เวลาพูดถึงเด็กหรือเยาวชน มักจะมีคำเปรียบเปรยที่ว่า ‘เด็กเหมือนผ้าขาว’ ใช่ไหมคะ เพราะเด็กๆ เหล่านี้ยังอยู่ในวัยที่กำลังเติบโต ได้เริ่มใช้ชีวิต และเรียนรู้โลกใบใหญ่ ทำให้พวกเขาเหมือนกับผ้าขาวที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีสันมากมาย เหมือนกันการได้เพิ่มพูนประการณ์ชีวิต แล้วทุกคนคิดว่าถ้าเด็กไม่ใช่ผ้าขาว เขาจะถูกมองหรือเปรียบเปรยเป็นสิ่งใดกันได้บ้างคะ
ถ้าพูดถึงภาพยนตร์ หลายเรื่องที่มีเด็กเป็นส่วนหนึ่งของเรื่อง และอีกหลายเรื่องก็มีเด็กและเยาวชนเหล่านี้เป็นนักแสดงนำค่ะ ซึ่งพวกเขาเหล่านี้มาเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ ของสังคม ที่แม้เขาจะยังเป็นคนที่ัตัวเล็กในสังคม แต่กลับสามารถบอกเล่าเรื่องราวที่สลับซับซ้อนของโลกใบใหญ่นี้ได้ ทั้งเป็นเรื่องที่แสนง่าย เรื่องที่ยากเกินกว่าจะเข้าใจ หรือเรื่องที่แม้แต่ผู้ใหญ่เองก็ยังไม่สามารถอธิบายได้ เพื่อเป็นอีกภาพสะท้อนสังคมในมุมของคนตัวเล็กออกสู่จอใหญ่ ให้สังคมได้เห็นและเรียนรู้ไปพร้อมกันค่ะ
วันนี้แสนสิริรวบรวมภาพยนตร์ ที่มีเด็กและเยาวชนมาถ่ายทอดเรื่องราวในมิติต่างๆ เพื่อเป็นภาพสะท้อนสังคมในมุมคนตัวเล็กไปด้วยกันค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชนชั้น เพศ ครอบครัว หรือความรัก ก็ตาม เรียกได้ว่ามีแง่มุมที่่น่าสนใจและอาจจะเป็นอีกหนังโปรดในลิสต์ของใครหลายคนเลยก็ได้ค่ะ ถ้าพร้อมแล้ว ไปดูกันเลยค่ะ!
The Florida Project
ภาพยนตร์ที่เข้าชิงและกวาดรางวัลมาหลายเวที ทั้งงานภาพ ผู้กำกับ นักแสดง ฯลฯ เรียกได้ว่ากวดเรียบแทบทุกรางวัลที่เราคุ้นหูกันเลยค่ะ ไม่ว่าจะคานส์ ลูกโลกทองคำ หรือออสการ์เช่นกัน ภาพยนตร์จากผู้กำกับมากฝีมืออย่าง “ฌอน เบเกอร์” ผู้กำกับหนุ่มที่เป็นเจ้าของรางวัลออสการ์ปีล่าสุด จากผลงานหนัง Anora ที่สามารถเก็บรางวัลกลับบ้านไปได้ถึง 5 ถ้วย หรือภาพยนตร์สร้างชื่ออย่าง Tangerine (2015) ที่ใช้ ใช้ iPhone 5s ถ่ายทำทั้งเรื่องนั่นเองค่ะ
The Florida Project เป็นเรื่องราวของ มูนี่ และ เฮลลีย์ แม่เลี้ยงเดี่ยวของเธอ ทั้งคู่อาศัยอยู่ใน Magic Castle หรือตึกปราสาทมนตรา ถึงแม้ว่าจะมีชื่อและสีสันสดใสเหมือนดินแดนเทพนิยาย แต่แท้จริงเป็นเพียงอาคารเก่าที่ตั้งอยู่ข้างดิสนีย์เวิลด์ที่เต็มไปด้วยคนชายขอบในสังคม และคนที่ไม่มีรายได้มากพอจะเข้าถึงที่อยู่อาศัยคุณภาพดี หนังดำเนินเรื่องผ่านชีวิตของมูนี่และเพื่อนๆ ผ่านการเล่นในแต่ละวัน เช่น ถุยน้ำลายใส่รถของผู้เช่าคนใหม่ โกหกว่าป่วยเพื่อขอเงินจากผู้ใหญ่มาซื้อไอศกรีม ทำลายของเล่น และเลยเถิดไปจนจุดไฟเผาบ้านร้าง ยังไม่นับรวมการพูดจาเกินวัยและเต็มไปด้วยคำหยาบ เรียกได้ว่ามูนี่และผองเพื่อนทำทุกอย่างที่สวนกับกฎเกณฑ์วัยเด็กของระบียบสังคม
