กล้าหรือแค่บ้า? เมื่อ PSG ทุบทุกสถิติค่าตัวเซ็นสัญญาคว้า Neymar เข้าทีม

ในวงการฟุตบอลสัปดาห์ที่ผ่านมาคงไม่มีเรื่องไหนที่สำคัญไปกว่าการที่สโมสร Paris Saint-Germain หรือ PSG ยอมจ่ายค่าฉีกสัญญาของ Neymar กับ Barcelona เพื่อดึงตัวเขามาอยู่กับสโมสรในฤดูกาลที่จะถึงนี้ด้วยค่าตัวสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอล เรียกได้ว่ากลบความสำคัญของดีลอื่นๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างช่วงที่ผ่านมาเสียหมดเลย มูลค่าของดีลดังกล่าวราวกับ PSG เล็งเอาไว้ว่าจะเล่นเกม มาทีหลังดังกว่า แล้วก็ดังกว่าจริงๆ ด้วยมูลค่าสูงเกือบ 3 เท่าของ Lukaku ไป Manchester United เสียอีก แถมยังเป็นดีลที่ไม่มีปี่มีขลุ่ยสำหรับแฟนฟุตบอลเพราะไม่มีการสร้างกระแสล่วงหน้านาน เรียกได้ว่ามาเร็ว ไปเร็ว จบแรงจริงๆ ครับ

ด้วยแรงหนุนหลังด้านการเงินจากกลุ่มทุนของรัฐบาลจากประเทศกาตาร์ PSG เป็นสโมสรที่เรียกได้ว่ามีเงินใช้มากที่สุดสโมสรหนึ่งในยุโรป รวมถึงรายชื่อของนักเตะหลายคนที่อยู่ในทีมก็เรียกได้ว่าค่าตัวรวมกันมหาศาลอยู่เหมือนกัน แต่ด้วยดีลนี้ของ Neymar ทำให้ PSG กำลังยกระดับตัวเองขึ้นไปอีกขึ้นหนึ่ง ไม่ใช่เฉพาะในระดับประเทศ ระดับทวีป แต่กลายเป็นระดับโลกไปแล้ว เป็นการเคลื่อนไหวซื้อตัวที่พิสูจน์ให้เห็นว่า PSG เป็นทีมที่ยังมีความน่าสนใจพอสำหรับแข้งระดับมหากาฬ แม้จะไม่ได้แชมป์ลีกเอิงของฝรั่งเศสในปีที่แล้วแถมยังไม่เคยประสบความสำเร็จในยุโรปก็ตาม

shutterstock_311045354

เมื่อสโมสรถูกพระราชวงศ์ของกาตาร์เข้าบริหารในปี 2011 เงินจำนวนมหาศาลถูกใช้ไปในการพัฒนาทีมทั้งในสนามและนอกสนามเพื่อให้กลายเป็นทีมที่สามารถแข่งขันได้ในระดับยุโรปและสามารถเป็นเครื่องมือทางด้านการพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบเพื่อให้คุ้มกับการลงทุน เงินหลายพันล้านยูโรถูกใช้ในการซื้อตัวนักเตะ จ่ายค่าเหนื่อย ปรับโครงสร้างค่าตอบแทนทีมงาน ปรับปรุงการบริหารสโมสร รวมถึงอีกกว่า 200 ล้านยูโรถูกใช้ในการสร้างสนามซ้อมแห่งใหม่ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ PSG กลายเป็น เครื่องหมายการค้า ที่มีคนรู้จักทั่วโลก บรรดาแบรนด์สินค้าต่างๆ ทั่วโลกวิ่งเข้าหาเพื่อเป็นพันธมิตรที่ยอมจ่ายเม็ดเงินจำนวนมากเพื่อ associate ด้วย

