วงการฟุตบอลเป็นวงการกีฬาที่ค่อนข้างเหี้ยมโหด จริงหรือไม่?
ในโลกแห่งความฝันดูเหมือนฟุตบอลเป็นสิ่งที่ทุกคนใฝ่ฝันอยากจะเข้าไปมีส่วนร่วม ทั้งเรื่องของค่าเหนื่อย ค่าตอบแทน ชีวิตอันแสนหรูหรา ความมีชื่อเสียง แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว โดยเฉพาะสำหรับคนบางกลุ่มอย่าง ผู้จัดการทีม วงการฟุตบอลเต็มไปด้วยความโหดร้าย ความเครียด และภาระอันหนักอึ้งที่ต้องแบกเอาไว้
เราเห็นกันเสมอๆ ว่าเมื่อใดที่ผลงานของทีมไม่ดี ผู้จัดการทีม มักจะเป็น แพะ ตัวแรกที่โดนเชือด ในทางกลับกันเมื่อทำผลงานได้ดีโดยมากนักเตะจะกลายเป็นคนที่ได้รับคำชื่นชมมากกว่าตัวผู้จัดการ อย่างไรก็ตาม บางครั้งการสร้างผลงานในสนามที่น่าประทับใจก็ไม่เพียงพอที่จะตอบสนองให้เจ้าของสโมสรพึงพอใจได้ ยิ่งในยุคนี้เม็ดเงินสะพรั่งกันเต็มไปหมด การเปลี่ยนตัวผู้จัดการทีมกันแบบฟ้าผ่าเกิดให้เห็นกันบ่อยๆ และไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร วันนี้ผมเลยอยากเขียนถึงกรณีผู้จัดการทีมสองคนที่ผมคิดว่าน่าสนใจในเรื่องที่คล้ายๆ กัน
คนแรกที่ผมจะพูดถึงคืออดีตผู้จัดการทีม Real Madrid อย่าง Vincente Del Bosque ผู้ซึ่งเป็นบุคคลหนึ่งที่ได้รับการยอมรับและรักจากแฟนๆ ของทีมมากที่สุดคนหนึ่งแต่กลับถูกปลดกลางอากาศแบบไม่คาดคิดแม้ว่า Del Bosque จะเป็นผู้จัดการทีมที่นำพา Real Madrid เข้าสู่ยุครุ่งเรืองสูงสุดยุคหนึ่งเลยทีเดียว
Del Bosque เข้ารับตำแหน่งในปี 1999 และในฤดูกาลแรกนั้นเองก็พาทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกได้เป็นสมัยที่ 8 ในประวัตศาสตร์ของสโมสรและทำได้อีกครั้งในปี 2002 และในสี่ปีที่เค้าคุมทีม Real Madrid เข้ารอบรองชนะเลิศมาทุกปีเป็นอย่างน้อย รวมทั้งคว้าแชมป์ลาลีกา 2 สมัยและถ้วยอื่นๆ อีกมากมาย แต่ในยุคนั้นเองที่นาย Perez ประธานสโมสรเริ่มนโยบายการสร้างทีมซุปเปอร์สตาร์ และเอานักเตะหลายคนมาร่วมทีมโดยไม่สนใจว่า Del Bosque จะมีส่วนร่วมหรือไม่ สุดท้าย Del Bosque โดนปลดด้วยเหตุผลที่ว่าเค้าทำทีมได้ไม่ตื่นเต้นพอและสโมสรต้องการเลือดใหม่เข้ามาแทน
สำหรับเขาเองความผิดหวังของการโดนปลดกลับกลายเป็นโอกาสให้เขาได้มาทำทีมชาติสเปน ซึ่งถือว่าเป็นยุครุ่งเรืองที่สุดยุคหนึ่งของวงการลูกหนังกระทิงดุเลยทีเดียว ด้วยการคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกและฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรปในปี 2010 และ 2012 ตามลำดับ
อีกคนหนึ่งที่ผมจะพูดถึงเหมือนจะเดินย้อนศรกับ Del Bosque คือรายนี้เปลี่ยนสถานะจากการคุมทีมชาติแล้วหันมาคุมทีมสโมสรแทน นั่นก็คือกรณีล่าสุดที่ ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ได้รับการแต่งตั้งให้คุม ทีมการท่าเรือ ภายหลังจากที่จบบทบาทของการทำหน้าที่โค้ชทีมชาติไทยอย่างไม่ค่อยสวยนักนั่นเอง โดยในกรณีของคุณซิโก้นี้ค่อนข้างพลิกล็อคเพราะเราไม่นึกว่าซิโก้จะกลับมาทำทีมระดับสโมสรอีกครั้งหลังจากที่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะโฟกัสเรื่องของการสร้างรากฐานฟุตบอลไทยในระดับเยาวชน ซึ่งในมุมมองของผมก็มีประเด็นที่อยากให้ลองคิดกัน
เรื่องแรก เป็นนัยยะทางด้านการพาณิชย์ ใครที่อยู่ในวงการโฆษณาหรือสินค้าอุปโภคบริโภคคงทราบดีว่าคุณซิโก้เป็นหนึ่งในพรีเซ็นเตอร์ของบริษัทประกันยักษ์ใหญ่รายหนึ่งที่กุมบังเหียนโดยผู้บริหารที่มีนามสกุลเหมือนคุณนวลพรรณ ล่ำซำ ซึ่งทั้งสองท่านก็เป็นบุคคคลที่ผมรู้จักดีมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นในกรณีนี้ ผมเชื่อว่าถ้าจะมีใครสักคนกล่อมให้คุณซิโก้กลับมาทำหน้าที่ผู้คุมทีมเพื่อสร้างมูลค่าและความน่าสนใจให้กับแฟนบอลแล้วล่ะก็ คนนามสกุลนี้นั่นแหละน่าจะทำได้ดีที่สุด
