ถ้าให้เลือกเทศกาลสุดโปรดในใจของทุกคนในปีนี้ มีใครรอคอยให้ถึง ‘วันคริสต์มาส’ อยู่บ้างไหมคะ เรียกได้ว่าพอจบเทศกาลฮาโลวีน บรรยากาศรอบตัวเราก็เริ่มสัมผัสถึงความครึกครื้นและความ festive ของเทศกาลสิ้นปีขึ้นทันที ไม่ว่าจะเป็นต้นคริสต์มาส ของประดับสีแดง หรือการกลับมาของเพลงประจำฤดูหนาวที่เริ่มคุ้นหูกันโดยเฉพาะ “All I Want for Christmas Is You” ของ Mariah Carey (ราชินีแห่งคริสต์มาส) และ “The First Snow” ของ EXO กลายเป็นเพลงติดหูที่กลับมาครองชาร์ตทุกเทศกาลส้นปี จนถูกเรียกว่าเป็นหนึ่งในเพลงบำนาญคริสต์มาสกันเลยทีเดียว
วันนี้แสนสิริ เลยอยากลองพาทุกคนไปเจาะให้ลึกถึงเรื่องราวของวันคริสต์มาส ว่าทำไมพิธีกรรมทางศาสนา ถึงกลายมาเป็นเทศกาลแห่งความสุขข้ามศตวรรษได้อย่างยาวนานทั่วโลก แม้แต่ละประเทศจะมีศาสนาและความเชื่อที่แตกต่างกัน แต่พอถึงช่วงสิ้นปีเมื่อไหร่ วันคริสต์มาสที่เป็นวันสำคัญของศาสนาคริสต์ แปรเปลี่ยนเป็นความกลมกลืนของพหุวัฒนธรรมในหลากหลายศาสนาและความเชื่อ ที่ให้ทุกคนได้เข้ามาร่วมเฉลิมฉลองช่วงเวลาสิ้นปีด้วยกัน จะมีเรื่องราวของเส้นทางความเชื่อ องค์ประกอบ และสถานที่ไหนน่าสนใจบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ!
ถ้าใครกำลังมองหาพื้นที่สำหรับพักผ่อน เหมาะสำหรับใช้เวลาฮีลกายและใจในช่วงเทศกาลส่งความสุขท้ายปีแบบนี้ ที่แสนสิริเอง เราก็มีโครงการหลากหลายรูปแบบให้ทุกคนได้เข้ามาลองเอนกาย พักใจในโครงการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคุณได้ครบทุกรูปแบบอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม หรือคอนโดมิเนียม ที่พร้อมรองรับความหลากหลายไลฟ์สไตล์ของคุณได้อย่างพอดี
คลิกได้เลยที่นี่ https://siri.ly/MdFPct2



การเดินทางของ ‘คริสต์มาส’ จากพิธีทางศาสนาสู่เทศกาลส่งความสุข
คริสต์มาสแบบดั้งเดิมมาจากคำว่า Christ’s Mass หมายถึง พิธีมิสซาเพื่อระลึกถึงการประสูติของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของความเชื่อในศาสนาคริสต์ว่าพระเยซูคือพระบุตรของพระเจ้า ผู้เสด็จมาเพื่อไถ่บาปมนุษย์
ในช่วง 200 ปีแรกของในยุคคริสตจักร คริสต์มาสไม่ใช่เทศกาลหลักแต่คริสตชนให้ความสำคัญกับเทศกาลอีสเตอร์มากกว่า และยังไม่มีการกำหนดวันประสูติของพระเยซูอย่างเป็นทางการ
การเฉลิมฉลองคริสต์มาสเริ่มมีหลักฐานชัดเจนใน กรุงโรม ค.ศ. 336 ที่มีการบันทึกการเฉลิมฉลองคริสต์มาสในวันที่ 25 ธันวาคม ซึ่งถือเป็นบันทึกคริสต์มาสที่เก่าแก่ที่สุด โดยพิธีกรรมดั้งเดิมประกอบด้วย การสวดมิสซา, การอ่านพระคัมภีร์, การอดอาหารและการภาวนา
ต่อมาในยุโรปยุคกลาง คริสต์มาสขยายจากโบสถ์สู่ชุมชนมากขึ้น ผู้คนเริ่มมีการหยุดงานในวันสำคัญ ร่วมกันร้องเพลงสวด (Carol) แบ่งปันอาหาร และช่วยเหลือผู้ยากไร้ British Library ให้ข้อมูลว่า คริสต์มาสในยุคนี้คือเทศกาลที่เชื่อมศาสนา ชุมชน และชีวิตประจำวันเข้าไว้ด้วยกัน
