ทุกคนลองสังเกตกันไหมคะว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมากนั้น สภาพอากาศของบ้านเรามีความแปรปรวนมากขึ้นกว่าปกติ ไม่ว่าจะหนาวนานขึ้น ร้อนน้อยลงแต่ระหว่างวันร้อนมากจนแทบใช้ชีวิตปกติไม่ได้ ส่วนฝนมาผิดฤดูจนทำให้เกิดน้ำท่วมกันอย่างหนักเลยก็มี ส่วนหนึ่งนอกจากปัญหาโลกเดือดที่เราต้องช่วยกันแก้ไขอย่างต่อเนื่องอยู่แล้วนั้น ยังมีปัญหาที่เกี่ยวกับชั้นโอโซนที่น่าเป็นห่วงไม่แพ้กันค่ะ เนื่องจากชั้นโอโซน เปรียบเสมือนเกราะป้องกันโลกของเราจากรังสีอัลตราไวโอเลตที่เป็นอันตรายจากดวงอาทิตย์ เพราะหากไม่มีชั้นโอโซน หรือชั้นโอโซนถูกทำลายไป จะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อมนุษย์ สัตว์ พืช และระบบนิเวศโดยรวมอย่างมาก นอกจากนี้การเกิดรูโหว่ในชั้นโอโซนบริเวณพื้นที่ขั้วโลก คือสาเหตุสำคัญของการเกิดปรากฏการณ์โลกร้อนอีกด้วย
เนื่องในวันโอโซนโลก แสนสิริอยากชวนทุกคนไปใส่ใจเกราะป้องกันของโลกให้ครบทุกชั้นด้วยกันค่ะ เพื่อขับเคลื่อนไปสู่วันที่เราสามารถฟื้นฟูชั้นโอโซนกลับมาได้อย่างสมบูรณ์อีกครั้ง เพราะจริง ๆ แล้วชั้นโอโซนมีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกมากกว่าที่เราคิด นอกจากจะช่วยทำให้เกิดกระบวนการต่างๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น การหายใจ การได้ยินเสียง ฯลฯ แล้ว ยังช่วยปรับอุณหภูมิของโลกให้เหมาะกับการดำรงชีวิตอีกด้วย ถ้าหากเรายังไม่ช่วยกันดูแลรักษา นอกจากความร้อนบนพื้นผิวโลกที่เพิ่มขึ้น จากการลดลงของปริมาณโอโซนในชั้นบรรยากาศแล้ว รังสีอัลตราไวโอเลตที่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตยังสามารถส่องผ่านลงมายังพื้นผิวโลกได้โดยตรง ทำให้พืชชั้นต่ำ เช่น แพลงก์ตอนและสาหร่ายเกิดการกลายพันธุ์ ส่งผลกระทบต่อกระบวนการสังเคราะห์แสงของพืชชนิดอื่นๆ เช่นเดียวกับภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับระบบการทำงานและร่างกายของสัตว์และมนุษย์ได้อีกด้วยค่ะ
แสนสิริขอเป็นส่วนหนึ่งชวนทุกคนทำความเข้าใจแนวคิดการดูแลรักษาชั้นโอโซนโลก เทรนด์สีเขียวหรือรักษ์โลกไม่ควรเป็นแค่เทรนด์ที่ผ่านมาและผ่านไปเฉย ๆ แต่ควรเป็นแนวทางปฏิบัติเพื่อนำไปสู่หนทางรอดอย่างจริงจังของชั้นบรรยากาศโลก หากเราทุกคนหันมาช่วยกันดูแลเอาใจใส่มากยิ่งขึ้น ก็จะเป็นการเพิ่มความสมบูรณ์ให้แก่ระบบนิเวศและโอกาสรอดของชั้นโอโซนที่ยังเป็นรูโหว่ย่อมเกิดขึ้นได้ในระยะยาวอย่างแน่นอนค่ะ สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกับ Sanairi Sustainability ได้ที่นี่ https://siri.ly/W5rDCX1
“หลายคนอาจคุ้นชื่อ ‘โอโซน’ ในฐานะเกราะป้องกันโลก แต่จริง ๆ แล้วโอโซนมีบทบาทสำคัญมากกว่านั้น
กรองรังสียูวี (UV) จากแสงอาทิตย์
ชั้นบรรยากาศโอโซนคือเกราะที่ช่วยกรองรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) จากดวงอาทิตย์ ปกป้องสิ่งมีชีวิตไม่ให้เสี่ยงต่อโรคผิวหนัง มะเร็งผิว และผลกระทบอันตรายต่อสายตา รวมถึงสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ บนโลก
