัดและมากเป็นพิเศษ บางตัวอาจมีลักษณะเฉพาะตัว ไม่ได้มีรูปร่างที่สมประกอบ หรืออาจขยับตัวเองไม่ได้ เจ้าของจึงจำเป็นที่จะต้องทุ่มเททั้งเวลาและค่ารักษาพยาบาลจำนวนมาก บางคนอาจเห็นว่าไม่คุ้มค่าที่จะเลี้ยงสัตว์เหล่านี้ต่อไป จนตัดสินใจทิ้งสัตว์เลี้ยงของตัวเองในที่สุด
จำนวนตัวเลขที่สูงในหลักแสนชี้ให้เห็นว่าอาจถึงเวลาแล้วที่เราควรหันมาใส่ใจเหตุการณ์ในส่วนนี้ให้มากขึ้น เพื่อนสี่ขาเหล่านี้กำลังรอคนที่เข้าใจมารับไปดูแล เพราะการจะมีสัตว์เลี้ยง ต้องอาศัยมากกว่าความรัก หรือความต้องการ แต่ยังรวมไปถึง “ความเข้าใจในธรรมชาติของสัตว์เลี้ยง” และ “ความรับผิดชอบ” ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการหาบ้านหลังสุดท้ายให้กับสัตว์เลี้ยงทุกตัว


จากข้อมูลสำรวจประชากรสุนัขและแมว ประจำปี 2567 รอบที่ 1 จากศูนย์บัญชาการเพื่อการเฝ้าระวังโรคพิษสุนัขบ้า พบว่ามีสุนัขและแมวกว่า 286,351 ตัว ที่ยังไม่มีเจ้าของ
ทั้งนี้ จำนวนดังกล่าว อาจไม่ได้นับรวมกรุงเทพฯ และพัทยา ซึ่งเป็นแหล่งใหญ่ที่พบสุนัขและแมวจรสูงสุด
สุนัขและแมวจรเหล่านี้ล้วนแต่เคยเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีเจ้าของ แต่ด้วยเหตุผลหรือความจำเป็นบางประการทำให้เจ้าของตัดสินใจที่จะไม่ดูแลเลี้ยงน้องๆ ต่อไป ผลลัพธ์ที่ได้คือการเปลี่ยนสถานะของแก๊งสี่ขา จากสัตว์เลี้ยงเป็นสัตว์จร โดย 3 เหตุผลหลัก ที่ทำให้คนทิ้งสัตว์เลี้ยง คือ
เพราะคนเลี้ยงดูแลต่อไม่ไหว: การมีสัตว์เลี้ยงอาจส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเจ้าของหรือคนรอบข้าง เช่นมีคนในครอบครัวเป็นภูมิแพ้ ครอบครัวไม่อนุญาตให้เลี้ยง อาศัยอยู่ในคอนโดที่ไม่ให้เลี้ยงสัตว์ เลิกกับคนรัก หรือต้องย้ายที่อยู่อาศัยที่ไม่สามารถนำสัตว์เลี้ยงไปด้วยได้
เพราะสัตว์เลี้ยงมีพฤติกรรมก้าวร้าว: สาเหตุหลักของการตัดสินใจทิ้งสัตว์เลี้ยง คือการที่สุนัขหรือแมวมีพฤติกรรมก้าวร้าว ไล่กัดหรือข่วนสมาชิกในบ้าน ส่งเสียงดังหรือรุกราน จนทำให้เกิดความรำคาญ บางตัวอาจขับถ่ายไม่เป็นที่ ซึ่งก็มีสาเหตุมาจากการขาดความใส่ใจฝึกฝนอย่างถูกต้องจากเจ้าของ กลายเป็นปัญหาระยะยาวที่ทำให้อยู่ร่วมกันต่อไปไม่ได้
เพราะสุขภาพของสัตว์: สุนัขหรือแมวบางตัวอาจเกิดมาพร้อมเงื่อนไขด้านสุขภาพ ที่ส่งผลให้ต้องการการดูแลรักษาที่เคร่งครัดและมากเป็นพิเศษ บางตัวอาจมีลักษณะเฉพาะตัว ไม่ได้มีรูปร่างที่สมประกอบ หรืออาจขยับตัวเองไม่ได้ เจ้าของจึงจำเป็นที่จะต้องทุ่มเททั้งเวลาและค่ารักษาพยาบาลจำนวนมาก บางคนอาจเห็นว่าไม่คุ้มค่าที่จะเลี้ยงสัตว์เหล่านี้ต่อไป จนตัดสินใจทิ้งสัตว์เลี้ยงของตัวเองในที่สุด
จำนวนตัวเลขที่สูงในหลักแสนชี้ให้เห็นว่าอาจถึงเวลาแล้วที่เราควรหันมาใส่ใจเหตุการณ์ในส่วนนี้ให้มากขึ้น เพื่อนสี่ขาเหล่านี้กำลังรอคนที่เข้าใจมารับไปดูแล เพราะการจะมีสัตว์เลี้ยง ต้องอาศัยมากกว่าความรัก หรือความต้องการ แต่ยังรวมไปถึง “ความเข้าใจในธรรมชาติของสัตว์เลี้ยง” และ “ความรับผิดชอบ” ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการหาบ้านหลังสุดท้ายให้กับสัตว์เลี้ยงทุกตัว