ว่ากันว่าตัวเลขค่าตอบแทนที่สายการบิน Emirates ยอมจ่ายให้กับ PSG เพื่อเป็นผู้สนับสนุนหลักบนอกเสื้อมีมูลค่ากว่า 28 ล้านยูโร ซึ่งตามรายงานบอกว่าสูงกว่าสมัยที่ราชวงศ์กาตาร์ยังไม่เข้ามาเทคโอเวร์ถึง 8 เท่าเลยทีเดียว แค่นี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าวิสัยทัศน์ของคนที่ควบคุมสโมสรมองไม่ผิด ดังนั้นการมาถึงของ Neymar ก็ยิ่งจะน่าสร้างสมการใหม่ให้กับมูลค่าของสโมสรนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยการมาร่วมทีมของเค้าว่ากันว่าน่าจะส่งผลให้ PSG สามารถเพิ่มมูลค่าของรายได้จากสปอนเซอร์แต่ละรายได้ถึงกว่า 50% เป็นอย่างน้อยและอาจสามารถ double มูลค่าเป็นเท่าตัวได้ไม่ยาก โดยทางสโมสรมองว่ายังมีเม็ดเงินอีกมากมายจากแบรนด์ในบราซิล ทวีปเอเชีย และประเทศอเมริกา ที่น่าจะอยากเกี่ยวข้องกับสโมสรที่มีนักเตะอย่าง Neymar ร่วมทีมด้วย

นี่แสดงให้เห็นว่าวงการสโมสรฟุตบอลกำลังกลายเป็นโมเดลธุรกิจที่จำเป็นต้องพึ่งพิง ซุปเปอร์สตาร์ระดับโลก ในการสร้างมูลค่าทางการค้าและรายได้อย่างแท้จริง เพราะถ้ามองย้อนหลังกลับไปหลายสิบปีก่อน จะเห็นได้ว่ารายได้หลักส่วนมากของสโมสรจะมาจากระดับท้องถิ่นหรือระดับประเทศเสียส่วนใหญ่ แต่ด้วยความแพร่หลายของฟุตบอลที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วอันเนื่องมาจากความก้าวหน้าทางด้านการสื่อสารโทรคมนาคม ส่งผลให้การสร้างฐานความนิยมในระดับโลกกลายเป็นเรื่องจำเป็น สโมสรใดที่มีศักยภาพพอและมีวิสัยทัศน์ที่ทะเยอทะยานย่อมเลือกที่จะเปิดตลาดใหม่ๆ ด้วยซุปเปอร์สตาร์ระดับโลกอย่าง Neymar

shutterstock_688598674_Fotor_Fotor---_Fotor

อันนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจครับ เพราะว่าฟุตบอลเป็นกีฬาประเภททีมที่ได้รับความนิยมทั่วโลก ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ทวีปใดทวีปหนึ่งหรือกลุ่มคนในกลุ่มคนหนึ่ง เรียกได้ว่าความเป็นไปได้มีมหาศาล อาจจะต่างกับกีฬาประเภททีมอื่นอย่าง บาสเก็ตบอล หรือ อเมริกันฟุตบอล ที่ได้รับความนิยมเฉพาะในอเมริกาและบางกลุ่มประเทศเท่านั้น ความเป็นไปได้ในการขยายฐานแฟนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลีกและทีมนั้นมีขีดจำกัด จึงไม่ค่อยแปลกใจที่เรามักเห็นเศรษฐีต่างชาติเข้าไปเทคโอเวอร์ทีมฟุตบอลในทั้งอังกฤษและประเทศอื่นๆ รวมทั้งเศรษฐีและกลุ่มทุนจากประเทศอเมริกาด้วย ในขณะที่เรามักไม่ค่อยเห็นการเข้าไปเทคโอเวอร์ทีมกีฬาในสหรัฐอเมริกาเท่าไหร่ ที่เคยเห็นก็กลุ่มทุน City Football Group เจ้าของสโมสร Manchester City ที่เข้าไปถือทีมฟุตบอล New York City FC แค่ดีลเดียวที่ผมจำได้