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่การเล่นแบบปกติสำหรับเด็กวัย 6 ขวบเลยสักนิด แต่ด้วยสภาพแวดล้อมรอบตัวที่เกิดขึ้นในเรื่อง ก็ทำให้เราเข้าใจว่าสังคมเองก็มีส่วนทำให้เด็กซึมซับพฤติกรรมเหล่านั้นมาโดยปริยาย เพราะโลกแห่งความเป็นจริงมันไม่ใช่อย่างเรื่องเล่าทองคำ ณ ปลายสายรุ้ง ที่มูนี่เล่าให้เพื่อนฟัง
“รู้ไหมว่าทำไมฉันชอบต้นไม้ต้นนี้ที่สุด เพราะมันล้มลงดินแล้วก็ยังโตต่อไปได้ เจ๋งเนอะ”
หนังฉายภาพความน่ารักของเด็กๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ภาพและโทนสีที่สดใส โมเตลสีเจ็บกลายมาเป็นดินแดนให้ได้เล่นสนุกและเติมเต็มจินตนาการ สมกับที่วัยของพวกเขาที่เป็นอิสระ แต่กลับกันในโลกแห่งความเป็นจริงนั้นเป็นโลกของความตึงเครียด ปฏิเสธไม่ได้ว่าสภาพแวดล้อมและสังคมไม่ส่งผลกระทบต่อเด็ก เพราะหนังเรื่องนี้ช่วยสะท้อนออกมาผ่านวาจาและพฤติกรรมของมูนี่ เพราะโลกที่ความสุขอยู่ใกล้แค่เอื้อมแต่ไกลเกินจะฉวยคว้า หนังเรื่องนี้เป็นเพียงหนึ่งในเสียงสะท้อนจากเด็ก หรืออาจรวมบรรดาผู้ใหญ่ที่ถูกทิ้งให้อยู่ในวงจรความยากจน จนทำให้บางคนเลือกต้องเดินเส้นทางที่ผิด ไม่เป็นที่ยอมรับจากสังคมเพื่อเลี้ยงดูปากท้องของตนและเด็กคนหนึ่งอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะแบบนั้นสำหรับเด็กๆ ที่ไร้เสียงดาแล้ว ดินแดนมหัศจรรย์จะเป็นที่ไหนในโลกก็ได้
Close
ภาพยนตร์ที่ชนะรางวัล ‘Grand Prix’ จากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ครั้งที่ 75 และเป็นภาพยนตร์ที่มีคะแนนเฉลี่ยจากนักวิจารณ์สูงที่สุด รวมถึงยังได้รับเลือกให้เข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม (Best International Feature Film) ในปีเดียวกันอีกด้วย ภาพยนตร์สร้างจากผู้กำกับ ‘ลูคัส ดอนต์’ ผู้กำกับชาวเบลเยียม ที่เคยพาภาพยนตร์เรื่อง ‘Girl’ ที่เปิดตัวฉายในเทศกาลหนังเมืองคานส์ และคว้ารางวัลใหญ่หลายรางวัล เช่น “Camera D’Or” (รางวัลผู้กำกับหนังครั้งแรกยอดเยี่ยม), รางวัล “Queer Palm” และ “Prix FIPRESCI” ในปี 2018