ผมว่าข้อได้เปรียบของการที่คนนามสกุลล่ำซำเกลี้ยกล่อมคุณซิโก้ในครั้งนี้ก็คือ “วาระความโปร่งใสที่เอาเรื่องการพาณิชย์เป็นตัวตั้ง” ถ้าเป็นอย่างนี้ผมว่าน่าจะคุยกันง่ายครับ คนทำมาค้าขายเข้าใจดีถึงการ “ว่าจ้าง” อย่างมืออาชีพ ไม่ใช่การขอร้อง ไหว้วาน สไตล์เอาความเกรงใจเป็นที่ตั้ง ติดบุญคุณกัน การเจรจาตกลงกันประเภทนี้ที่เรามักเห็นกันเสมอๆ รังแต่จะนำมาซึ่งความลำบากใจในการทำงานครับ
เรื่องที่สอง ผมคิดว่าการที่คุณซิโก้ได้ถูกกล่อมให้ยอมตัดสินใจกลับลำมาทำทีมสโมสรฟุตบอลการท่าเรืออีกครั้งเป็นเรื่องที่น่ายินดีนะครับ เพราะเราทุกคนทราบดีว่าคุณซิโก้เองตั้งแต่สมัยเป็นนักเตะจนมาถึงเป็นผู้จัดการทีมชาตินั้น เป็นหนึ่งบุคคลในวงการฟุตบอลร่วมสมัยที่เรียกได้ว่ามีจิตวิญญาณ รักเกมฟุตบอลและมีส่วนสร้างกระแสความนิยมและความรักฟุตบอลให้กับแฟนบอล เด็กๆ เยาวชนมากมาย เป็นหนึ่งในบุคคลที่ทำให้คนที่ไม่เคยสนใจฟุตบอลไทยหันหลังกลับมาดูว่าวงการฟุตบอลไทยมีอะไรน่าสนใจและช่วยกันเชียร์ทีมชาติไทยในระยะหลังๆ
เรื่องที่สาม ผมคิดว่ามีความน่าสนใจที่คุณซิโก้เลือกที่จะมาคุมทีมอย่างการท่าเรือ หนึ่งในทีมที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานในวงการฟุตบอลไทย มีแฟนบอลเหนียวแน่นและเคยสร้างอดีตผู้เล่นยุคก่อนๆ ให้กับทีมชาติไทยมากมาย แฟนบอลหลายคนรวมทั้งผมด้วยเคยใจหายตอนที่สโมสรจะยุบไป แต่โชคดีที่ได้ผู้สนับสนุนคนใหม่อย่างคุณนวลพรรณ เข้ามาจัดการปลุกปั้นเสียใหม่ ดังนั้นจึงเป็นการได้กุนซือคนใหม่ที่น่าสนใจว่าจะสามารถปลุกปั้นสโมสรเก่าแก่อย่างการท่าเรือขึ้นมาสู้สโมสรหน้าใหม่ๆ ที่ทุนหนาได้หรือไม่ ซึ่งเชื่อครับว่าแฟนบอลทุกคนเอาใจช่วย
เรื่องสุดท้าย เป็นเหมือนการสรุปรวมจากสามประเด็นข้างต้นมาทั้งหมด สิ่งที่ผมคิดว่าเป็นเรื่องดีสำหรับวงการฟุตบอลไทยก็คือ การได้คุณซิโก้กลับมาคุมทีมที่มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานแบบปลอดโปร่งโล่งใจน่าจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ฟุตบอลลีกไทยมีความน่าสนใจมากขึ้น เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าตอนนี้วงจรฟุตบอลลีกไทยเริ่มเข้ายุคของอาการทรงๆ แฟนบอลที่เข้าชมในสนามแต่ละเกมเริ่มลดลงจากยุคที่ฮิตสุดๆ อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งไม่อยากจะบ่นแต่ผมเชื่อว่าเป็นเพราะหลากหลายกรณีที่น่าเบื่อไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการบริหารงานของผู้รับผิดชอบที่ไม่โปร่งใส การทะเลาะกันภายใน ปัญหาการเมืองระหว่างทีม ปัญหากรรมการด้อยคุณภาพ แฟนบอลตีกัน ฯลฯ ที่ทำให้บั่นทอนความเชื่อมั่นและความสนใจของแฟนบอล
สุดท้ายนี้ผมก็ต้องขอเอาใจช่วยคุณซิโก้กับบทบาทใหม่ครั้งนี้ ถ้าสามารถทำได้เหมือน Del Bosque จะเยี่ยมเลยครับ แต่การทำทีมสโมสรให้สำเร็จอาจจะไม่หนักหนาเท่าการที่คุณซิโก้กับสโมสรการท่าเรือถูกผมจับตาดูว่าจะเป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่ทำให้วงการฟุตบอลไทยเกิดความตื่นตัวหรือนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอย่างไรหรือไม่มากกว่านะครับ
บทความนี้ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์สยามกีฬา ฉบับวันที่ 30 มิถุนายน 2560
ติดตามมุมมองสบายๆ ของเศรษฐา ทวีสิน เกี่ยวกับกีฬาและสังคมได้ที่ Social & Culture