แม้เราจะผ่านพ้นช่วงเทศกาลกินเจกันมาแล้ว ที่วนเวียนมาให้ทุกคนได้ถือศีลกินเจกันหนึ่งครึ่งต่อปี แต่ทุกคนรู้ไหมคะว่าตอนนี้มีหลายล้านคนทั่วโลกที่เริ่มหันมาทานมังสวิรัติและวีแกนกันเต็มตัวมากขึ้น ปัจจุบันคนทั่วโลกกว่า 88 ล้านคน เลือกเส้นทางการกินพืช 100% เนื่องจากหันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตมากกว่าที่เคย ทำให้เทรนด์ “วีแกน” ไม่ได้เป็นเพียงกระแสที่มาแล้วไปอย่างรวดเร็วอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นหนึ่งในวิถีชีวิตประจำวันของคนทุกคนที่มีบทบาทสำคัญต่ออนาคตของโลก และตอบโจทย์ความยั่งยืนตามแนวทาง SDGs
วันนี้แสนสิริได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ “วีแกน” ที่น่าสนใจมากฝากทุกคนกันค่ะ สำหรับใครที่สนใจจะเริ่มทานวีแกน รวมถึงข้อที่ควรรู้ก่อนเริ่มทาน เพราะการทานวีแกนเหมือนจะง่ายใช่ไหมคะ แต่ก็มีเรื่องราวและข้อมูลให้เราได้เรียนรู้ ทั้งแหล่งสารอาหารพืชที่ควรรู้ และวิธีเริ่มต้นแบบไม่หักโหม นอกจากนี้อย่าลืมทำความรู้จักแหล่งโปรตีน ไขมันดี และวิตามิน ที่จำเป็นสำหรับเป็นสารอาหารสำหรับทดแทนไว้ให้ครบ เพราะการทานอย่างรู้เท่าทันคือหัวใจสำคัญของเส้นทางวีแกนอย่างยั่งยืนนั่นเองค่ะ ที่สำคัญที่สุดคือพาไปดูว่าวีแกนเป็นมิตรต่อคนทานและสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร ถึงสามารถเชื่อมโยงตามแนวทางความยั่งยืนของ SDGs ได้ด้วย จะมีข้อมูลไหนน่าสนใจบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ!
ที่แสนสิริเอง เราสนับสนุนการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เราคอยตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสร้างจุดเปลี่ยนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนอยู่เสมอ ตั้งเป้าหมายสู่การเป็น ’องค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์’ ในปี 2593 ตามแนวทาง SDGs เพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืนในองค์กร และทุกโครงการใหม่ของแสนสิริ
อ่านข้อมูล Sansiri Sustainability เพิ่มเติมที่นี่ คลิก! https://siri.ly/W5rDCX1


สถานการณ์และสถิติ ‘วีแกน‘ ในวันที่สังคมสนใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น
จากรายงานของ World Animal Foundation พบว่า ปัจจุบันมีคนกว่า 88 ล้านคน เลือกทานอาหารแบบวีแกนทั่วโลกหรือเกือบ 1 – 2% ของประชากรโลก ในขณะที่หลายประเทศเริ่มให้ความสำคัญกับการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมผ่านอาหารบนจานของตัวเองมากขึ้น ขณะเดียวกันอินเดียยังเป็นประเทศที่มีประชากรสายวีแกนมากที่สุดในโลก และกลุ่มคนที่ทานมังสวิรัติและวีแกนกว่า 67% มักจะเป็น “ผู้หญิง” ซึ่งสะท้อนการขับเคลื่อนเทรนด์สุขภาพผ่านมุมมองของผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญทั้งสุขภาพและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน
และ The Vegan Society ยังพบว่าในปี 2025 มีผู้คนกว่า 25.8 ล้านคน เข้าร่วมทดลองทานวีแกนผ่านแคมเปญ Veganuary ที่จะจัดขึ้นในช่วงทุกเดือนมกราคมของทุกปี ซึ่งถือป็นตัวสะท้อนแนวโน้มความสนใจที่มากขึ้นทุกปี ทำให้เห็นว่าวีแกนไม่ได้เป็นเพียงเทรนด์ด้านอาหาร แต่คือพฤติกรรมของชีวิตประจำวันที่มีผลทั้งต่อสุขภาพของเรา และสุขภาพโลก