CLOSE เป็นภาพยนตร์แนว coming of age เรื่องราวของลีโอและเรมี่ เด็กชายวัย 13 ปี ที่ใช้วันหยุดช่วงหน้าร้อนด้วยกันจนเกิดเป็นมิตรภาพที่สนิทสนม ใกล้ชิดกันมาก จนบางครั้งก็ให้ความรู้สึกที่เหมือนจะเป็นมากกว่าเพื่อน แต่เมื่อเปิดภาคเรียนมิตรภาพของพวกเขากลับแปรเปลี่ยนไป เมื่อถูกกลุ่มเพื่อนผู้หญิงภายในห้องถามว่า ‘พวกเขาเป็นแฟนกันใช่หรือไม่?’ ไม่เพียงเท่านั้น กลุ่มเด็กผู้ชายยังทำท่าทางล้อเลียน พร้อมกับใช้ถ้อยคำที่ไม่ดีต่อความสัมพันธ์ของลีโอและเรมี่กันอย่างสนุกปาก ทำให้เรมี่เริ่มหันไปเล่นกีฬาที่สังคมยอมรับกับเพื่อนผู้ชาย เช่น ฟุตบอลหรือฮอกกี้ และไม่สนิทกับลีโอเหมือนเดิม ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ค่อยๆ เปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองไปแทบจะไม่เหมือนเดิม จนนำมาสู่จุดจบที่เปลี่ยนชีวิตของพวกเขาไปตลอดกาล และความเสียใจที่ทั้งสองไม่อาจลืมเลือน
“ลองจินตนาการว่านายคือลูกไก่สิ พึ่งถูกฟักออกมา พอลืมตาเป็นครั้งแรกก็พบว่าเป็ดทุกตัวเป็นสีเหลือง และนายก็เหมือนกัน แต่นายงดงามมากกว่านั้น นายคือคนที่พิเศษ”
หนังสะท้อนให้เราเห็นถึงความละเอียดอ่อนในความสัมพันธ์ ที่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของมิตรภาพหรือความรักครั้งแรก ทำให้ได้ย้อนกลับมามองถึงความสำคัญของการรักตัวเองและเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น รวมถึงการให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ต่างๆ กับผู้คนรอบตัวในชีวิต ทำให้เราตระหนักได้ว่าทุกคนในสังคมล้วนต้องการการยอมรับและความเข้าใจจากคนรอบข้าง เพราะสำหรับเด็กวัย 13 ปีบางคน พวกเขายังไม่เข้าใจความซับซ้อยของสังคมหรือความรักในเชิงชู้สาว ทำให้จำเป็นต้องมีระยะห่างหรือใช้เวลาในช่งหนึ่งของชีวิต เพื่อค้นหา รู้จัก และเข้าใจความรู้สึกของตนเอง ส่วนสุดท้ายคือหนังทำให้เราเห็นถึงความสำคัญของเรื่องความรุนแรงในโรงเรียนและการบูลลี่ว่ามีผลอย่างไร และมีความรับผิดชอบอะไรที่ตามมาในระดับสังคม
Monster
ภาพยนตร์ที่เลือกเล่าเรื่องเป็น Rashomon Effect บนเหตุการณ์เดียวกันจากหลายมุมมองผสมผสานกับความทริลเลอร์ ผลงานการเขียนบทจากปลายปากกาของ ‘ยูจิ ซากาโมโตะ’ นักเขียนบทละครโทรทัศน์ชื่อดัง ไม่ว่าจะ Still, Life Goes On (2011), Quartet (2017) หรือ My Dear Exes (2021) และผู้กำกับมากฝีมืออย่าง ‘ฮิโรคาสุ โคเรเอดะ’ เป็นที่รู้จักและสร้างภาพยนตร์น้ำดีมากมายหลายเรื่อง อย่าง Like Father, Like Son (2013) และ Shoplifters (2018) โดย Monster คว้ารางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ 2023 พร้อมเสียงปรบมือยาวนานถึง 6 นาที จากบทที่มีการพลิกและเผยให้เห็นด้านที่ลึกลับซับซ้อนของมนุษย์ได้อย่างน่าทึ่ง นอกจากนี้เพลงประกอบในเรื่องยังเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของ ‘ริวอิจิ ซากาโมโตะ’ นักประพันธ์เพลงชื่อดังผู้ล่วงลับ ซึ่งเขาทำเพลงในช่วงที่กำลังต่อสู้กับโรคมะเร็งระยะสุดท้าย
