“บ้าน” ใน “ออสการ์” 2021

แสนสิริ เพิ่งคว้าแชมป์หลายๆ อย่าง (ถ้าตามข่าวจากทวิตเตอร์) บางอย่างในหลายอย่างที่น่าสนใจคือ แชมป์ยอดขายตัวเลขรายได้สูงสุด แต่อีกข่าวที่น่าทึ่งคือ เป็นองค์กรที่ “คนรุ่นใหม่” อยากเข้าไปทำงานด้วยมากที่สุด ในอันดับต้นๆ ของบ้านเรา…

sansiri blog home oscar

แน่นอนว่า มุมมองเหล่านี้ต้องก่อร่างสร้างตัวมาจนทำให้คนรู้สึกว่า แบรนด์ที่สร้างสิ่งปลูกสร้างแทบทุกแบบ ต้องเป็น “บ้าน” มากกว่าแค่ “ที่อยู่อาศัย” เป็น “ครอบครัว” มากกว่าแค่ “แหล่งพักพิง”

ช่วงที่ “แสนสิริ” มีข่าวออกมาอย่างต่อเนื่องนี่เอง เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับผู้นำคนใหม่ของอเมริกาอย่าง โจ ไบเดน บอกกับประชาชนว่า เขาอยากทำให้ USA กลับมาเป็น “บ้าน” ของชาวโลกอีกครั้ง (หลังจากบ้านหลังนี้ เหมือนถูกไฟไหม้ไปในยุคของ โดนัล ทรัมป์) และผ่านพ้น… วันที่ โจ ไบเดน รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ (พร้อมกับครองสถิติอายุผู้นำมากสุดในประวัติศาสตร์)ไปไม่นาน

คณะกรรมการ “ออสการ์” แถวๆหนึ่งหมื่นคนบวกลบ (เดี๋ยวเพิ่มเดี๋ยวลด) ก็ประกาศหนังที่เข้าชิงสาขา Best Picture จำนวน 8 เรื่อง (ไม่มีกฏตายตัวว่า ต้องมีกี่เรื่อง เพราะตั้งแต่อดีต มีตั้งแต่ 5-10 เรื่อง) ผมได้ดูแล้วบางส่วน แถมโดยส่วนตัว สังเกตเห็นว่า “ครึ่งหนึ่ง” ของหนังทั้งหมดที่เข้าชิงตุ๊กตาทองอเมริกันปีนี้ “ฉายภาพ แสดงตัว” เกี่ยวกับ “บ้าน” ได้อย่างน่าสนใจ…

ทำไมเป็นเช่นนั้น ?

Trump sansiri blog oscar home
Donald Trump banned the refugees

1.OSCAR vs. Trump!

เคยสังเกตมั้ยครับว่า ช่วง 4 ปีที่ โดนัล ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีนั้น ฮอลลีวู้ดแสดงตัวอย่างไรกับผู้ชายคนนี้? เอาแค่ผู้คนในแวดวงหนังและดนตรี ที่ขึ้นไปยืนด่าเขาในงานออสการ์และแกรมมีก็หลายครั้ง ยังไม่ต้องนับ “ลูกโลกทองคำ” ที่กรรมการเป็น “นักข่าวจากต่างประเทศ”

เคสที่ดังแรกๆเลยคือ ปี 2017 ผู้กำกับขาใหญ่อย่าง สตีเว่น สปีลเบิร์ก ทำหนังเรื่อง The Post แถมความในใจบอกชัดเจนว่า เป็นงานที่ต้องการ “ต่อต้านเผด็จการ” ตรงไปตรงมา พ่อมดฮอลลีวู้ดมองว่า ทรัมป์เป็นเผด็จการ ปิดกั้นเสรีภาพของคน

แต่โดยส่วนตัวผม มุมที่น่าเป็น case study ในประวัติศาสตร์ “ออสการ์” คือ หนังที่ชนะเลิศ Best Picture 4 เรื่องหลัง 4 ปีหลังสุดก่อนปีนี้ ซึ่งก็คือ Moonlight, The Shape of Water, Green Book และ Parasite