โอโซนที่เปลี่ยนเป็นออกซิเจน
โอโซนสามารถแปลงเป็นออกซิเจน และถูกใช้ในอุตสาหกรรมเพื่อฆ่าเชื้อโรค ลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ รวมถึงเป็นส่วนสำคัญของเครื่องปรับอากาศและเครื่องฟอกอากาศ
ปฏิกิริยาออกซิเดชัน
โอโซนทำปฏิกิริยากับสารรอบตัวได้ดีมาก ช่วยกำจัดเชื้อจุลินทรีย์และสารปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม ลดมลพิษในอากาศและน้ำ
แต่รู้หรือไม่ โอโซนเองก็เป็นสิ่งที่เปราะบาง เมื่อถูกทำลายมากเกินไปโดยฝีมือมนุษย์ เช่น การปล่อยสาร CFCs หรือสารเคมีบางชนิด จะทำให้เกิดปรากฏการณ์ “รูโหว่” ส่งผลให้อัตราการได้รับรังสี UV บนโลกสูงขึ้น ทำให้อาจส่งผลร้ายต่อสิ่งแวดล้อมในภายหลัง
โอโซนจึงไม่ใช่แค่ชื่อเรียกของชั้นบรรยากาศ แต่คือ ‘ผู้พิทักษ์ชีวิตบนโลก’ ที่เราทุกคนควรช่วยกันปกป้อง”
กราะบาง ๆ ที่เราเรียกว่า “ชั้นโอโซน” เคยเผชิญวิกฤติครั้งใหญ่ที่เกือบจะทำลายสมดุลของโลกมาแล้ว และนี่คือเส้นทางกว่า 50 ปี ของการค้นพบปัญหา วิกฤติ และการฟื้นฟูที่เกิดขึ้นจริง ด้วยความร่วมมือระดับโลก เรากำลังได้เห็นสัญญาณฟื้นตัว
1970s – จุดเริ่มต้นของปัญหา
นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า สาร CFCs (คลอโรฟลูออโรคาร์บอน) ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในสเปรย์และเครื่องปรับอากาศ สามารถทำลายชั้นโอโซนได้
1980s – การสังเกตและการพิสูจน์
มีรายงานการลดลงของปริมาณโอโซนในชั้นบรรยากาศ โดยเฉพาะเหนือแอนตาร์กติกา จนนำไปสู่การยืนยันการเกิด “รูโอโซน” ครั้งแรกในปี 1985
1987 – พิธีสารมอนทรีออล (Montreal Protocol)
นับเป็นหมุดหมายสำคัญ เมื่อประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกลงนามเห็นพ้องร่วมกันในการลดและเลิกใช้สารทำลายโอโซน (ODSs) ถือเป็นหนึ่งในข้อตกลงด้านสิ่งแวดล้อมที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก
1990s–2000 – วิกฤติถึงจุดสูงสุด
รูโอโซนขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว จนมีขนาดกว่า 25 ล้านตารางกิโลเมตรในปี 1990 และปี 2000 ถือเป็น “จุดวิกฤติสูงสุด” ที่รูโอโซนใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
2010s – สัญญาณการฟื้นตัว
ผลจากพิธีสารมอนทรีออลเริ่มเห็นผลจริง การใช้สาร CFCs ลดลง รูโอโซนค่อย ๆ มีแนวโน้มเล็กลง และปริมาณโอโซนในชั้นบรรยากาศบางพื้นที่เริ่มกลับสู่สมดุล
2019 – รูโอโซนเล็กที่สุดในประวัติศาสตร์
ปีนี้ถือเป็นปีแห่ง “แสงสว่าง” เมื่อรูโอโซนมีขนาดเล็กลงเหลือเพียงประมาณ 10 ล้านตารางกิโลเมตร แต่ยังคงขึ้นลงตามสภาพอากาศและการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก
2022 – รายงานยืนยันการฟื้นตัว