ภาพยนตร์แบ่งเป็น 3 ตอนและเล่าผ่านมุมมองของสามตัวละคร ตอนแรกคือมุมมองของแม่ ตอนสองคือคุณครู และตอนสามคือลูกชาย เป็นเรื่องราวของ ‘แม่’ คนหนึ่ง ที่พบว่า ‘มินาโตะ’ ลูกชายของเธอเริ่มมีพฤติกรรมแปลกไป หนีเรียน ผมเปียกกลับมาบ้านบ่อยครั้ง และมีอาการหวาดระแวง เธอจึงเริ่มสืบหาความจริง แล้วพบว่าคุณครูมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่เมื่อเรื่องดำเนินไปถึงมุมมองของครูที่มีต่อมินาโตะ ทุกอย่างกลับตาลปัตรและซับซ้อนมากกว่า กับการเข้ามาของ ‘โยริ’ นักเรียนชายที่ถูกกลั่นแกล้งจากสังคมในห้องเรียน ก่อนจะฉายให้เห็นถึงเรื่องราวอีกด้านผ่านความสัมพันธ์ที่แท้จริงของมินาโตะและโยริ และความจริงก็ค่อยๆ ปรากฏออกมาให้เราตีความกันเองว่าใครกันคือ Monster ของสังคม
“If only some people can have it, that’s not happiness. That’s just nonsense. Happiness is something anyone can have.”
หนังสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางและความรุนแรงต่อชีวิตในวัยเด็ก ที่โลกความเป็นจริงนั้นโหดร้ายและไม่คเยปราณีกับความเยาว์วัยจนทำให้เด็กเหล่านี้เลือกที่จะใช้ชีวิตในแบบที่ตนเองต้องการอยู่บนโลกแห่งจินตนาการ โลกที่ไม่มีผู้ใหญ่คนไหนมาตัดสินหรือตีตราตัวตนของพวกเขาได้อีกต่อไป ทิ้งให้คนดูอย่างเราได้ครุ่นคิดและตัดสินต่อว่าสรุปแล้วสัตว์ประหลาดคือใครกันแน่ ซึ่งก็อาจตีความได้หลายแบบ ความดี-ความชั่ว, อุดมการณ์เรื่องเพศที่ฉาบเคลือบทับสังคมญี่ปุ่น หรือความแปลกแยกเป็นอื่นของสังคมเด็ก – ผู้ใหญ่ สุดท้ายแล้วความรู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการส่งต่อความเข้าอกเข้าใจไปสู่ผู้อื่น ไม่ว่าจะเรื่องวัยหรือเรื่องเพศก็ตาม
Aftersun
ภาพยนตร์ผลงานของ ชาร์ล็อต เวลส์ ผู้กำกับสาวที่มีผลงานการันตีคุณภาพผ่านรางวัลมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การเข้าชิงรางวัลและชนะรางวัลในหลายเทศกาลระดับสากลเบอร์ต้น ทั้งรางวัล French Touch Prize of the Critics’ Week Jury จากเทศกาลใหญ่อย่าง Cannes Film Festival 2022 รวมถึง Best Leading Actor จากเวที BAFTA Awards 2023 และยังได้รับเลือกให้อยู่ในรายชื่ออันดับที่ 1 จาก 50 ภาพยนตร์ที่ดีที่สุดแห่งปี 2022 โดยนิตยสาร Sight and Sound และสำนักข่าว The Guardian นอกจากนี้ในปีต่อมา Paul Mescal นักแสดงผู้รับบทเป็นพ่อ ยังถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมอีกด้วย