เส้นทางของ ‘วีแกน‘ ที่น่าสนใจ ควรรู้ไว้ก่อนเริ่มทาน
เส้นทางของ “วีแกน” เริ่มต้นขึ้นในปี 1847 ที่ประเทศอังกฤษ โดยสมาคมมังสวิรัติ (Vegetarian Society) ที่ต้องการผลักดันวิถีการกินแบบไม่เบียดเบียนสัตว์ รวมถึงหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์จากสัตว์ทุกชนิด เน้นการทานอาหารจากพืชล้วน 100% ก่อนที่แนวคิดนี้จะพัฒนาและเริ่มแพร่อิทธิพลการกินไปยังประเทศอเมริกาจาก ‘โดนัลด์ วัตสัน’ (Donald Watson) ชายชาวอังกฤษผู้เข้าสู่ลัทธิมังสวิรัติตั้งแต่อายุ 14 กระทั่งช่วงปี 1940 เขาเลิกบริโภคผลิตภัณฑ์จากนมทุกชนิด เพราะถือว่าเป็นการเบียดเบียนสัตว์ แล้วสร้างนิยามใหม่สำหรับผู้ที่ไม่กินอาหารที่ผลิตจากสัตว์อย่างไข่และนมว่า ‘วีแกน’
ปัจจุบัน วีแกนได้รับความนิยมทั่วโลกมากขึ้น จากการสำรวจพบว่าหลักๆ พวกเขาอยากหันมาดูแลเรื่องสุขภาพ รองลงมาคือต้องการควบคุมน้ำหนัก แล้ววิถีวีแกนยังพ่วงไปถึงการใส่ใจสวัสดิภาพของสัตว์ สิ่งแวดล้อม รวมไปถึงการกินยาปฏิชีวนะ สุดท้ายคือเรื่องรสชาติ นอกจากเรื่องอาหารแล้ว ชาววีแกนยังงดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีการทดลองกับสัตว์ หันมาใช้ผลิตภัณฑ์เน้นส่วนผสมจากธรรมชาติ ที่เป็นออร์แกนิค และได้ขึ้นทะเบียนกับสมาคมมังสวิรัติ (The Vegan Society) มากขึ้น

รู้จักแหล่งอาหารทดแทนของชาว ‘วีแกน‘ ตามหลักโภชนาการพื้นฐาน
การเริ่มต้นทาน “วีแกน” อาจไม่ได้ยากอย่างที่คิดเพียงแค่รู้จักแหล่งสารอาหารตามหลักโภชนาการพื้นฐานจากพืชให้ครบถ้วน เราก็สามารถดูแลสุขภาพได้ดีไม่ต่างจากการทานแบบทั่วไป และนี่คือเหตุผลที่องค์กรด้านโภชนาการระดับโลกอย่าง Academy of Nutrition and Dietetics ยืนยันว่าอาหารวีแกนที่วางแผนดี สามารถให้สารอาหารครบถ้วนสำหรับทุกช่วงวัย
แหล่งไขมันดี
ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว เช่น อะโวคาโด ถั่วเปลือกแข็ง น้ำมันมะกอก ช่วยดูแลหัวใจ สมอง และระบบฮอร์โมน
แหล่งคาร์โบไฮเดรต
ธัญพืชเต็มเมล็ด เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวกล้อง ธัญพืชรวม ทำหน้าที่เป็นพลังงานที่เสถียร ช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือด และให้ไฟเบอร์สูง
แหล่งโปรตีน
โปรตีนจากพืช เช่น ถั่วเหลือง เต้าหู้ เทมเป้ คีนัว ถั่วเมล็ดแห้งต่าง ๆ ได้รับการรับรองจาก Academy of Nutrition and Dietetics ว่าเป็นแหล่งโปรตีนที่ย่อยง่าย และสามารถให้กรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วนเมื่อกินผสมหลากหลายชนิด
แหล่งกรดอะมิโน
พืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่วฝัก ถั่วลูกไก่ ถั่วหัวช้าง เป็นแหล่งไลซีน (Lysine) และกรดอะมิโนจำเป็นที่สำคัญ เมื่อรับประทานร่วมกับธัญพืช จะให้โปรตีนที่สมบูรณ์เช่นเดียวกับเนื้อสัตว์
แหล่งกรดไขมันโอเมกา-3
มาจาก เมล็ดเจีย (chia), เมล็ดแฟลกซ์ (flaxseed), วอลนัท
ซึ่งเปลี่ยนเป็น ALA ที่ร่างกายใช้ได้ งานวิจัยพบว่าการเสริมโอเมกา-3 จากพืชช่วยเรื่องสมอง หัวใจ และลดการอักเสบ
แหล่งวิตามิน บี 12
B12 เป็นวิตามินที่พบในอาหารจากสัตว์เป็นหลัก ชาววีแกนจึงควรได้รับจาก เช่น นมจากพืชบางชนิด และ ยีสต์ เพื่อป้องกันภาวะโลหิตจางและสนับสนุนการทำงานของระบบประสาท