ในช่วง 4 ปีนี้ ทรัมป์ประกาศกร้าวชัดเจนว่า ไม่เอากลุ่มเรฟูจี ไม่เอาคนต่างชาติพวกชายขอบ แสดงท่าทีเหยียดเชื้อชาติ คนผิวสี แถมยังมีเหตุการณ์หลายรัฐที่ผิวสีถูกทำร้ายต่อเนื่อง คงไม่ใช่เรื่อง “บังเอิญ” ที่ “ตัวละครหลัก” ในหนังเยี่ยมออสการ์ 4 ปีนี้ ดันเป็น “กลุ่มคน” ที่ ทรัมป์ ต่อต้าน เหยียดเชื้อชาติ

เป็นไปได้มั้ยว่า ออสการ์ ก็โต้ตอบ โดนัล ทรัมป์ ผ่านหนังเยี่ยมทุกๆ ปีของเขา นั่นเอง…

sansiri blog home oscar
Parasite

2. Minority & Otherness

คำหัวเรื่องที่ว่านี้ มีความหมายครอบคลุมหมดตั้งแต่ ชนกลุ่มน้อย, คนชายขอบ, คนผิวสี, ผู้อพยบ, หรือชาวพื้นเมือง ที่มี “ความเป็นอื่น” ในสังคมที่ตัวเองอาศัยอยู่ กล่าวอีกนัย –  รู้สึกเป็น “คนนอกบ้าน” แม้อยู่อาศัยใน “หลังเดียวกัน”

ในหนังเยี่ยมออสการ์ช่วง 4-5 ปีหลัง เทรนด์ minority ปกคลุมหนาแน่นมาก จะผิวสีใน moonlight หรือ เอเลึ่ยน มนุษย์ปลาใน The Shape of Water รวมทั้งคนผิวสีใน Green Book หรือแม้แต่ชนชั้นล่างใน Parasite พวกเขาเป็น minority หรือฐานล่าง

ถ้าเป็นสัก 20 ปีที่แล้ว หรือยุค 80s กับ 90s หนังพวกนี้อย่าว่าจะชนะเลิศเลย เอาแค่เข้าชิง ก็คงไม่ติดเข้ามาสักเรื่อง เพราะสมัยก่อน กรรมการออสการ์ 5000 กว่าคน ส่วนมากก็เป็น white male ที่อายุมากๆ และผมเชื่อว่า พวกเขาดูหนังไม่ครบ แถมดูหนังที่เป็นงานเชิดชูวิถีของอเมริกัน จนบางทีสื่อพาดหัวทุกๆปีว่า Oscar : American for American 

คำถามคือ

แล้วทำไม ออสการ์จับหนังกลุ่ม Mainstream มายาวนาน จู่ๆ หันมาจับเทรนด์ Minority ?

oscar so white sansiri blog home oscar
Oscar So White

3. กรรมการถูกละลายพฤติกรรม

หลังจากกรรมการออสการ์ยุคเดิม (ผู้ชายสูงวัย) จำนวนครึ่งหมื่นคน เป็นตัวหลักในการลงคะแนนมานานเกือบ 30 ปี จนเราไม่ตื่นเต้นในการคาดเดาว่า หนังเรื่องไหนจะชนะ เพราะใครๆก็คาดเดาได้ สูตรง่ายๆสมัยก่อนคือ หนังเรื่องนั้นต้องยาวกว่าสองชั่วโมง, รายได้ต้องถล่ม box-office , หนังต้องเชิดชูคุณค่าแบบอเมริกัน, โปรดักชั่นใหญ่โตอลังการ ฯลฯ