ภาพยนตร์เล่าเรื่องราวของ ‘โซฟี’ ที่พบเทปม้วนหนึ่งที่เคยถ่ายไว้เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ซึ่งเทปม้วนนั้นคือเทปบันทึกเหตุการณ์ครั้งสุดท้ายที่เธอได้พบกับพ่อ ‘คาลัม’ ที่ไปเที่ยวด้วยกันในวันหยุดฤดูร้อนที่ตุรกี แต่ทุกวันกลับผ่านพ้นไปด้วยกิจกรรมเฉื่อยชา ไม่ว่าจะเป็นร้องเพลง ว่ายน้ำ หรือนอนตากแดด ทว่าในความทรงจำเรียบเรื่อยนี้กลับมีรายละเอียดมากมายซุกซ่อนและ สอดแทรกอยู่ในเรื่องราว บทสทนา และความสัมพันธ์ของสองพ่อลูก หลอกล่อให้เราไม่ทันสังเกตความเศร้าที่แฝงซ่อนอยู่เบื้องหลัง ซึ่งระยะเวลาสั้นๆ ของทริปทำให้โซฟีในวัย 11 ปี มองข้ามภาพของพ่อตัวเองที่สูบบุหรี่เงียบๆ ด้วยความอมทุกข์, ท่าทางการไม่ได้สนใจพูดคุยกับผู้หญิงอื่น หรือแม้กระทั่งการแอบร้องไห้อย่างหนักหน่วงตอนกลางคืน รวมถึงไม่ได้รู้เลยว่านี่จะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่เธอจะได้ใช้กับพ่อ ก่อนที่เขาจะหายไปจากชีวิตเธอตลอดกาล
“ดีจังเลยนะที่เรามีท้องฟ้าเดียวกัน บางทีหนูแหงนมองฟ้าแล้วถ้าเห็นดวงอาทิตย์หนูก็จะคิดถึงความจริงที่ว่าเราเห็นมันกันทั้งคู่ เพราะงั้นต่อให้เราไม่ได้อยู่ที่เดียวกันและไม่ได้อยู่ด้วยกันก็ยังเหมือนว่าเราอยู่ด้วยกัน”
หนังถ่ายทอดผ่านการหยิบยกประเด็นทางสุขภาพจิตมาเชื่อมโยงเข้ากับความสัมพันธ์ในครอบครัว ให้เราสัมผัสผ่านตัวละครของแคลัมที่เขากำลังต่อสู้ดิ้นรนกับบางสิ่งภายในจิตใจ ซึ่งอาจจะมีการเยียวยาด้วยวิธีการต่าง ๆ มากมาย แม้ท้ายที่สุดแล้วหนังไม่ได้บอกเราว่าแคลัมสามารถเอาชนะสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่ได้หรือไม่ แล้วตัวของลูกอย่างโซฟีได้มองเห็นสิ่งที่แคลัมซ่อนเอาไปอย่างสุดก้นบึ้งของหัวใจหรือไม่ ทว่าตอนจบของหนังนั้นชวนให้เราได้ลองคิดทบทวนไปถึงความสัมพันธ์ ภาระหน้าที่ บทบาทของคนในครอบครัว และความสำคัญต่อการดูแลสุขภาพจิตทั้งตนเองและคนสำคัญรอบตัวด้วยเช่นกัน
Bring Her Back
หากพูดถึงภาพยนตร์ที่นักแสดงนำเป็นเด็กที่มาแรงในปีนี้ ไม่พูดถึง Bring Her Back ก็คงไม่ได้ ภาพยนตร์ที่เปิดตัวด้วยคะแนนรีวิวชุดแรกจาก Rotten Tomatoes สูงถึง 94% ผลงานภาพยนตร์เรื่องที่ 2 ถัดจาก “Talk To Me” (2022) ของผู้กำกับ 2 พี่น้อง Danny Philippou และ Michael Philippou ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Golden Trailer Awards ในสาขา Best Sound Editing นอกจากนี้ ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Critic’s Choice Super Awards ในช่วงปลายปีนี้อีกด้วย