แน่นอนว่าปัญหาสัตว์ไร้บ้านไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น
หลายๆ ประเทศได้จัดทำมาตรการที่น่าสนใจเพื่อลดจำนวนสุนัขและแมวจร บางแนวทางได้ให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ บางแนวทางถือเป็นแบบอย่างที่ควรค่าแก่การนำมาปรับใช้ และแน่นอนว่าก็มีบางแนวทางอีกเช่นกัน ที่ฟังดูน่าตกใจไม่น้อย
เนเธอแลนด์
ประเทศแรกที่ไม่มีสุนัขจรได้ลดหย่อนอัตราภาษีหากรับเลี้ยงทำหมันสัตว์เลี้ยงฟรี
ญี่ปุ่น
มาตรการกำหนดเงื่อนไขการซื้อขายสัตว์เลี้ยง กำหนดเวลาซื้อขายสัตว์เลี้ยงเพื่อดูแลสุขภาพสัตว์ คือเฉพาะ 8.00 -20.00 น. เท่านั้น ฝังชิป และติดที่อยู่ที่ตัวสัตว์เลี้ยง เพื่อป้องกันการปล่อยทิ้ง
เยอรมนี
ไม่มีสุนัขจรได้ลดหย่อนอัตราภาษีหากรับเลี้ยงรณรงค์ให้ผู้เลี้ยงทำหมันสุนัข ฝังไมโครชิป มีการสอบข้อเขียนผู้ที่ต้องการเลี้ยงสุนัขในบางรัฐสุนัขต้องผ่านการทดสอบพฤติกรรม
สิงคโปร์
ผู้เลี้ยงจะต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไปก่อนรับเลี้ยง ผู้เลี้ยงจะต้องแสดงเอกสารที่อยู่อาศัยและการเสียภาษีค่าธรรมเนียมในการเลี้ยงสุนัขอายุมากจะน้อยกว่าสุนัขที่อายุน้อย
การมีเพื่อนสี่ขาที่รู้ใจ อาจเป็นความใฝ่ฝันของใครหลายๆ คน ตัวเลือกแรกที่นึกออกอาจเป็นการซื้อสัตว์เลี้ยงจากฟาร์ม แต่การรับเลี้ยงสัตว์ ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจและดีต่อใจไม่แพ้กัน
ทุกวันนี้สังคมไทยเริ่มหันมาให้ความสนใจในการจัดระเบียบกับสัตว์จรมากขึ้น สังเกตได้จากการที่กรุงเทพฯ เตรียมประกาศใช้ข้อบัญญัติใหม่ เห็นชอบร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง การควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์ ซึ่งเราอาจได้เห็นกันในเร็วๆ นี้
นอกจากนี้ยังมีนโยบาย “จัดระเบียบสัตว์จร แก้ปัญหาผ่านการจัดการอย่างเป็นระบบ” ที่ประกอบไปด้วยเนื้อหาหลักๆ 4 ข้อ นั่นคือ การทำหมันและฉีดวัคซีน การเปลี่ยนสัตว์จรเป็นสัตว์ชุมชน การ ปรับปรุงศูนย์พักพิงของ กทม. และกำกับดูแลศูนย์ของเอกชนให้มีมาตรฐาน และสุดท้าย คือการส่งสัตว์จรกลับสู่สถานะสัตว์เลี้ยง
มีสุนัขและแมวอีกจำนวนมาก ที่กำลังรอที่จะมีเจ้าของที่เอาใจใส่ และมอบบ้านที่ปลอดภัยให้อยู่อาศัย ที่สำคัญคือวิธีนี้สามารถช่วยประหยัดเงินจากการซื้อสัตว์เลี้ยงได้หลายเท่าตัว
คุณอาจได้พบสัตว์เลี้ยงที่มองหาผ่านการรับเลี้ยง และยังมั่นใจได้อีกว่าสุนัขและแมวจรเหล่านี้ได้รับวัคซีนที่จำเป็นมาครบถ้วนแล้ว แถมยังเป็นการช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิต มอบความปลอดภัย และความอบอุ่นให้น้องๆ อีกด้วย
การรับเลี้ยงสัตว์เพียงหนึ่งตัว ยังสร้างประโยชน์ให้สังคมตามมาอีกมากมาย เริ่มจากช่วยลดปัญหาสี่ขาจรที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต รวมไปถึงช่วยเหลือศูนย์พักพิงในการลดค่าใช้จ่ายในการดูแลสัตว์ และเพิ่มพื้นที่ว่าง ให้พร้อมรองรับสุนัขหรือแมวจรตัวอื่นๆ ที่อาจยังตกค้างอยู่บนท้องถนน