ดีลครั้งนี้ของ Neymar กับ PSG ส่งผลให้หลายฝ่ายออกมาแสดงความไม่เห็นด้วย เริ่มตั้งแต่เจ้าสังกัดเก่าอย่าง Barcelona ที่ออกมาขู่ว่าจะให้ UEFA สอบสวนการซื้อตัวของ PSG ในครั้งนี้ว่าเป็นการฝ่าฝืนกฏ Financial Fair Play ที่ออกมาโดย UEFA เมื่อเจ็ดปีก่อนที่จำกัดเม็ดเงินที่สโมสรสามารถใช้ซื้อตัวนักเตะได้ตามสัดส่วนของรายได้สโมสร โดยกฏ Financial Fair Play ระบุไว้กว้างๆ ว่าสโมสรใดก็ตามไม่สามารถขาดทุนได้เกิน 30 ล้านยูโร (หมายความว่าถ้ารายได้น้อยแต่เอาเงินมาซื้อนักเตะราคาแพงก็จะขาดทุนเยอะ เป็นการป้องกันการใช้เงินแบบมากเกินความจำเป็น) ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าด้วยค่าตัวที่มหาศาลของ Neymar นี้ ยังไงก็ตาม PSG ไม่สามารถขายนักเตะคนอื่นหรือหาเงินจากสปอนเซอร์ที่ไหนมาทำให้ตัวเลขผลประกอบการไม่ขาดทุนเกิน 30 ล้านยูโรได้อย่างแน่นอน

shutterstock_319494521

แต่ PSG ก็ฉลาดพอที่จะบอกว่าดีลนี้ไม่ได้บันทึกเป็นค่าใช้จ่ายของสโมสรแบบครั้งเดียว ณ วันแรกที่เซ็นสัญญากับ Neymar แต่เป็นการทำสัญญาที่มีการจ่ายเงินเป็นงวดๆ ตลอดระยะเวลาของสัญญา 5 ปี ซึ่งเมื่อหารเฉลี่ยนออกมาแล้วก็กลายเป็นว่า PSG จะต้องเสียเงินให้กับดีลนี้แค่ประมาณปีละ 30 ล้านยูโรเท่านั้น หักลบภาษีไปแล้ว ดังนั้นโอกาสที่ PSG จะสร้างรายได้จากการเอา Neymar เข้ามาร่วมทีมในอีก 5 ปีข้างหน้าไม่ใช่เรื่องยากที่จะสร้างให้รายได้มากกว่ารายจ่ายหรือผลประกอบการติดลบให้น้อยกว่า 30 ล้านยูโร ซึ่งก็ไม่น่าจะยากเพราะวันแรกเค้าว่ากันว่าเสื้อที่สกรีนชื่อ Neymar ก็ขายไปได้แล้วกว่า 1 หมื่นตัวเฉพาะในฝรั่งเศสเอง ดังนั้นจำนวนเสื้อที่เคยขายได้ทั่วโลกปีละกว่า 526,000 ตัว น่าจะขายได้มากขึ้นถึง 3-4 เท่าได้ไม่ยากเลย

นักวิเคราะห์หลายคนมองว่าดีลขนาดมหึมาเช่นนี้ไม่ได้เกิดให้เห็นกันบ่อยๆ โดยเฉพาะดีลขนาดใหญ่ที่จะประสบความสำเร็จทั้งในแง่ของความสำเร็จของทีมบนเวทีโลกและความสำเร็จด้านการพาณิชย์ มีอยู่ไม่กี่สโมสรที่ทำได้ ในขณะที่ทวีปยุโรปกำลังตื่นเต้นกับดีลนี้ของ PSG ข่าวจากอีกฝั่งของโลกก็มีรายงานว่าหลายสโมสรใน Chinese Super League กำลังประสบปัญหาทางการเงินที่ค้างจ่ายค่าจ้างนักเตะและค่าใช้จ่ายหลายๆ อย่างอันเนื่องมาจากการใช้เงินอย่างบ้าคลั่งในการดึงตัวนักเตะระดับโลกหลายคนมาร่วมทีม แต่ไม่คุ้มค่าด้วยประการทั้งปวง ซึ่งในบรรดาชื่อทีมที่ถูกอ้างอิงถึงก็มีทั้ง Shanghai Shenhua สโมสรของ Carlos Tevez อยู่ด้วย ก็คงต้องมาดูกันครับว่า PSG จะเป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จอย่างที่เค้าคาดหวังหรือไม่

บทความนี้ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์สยามกีฬา ฉบับวันที่  11 สิงหาคม 2560

ติดตามมุมมองสบายๆ ของเศรษฐา ทวีสิน เกี่ยวกับกีฬาและสังคมได้ที่ Social & Culture