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 19 โดยเฉพาะในยุควิกตอเรีย คริสต์มาสผูกติดไปกับความเป็นครอบครัว เด็ก ความอบอุ่น และวรรณกรรมอย่าง A Christmas Carol ของ Charles Dickens มีบทบาทสำคัญในการชช่วยสร้างภาพจำว่าคริสต์มาสคือเทศกาลแห่งความเมตตาและการให้อภัย เริ่มมีสัญลักษณ์ของเทศกาลเป็นต้นคริสต์มาส ซานตาคลอส และของขวัญ นับเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมร่วมสมัย
เมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 20 ทำให้คริสต์มาสกลายเป็นเทศกาลสากล ที่ข้ามพรมแดนศาสนาและวัฒนธรรมในหลายประเทศทั่วโลก คือมีลักษณะการเป็น Local Adaptation ผ่านการใช้สัญลักษณ์ร่วมกัน อย่าง ต้นคริสต์มาส ซานตาคลอส และกล่องของขวัญ นอกจากนี้คริสต์มาสยังถือเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่มีการใช้จ่ายสูงที่สุดของโลกในแต่ละปีอีกด้วย

องค์ประกอบคริสต์มาส จากศาสนา พิธีกรรม สู่วัฒนธรรมสากล
ต้นคริสต์มาส
สื่อถึง ชีวิตนิรันดร์ (Everlasting Life) เนื่องจากเป็นต้นสนที่ไม่ผลัดใบ (Evergreen) มีความเขียวขจีทั้งปี รูปทรงสามเหลี่ยมของต้นยังสื่อถึง พระตรีเอกภาพ (Holy Trinity: พระบิดา พระบุตร และพระจิต)
ดาว
มีที่มาจากดาวแห่งเบธเลเฮมในพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการนำทางสามนักปราชญ์ไปยังสถานที่ประสูติของพระเยซู สื่อถึงแสงสว่างและการนำทาง
ซานตาคลอส
ต้นกำเนิดจากนักบุญนิโคลัส บิชอป ในศตวรรษที่ 4 มีชื่อเสียงด้านการช่วยเหลือเด็กและผู้ยากไร้ กลายเป็นสัญลักษณ์ทางโลกของการให้และความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
พวงมาลัย (Wreath)
มีรากจากประเพณีโรมันและยุโรปโบราณ รูปวงกลมเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตนิรันดร์ และ ความรักที่ไม่สิ้นสุดของพระเจ้า มักทำจากใบไม้เขียวเพื่อสื่อถึงชีวิต
ระฆัง/กระดิ่ง
ใช้เป็นสัญญาณเพื่อประกาศการประสูติของพระเยซู และเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นใหม่หรือข่าวดี
ต้นฮอลลี่
หนึ่งในพืชศักดิ์สิทธิ์ของยุโรป ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของความหวัง ความแข็งแกร่ง และความเป็นอมตะ
ถุงเท้า
เชื่อมโยงกับตำนานของนักบุญนิโคลัส ที่โยนถุงทองคำลงไปในปล่องไฟ และทองคำตกลงในถุงเท้าที่ตากไว้หน้าเตาผิง เป็นสัญลักษณ์ของการได้รับของขวัญแห่งความสุข
เพลง (Carols)
มีต้นกำเนิดจากเพลงพื้นบ้านในยุโรปยุคกลาง ใช้เพือเล่าเรื่องเกี่ยวกับศาสนา ก่อนจะพัฒนาเป็นบทเพลงแห่งการเฉลิมฉลอง เช่น Silent Night, Jingle Bells

คริสต์มาสในประเทศไทย ที่มาที่ไปของความพหุวัฒนธรรม
คริสต์มาสเข้าสู่สยาม พร้อมคริสต์ศาสนา
คริสต์มาสเข้ามาในประเทศไทยพร้อมกับ ศาสนาคริสต์ โดยมีหลักฐานตั้งแต่ช่วง ปลายกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. 2100 – 2300) ผ่านคณะมิชชันนารีชาวโปรตุเกส ฝรั่งเศส และต่อมาคืออเมริกัน ในระยะแรก คริสต์มาสเป็นพิธีทางศาสนาอย่างเคร่งครัด จัดขึ้นภายในโบสถ์และจำกัดอยู่ในกลุ่มชาวคริสต์เท่านั้น
ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น รัชกาลที่ 4 – 5
คริสต์ศาสนาเริ่มมีบทบาทมากขึ้นในสังคมสยาม ในสมัยรัชกาลที่ 5 การเปิดรับอารยธรรมตะวันตก ทำให้เทศกาลคริสต์มาสถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความศิวิไลซ์ ความทันสมัย และเป็นการทูตระหว่างประเทศ ทำให้เกิดการตั้งโรงเรียนมิชชันนารี การพิมพ์หนังสือคริสต์ศาสนาและบทเพลงสวด
คริสต์มาสในสังคมไทยยุคใหม่ (หลัง พ.ศ. 2500)
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา คริสต์มาสในไทยเริ่ม แยกตัวออกจากบริบทศาสนา และกลายเป็นเทศกาลแห่งความสุขปลายปี ที่คนทุกศาสนามีส่วนร่วมได้ โดยไม่จำเป็นต้องนับถือศาสนาคริสต์
ปัจจุบัน
คริสต์มาสถูกมองว่าเป็น เทศกาลทางวัฒนธรรม (Cultural Festival) มากกว่าพิธีกรรมทางศาสนา แม้ประชากรไทยที่นับถือศาสนาคริสต์จะมีสัดส่วนไม่ถึง 1% ของประชากรทั้งหมด แต่คริสต์มาสกลับเป็นหนึ่งในเทศกาลที่ได้รับการยอมรับในวงกว้างที่สุด

พิกัดแลนด์มาร์คเทศกาลคริสต์มาสที่ต้องไปเยือนสักครั้ง
เยอรมนี
ถูกยกให้เป็นต้นกำเนิดของ Christmas Market โดยมีเมืองเด่นๆ เช่น เดรสเดน (เก่าแก่ที่สุด), นูเรมเบิร์ก (มีชื่อเสียงระดับโลก), มิวนิก (จัตุรัส Marienplatz) และ โคโลญ (ใกล้มหาวิหาร) ที่มีบรรยากาศอบอุ่น เต็มไปด้วยอาหารขึ้นชื่อ อย่าง ไส้กรอก เครื่องดื่มไวน์ร้อน Glühwein และของตกแต่งตามธีม พร้อมงานสถาปัตยกรรมสวยงามให้ชม
ออสเตรีย
ไปเยือนตลาดคริสต์มาส (Christkindlmarkt) ที่มีเสน่ห์ในหลายเมือง เช่น เวียนนา ที่มีตลาดใหญ่ที่ Rathausplatz และ Schönbrunn Palace และอินส์บรุค ที่มีฉากหลังเป็นเทือกเขาแอลป์ หนึ่งในตลาดคริสต์มาสที่สวยสุดในโลก โดยไฮไลต์คือบรรยากาศแสงสีเสียง ของกินท้องถิ่นอย่าง Punsch (พันช์) และ Glühwein (ไวน์ร้อน) กับขนมปังขิง/เกาลัดคั่ว
สหราชอาณาจักร
เน้นการไปชมแสงสี, ตลาดคริสต์มาส (Christmas Markets) ที่ลอนดอน (ไฮด์พาร์ค, เซาท์แบงค์) แต่สำหรับชาวอังกฤษ คริสต์มาสคือช่วงเวลาของครอบครัวอย่างแท้จริง มักจะมีการรวมตัวในบ้านเพื่อตั้งโต๊ะ Christmas Dinner และทานอาหารด้วยกัน เช่น ไก่งวง พุดดิ้ง
ฟินแลนด์
ประเทศที่ถูกเรียกว่า “บ้านของซานตาคลอส” ตั้งอยู่บนเส้นอาร์กติกเซอร์เคิล (Arctic Circle) เมืองโรวาเนียมิ (Rovaniemi) แลปแลนด์ (Lapland) ทางเหนือสุดของประเทศฟินแลนด์ หนึ่งในที่เที่ยวสุดฮิตของฟินแลนด์ที่มีนักท่องเที่ยวแวะมากันอย่างคึกคัก และพบกับลุงซานตาคลอสได้ตลอดทั้งปี
สหรัฐอเมริกา
เน้นเมืองใหญ่ที่มีชื่อเสียงเรื่องการประดับไฟและกิจกรรม เช่น นิวยอร์ก หรือเมืองที่มีธีมเฉพาะ ไฮไลท์สุดยอดความอลังการของเทศกาลคริสต์มาสที่ทุกคนต้องมาสัมผัสคือ ต้นคริสต์มาสขนาดยักษ์ที่ Rockefeller Center, สเก็ตน้ำแข็ง Central Park ใจกลางนิวยอร์ก
ฝรั่งเศส
มีตลาดคริสต์มาสเก่าแก่และสวยงามระดับโลก พร้อมบรรยากาศบ้านเรือนสไตล์ยุโรป ที่ชวนให้สัมผัสบรรยากาศสิ้นปี พร้อมเดินเล่นตลาดคริสต์มาส (Marché de Noël) ทานอาหารท้องถิ่น และจิบ