แต่ช่วง 5 ปีหลัง โลกพัฒนาไปมาก สังคมเห็นอกเห็นใจ “กลุ่มคนเล็กๆ” หลักฐานชิ้นสำคัญคือ เทรนด์ diversity ถูกตอบสนองอย่างพร้อมเพรียง ความเท่าเทียม จูงมือ ความหลากหลายทางเพศ ทางเชื้อชาติ มาเชื่อมการตลาด ตรงนี้เอง ออสการ์ถูกโจมตีว่าเชย เหตุการณ์สำคัญคือ โดนวิจารณ์ว่า ทำไมยังมีแบบ Oscar so white ผู้เข้าชิงมีแต่นักแสดงผิวขาว…

ผู้บริหารของออสการ์จึงลุกขึ้นมา “รีแบรนด์” ทำการ “โละ” กรรมการเก่าบางส่วนที่อายุมาก คร่ำครึ สื่ออย่าง วาไรตี เคยลงข่าว gossip ว่า กรรมการออสการ์ดูหนังไม่เคยครบหรอก เลือกดูแต่เรื่องที่ตัวเองอยากจะลงคะแนน (โดยส่วนตัวผมเชื่อ)

เอาล่ะ ทีนี้กรรมการยุคเก่าถูกโละ แล้วใครมาแทน ?

กรรมการใหม่หลายพันคนที่มาแทน คือ คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ มาจากผู้กำกับ นักแสดง คนทำงานในแวดวง เป็น minority ก็เยอะมาก ผิวสีก็มาก เมื่อกรรมการใหม่ เข้ามารีเฟรช… ผลของหนัง จึงเปลี่ยนเทรนด์และทิศทางชัดเจน หนังชนะที่มีแต่ mainstream ไม่พ้น Titanic เอย The Last Emperor เอย Braveheart เอย…

จึงเปลี่ยนเป็น Spotlight, Moonlight, The Shape of Water มาถึง Green Book ซึ่งไม่ทำเงินสักเรื่องในบ้านเรา

แต่กรรมการยุคใหม่ Generation Now ส่งเสียงแล้วว่า พวกเขามุ่ง Minority เป็นกลุ่มสำคัญ

แล้วถ้าอย่างนั้น หนังเรื่องใด จะชนะ ออสการ์ เช้าวันที่ 27 เมษายนนี้ ตามเวลาบ้านเรา ?

Nomadland

4. Minority & Home

พ้นยุคของ ทรัมป์ และเข้าสู่เวลาของ โจ ไบเดน เทรนด์หนังฮอลลีวู้ด มีเรื่องเกี่ยวกับ “บ้าน” อย่างมีนัยยะ ทั้ง Fast 9 ที่ยังไม่ได้ฉาย ทั้ง 007 ภาพสุดท้ายของ เคร็ก การกอบกู้ประเทศให้กลับมามีความรักกันแบบ “ครอบครัว” หรือเป็น “บ้าน” อีกครั้ง ในความหมายครอบครัว อาจเป็นกระแสใหม่ๆนับจากนี้

ในหนัง 4-5 เรื่องจาก 8 เรื่องที่เข้าชิงออสการ์ ก็มีตัวตนของ “บ้าน” อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น “ห้องของพ่อในบ้านของลูกกับ The Father, บ้านรถกลางป่าอาร์คันซอ ของครอบครัวเกาหลีใน Minari, บ้านรถของหญิงสาวเร่ร่อน (ฟรานเซส แม็คดอร์มานด) ในหนัง Nomadland และ บ้าน หรือแหล่งพักพิงใหม่ของนักกลองหูหนวก ในหนัง Sound of Metal

ใครดูหนังออสการ์ปีนี้ ลองดูสี ขอบสิ่งปลูกสร้าง และแสง สะท้อนอย่างชัดเจนเกี่ยวกับมุมของบ้านหลายๆความหมาย (Habitat, Resident, House)

แต่ถ้าจะเอาจบครบในตัวทีเดียว ลองถาม”แสนสิริ” เขาดู 555

ส่วนคำถามที่ว่าหนังเรื่องใดจะชนะเลิศปีนี้

หนังเรื่องนั้นต้องเกี่ยวกับ “บ้าน” ในความหมายของ “ครอบครัว” ครับ

ยิ่งมีตัวละครเป็น minority ยิ่งเป็นเต็ง !