ภาพยนตร์เล่าเรื่องราวของ สองพี่น้องต่างแม่ ‘แอนดี้’ และ ‘ไพเพอร์’ อาศัยอยู่กับพ่อ แม้พวกเขาจะไม่ได้เกิดจากแม่คนเดียวกัน แต่แอนดี้ก็ดูแลเทคแคร์น้องสาวผู้มีความบกพร่องทางสายตาของเขาอย่างสุดความสามารถ โชคชะตาดูเหมือนจะไม่เข้าข้างสองพี่น้องเมื่อทั้งสองกลับบ้านมาพบว่าพ่อของพวกเขาเสียชีวิตในห้องน้ำ ทำให้พี่น้องสองคนถูกอุปภัมภ์ไปอยู่บ้านหลังใหม่โดยมี ‘ลอร่า’ หญิงผู้ทำงานด้านสวัสดิการเด็กมานาน แม้บ้านหลังใหม่แห่งนี้ดูภายนอกเหมือนเป็นบ้านที่น่าอยู่ แต่แอนดี้กลับรู้สึกได้ถึงความไม่ปกติ เมื่อเขาได้พบกับ ‘โอลิเวอร์’ เด็กอีกคนที่ลอร่ารับเลี้ยงไว้ แต่หลังจากนั้นไม่นาน สิ่งแปลกๆ ก็เริ่มเกิดขึ้น โดยเฉพาะกับไพเพอร์ ความอบอุ่นในบ้านจึงเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวแบบที่อธิบายไม่ได้ และนำไปสู่เรื่องราวที่พวกเขายากจะจินตนาการถึง
“I’ve Spoken With An Angel. It Showed Me How I Can Be A Mother Again.”
หนังพาเราไปดูเรื่องราวของเด็กสามคนและหนึ่งคุณแม่ ที่ทุกตัวละครมีปมในใจแตกต่างกันไป ทั้งไพเพอร์ที่รู้สึกตัวเองแปลกแยกจากสังคมจาการเป็นผู้มีความบกพร่องทางสายตา แอนดี้ที่อยากปกป้องน้องสาวของเขาจากโลกอันโหดร้ายสุดหัวใจ เพราะในอดีตเขาเคยถูกพ่อต่างแม่ทำร้ายร่างกายอันเกิดจากความเข้าใจผิดมาก่อน โอลิเวอร์ เด็กชายผู้ที่ถูกนำมาเลี้ยงแบบผิดๆ แม้แต่ตัวเขาเองก็สูญเสียความเป็นตัวเองไปแล้ว อีกทั้งหนังยังถ่ายทอดผ่านความรู้สึกของคนเป็นแม่อย่างลอร่า ที่สูญเสียลูกสาวและยังคงจมปลักไม่ปล่อยวางจากการสูญเสียออกมาได้ ความต้องการที่จะได้อยู่กับลูกอีกครั้งของเธอรุนแรงเข้าขั้นอันตรายจนต้องเข้าไปพัวพันกับลัทธิแปลกประหลาด
ซึ่งหนังไม่ได้บอกที่มาที่ไปกับเรามากนัก แต่ทำให้เรามองเห็นความเศร้าหมองในจิตใจของลอร่าออกมาได้ชัดเจน ไม่ว่าจะการกระทำ คำพูด หรือสายตา ท้ายที่สุดแล้วบุคคลที่น่าสงสารมากที่สุดก็ไม่พ้นเด็กๆ ที่เพียงต้องการอยากมีครอบครัวที่อบอุ่นเท่านั้น แต่กลับต้องมาตกเป็นเครื่อมือทางจิตวิทยาอันโหดร้ายของผู้ใหญ่ในสังคมหนึ่ง ที่พรากความสุขและชีวิตวัยเด็กของพวกเขาจากไปตลอดกาลอย่างสุดสะเทือนใจ เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องที่อยากให้เราย้อนกลับมาให้ความสำคัญเรื่องความรุนแรงและสุขภาพจิตในครอบครัว คนสำคัญ หรือแม้กระทั่งตัวของเราเอง