วีแกน’ เป็นมิตรต่อคนทานและสิ่งแวดล้อมอย่างไร
ในวันที่งานวิจัยระดับโลกยืนยันแล้วว่าสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกได้อย่างมหาศาล ทั้งต่อร่างกายและต่อสิ่งแวดล้อม
การทานอาหารจากพืชเต็มรูป ไขมันอิ่มตัวต่ำ ช่วยลดระดับไขมันเลว (LDL) ในกระแสเลือด และลดความเสี่ยงโรคเรื้อรังบางชนิด ทั้งโรคหัวใจ เบาหวาน และมะเร็งบางชนิด รวมทั้งให้ไฟเบอร์สูง ช่วยระบบย่อยอาหารและการขับถ่ายเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติ
ปัจจุบัน มีประชากรชาววีแกนมากกว่า 88 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งมีส่วนช่วยลดมลภาวะที่เกิดจากการทำปศุสัตว์ และลดภาระต่อระบบอาหารที่ใช้ทรัพยากรมหาศาล World Animal Foundation ระบุชัดว่าการเลือกทานอาหารที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงสัตว์ ช่วยละเว้นการเบียดเบียนสัตว์ทั้งทางตรงและอ้อม นอกจากนี้การกินพืช 100% สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากถึง 70% ลดการใช้น้ำได้หลายพันลิตรต่อมื้อ เมื่อเทียบกับอาหารที่มีเนื้อสัตว์ และลดการใช้พื้นที่ทางเกษตร (land use) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของการตัดไม้ทำลายป่าและการสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยลดภาวะโลกร้อนทางอ้อมอีกด้วย

‘วีแกน’ กับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน เชื่อมโยงตามแนวทาง SDGs
SDG 2 ขจัดความหิวโหย (Zero Hunger)
สอดคล้องจากงานศึกษาของ FAO ที่ระบุว่าการผลิตอาหารจากพืชใช้พื้นที่ดินและน้ำ น้อยกว่าปศุสัตว์หลายเท่า การขยับมาทานอาหารจากพืชจึงช่วย “เพิ่มความมั่นคงทางอาหาร” ได้ในระยะยาว เพราะพืชหนึ่งไร่เลี้ยงคนได้มากกว่าเนื้อสัตว์จำนวนเท่ากันหลายเท่า
SDG 12 สร้างหลักประกันให้มีแบบแผนการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน (Responsible Consumption and Production)
อาหารที่มาจากพืชเป็นระบบผลิตที่มีคาร์บอนฟุตพริ้นท์ต่ำกว่าเนื้อสัตว์อย่างมาก งานวิจัยจาก Oxford ชี้ว่าอาหารวีแกนสามารถลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมได้สูงถึง 70% ตั้งแต่ขั้นตอนปลูก ผลิต ขนส่ง ไปจนถึงการกำจัดของเสีย
SDG 13 การดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Action)
ภาคปศุสัตว์เป็นหนึ่งในผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ของโลก ซึ่ง FAO รายงานว่ามีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกคิดเป็น 14.5% ของการปล่อยทั้งหมด โดยสูงกว่าระบบขนส่งในหลายประเทศรวมกัน การกินพืชมากขึ้นจึงมีบทบาทชัดเจนในการลดภาวะโลกร้อนอย่างเป็นรูปธรรม
SDG 14 อนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากมหาสมุทร ทะเล และทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Conserve and sustainably use the oceans, seas and marine resources for sustainable development) & SDG 15 ปกป้อง ฟื้นฟู และสนับสนุนการใช้ระบบนิเวศบนบกอย่างยั่งยืน จัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน ต่อสู้กับการกลายสภาพเป็นทะเลทราย หยุดการเสื่อมโทรมของที่ดินและฟิ้นสภาพกลับมาใหม่ และหยุดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ (Protect, restore and promote sustainable use of terrestrial ecosystems, sustainably manage forests, combat desertification, and halt and reverse land degradation and halt biodiversity loss)
เนื่องจากระบบปศุสัตว์ต้องใช้ที่ดินมหาศาล นำไปสู่การตัดไม้ทำลายป่า การทำลายถิ่นอาศัย และความเสื่อมโทรมของดิน ถ้าหากเราเริ่มหันไปทานอาหารจากพืชมากขึ้น จะช่วยลดการทำลายถิ่นอาศัยและระบบนิเวศของผืนป่า แหล่งน้ำ และสัตว์ป่า ช่วยให้ระบบธรรมชาติมีโอกาสฟื้นฟูได้นานและยั่งยืนยิ่งขึ้น
ที่แสนสิริเอง เราดำเนินกิจกรรมที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนโดยครอบคลุมทั้ง 3 มิติ ได้แก่ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ทั้งหมด 11 เรื่อง พร้อตั้งเป้าหมายสู่การเป็น ’องค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์’ ในปี 2593 ตามแนวทาง SDGs เพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืนในองค์กร และทุกโครงการใหม่ของแสนสิริ