WMO (องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก) รายงานว่า หากยังดำเนินการตามพิธีสารมอนทรีออลอย่างต่อเนื่อง ชั้นโอโซนทั่วโลกอาจฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนปี 1980 ได้ภายในปี 2040
2025 – ปัจจุบัน
รูโอโซนยังคงมีอยู่ แต่ขนาดมีแนวโน้มเล็กลงต่อเนื่อง นักวิทยาศาสตร์คาดว่า ชั้นโอโซนจะฟื้นฟูจนกลับสู่ภาวะสมบูรณ์ภายในปี 2066
เรื่องนี้ตอกย้ำว่า เมื่อมนุษย์ทั่วโลกร่วมมือกันเพื่อสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นจริงได้
“โอโซน…เกราะบาง ๆ ที่อยู่สูงเหนือพื้นดินหลายสิบกิโลเมตร อาจดูไกลตัว แต่จริง ๆ แล้วคือเกราะชีวิตที่คอยปกป้องเรา หากชั้นโอโซนถูกทำลาย โลกและมนุษย์จะเผชิญผลกระทบที่ร้ายแรงกว่าที่คิด
ผลกระทบต่อสุขภาพ
หากชั้นโอโซนไม่สามารถกรองรังสี UV จากดวงอาทิตย์ได้เต็มที่ มนุษย์จะได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตในระดับที่สูงขึ้นทันที นำไปสู่ความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งผิวหนัง โรคต้อกระจก และความผิดปกติของระบบประสาทและจอประสาทตา ซึ่งทำให้การมองเห็นเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะอ่อนแอลง เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสและโรคผิวหนังต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การเพิ่มขึ้นของรังสี UV มีผลโดยตรงต่อระบบนิเวศ ดังนี้
ทำให้แพลงก์ตอนพืชในทะเล ซึ่งเป็นฐานห่วงโซ่อาหารทางทะเลลดจำนวนลง ส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำและอุตสาหกรรมประมง
กระทบการสังเคราะห์แสงของพืชบนบก ทำให้พืชเจริญเติบโตช้าลง หรือลดผลผลิตทางการเกษตร
ทำลายสมดุลของระบบนิเวศโดยรวม ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงปัญหาความมั่นคงทางอาหารของมนุษย์
เร่งการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ทำให้สภาพอากาศสุดขั้วและความผันผวนทางธรรมชาติเพิ่มมากขึ้น
ชั้นโอโซนจึงไม่ใช่เพียงก๊าซบนท้องฟ้า แต่คือ เกราะคุ้มครองสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลก
การรักษาชั้นโอโซนให้คงอยู่ จึงหมายถึงการรักษาความปลอดภัยของสุขภาพมนุษย์ ระบบนิเวศ และอนาคตของโลกใบนี้
“หลายคนอาจคิดว่า ‘การปกป้องชั้นโอโซน’ เป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าจะทำได้เอง แต่จริง ๆ แล้ว เราทุกคนสามารถเริ่มต้นได้จาก ‘บ้าน’ ของเรา
หลีกเลี่ยงการใช้สเปรย์ที่มีสารทำลายโอโซน
ผลิตภัณฑ์บางชนิด เช่น สเปรย์ปรับอากาศ น้ำหอมบางประเภท หรือสารทำความสะอาด อาจมีส่วนผสมของ CFCs และ HCFCs ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ชั้นโอโซนถูกทำลาย การเลือกผลิตภัณฑ์ที่ปลอดสารเหล่านี้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นง่าย ๆ ที่ทำได้ทันที
ดูแลรักษาเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องกับความเย็น
แอร์และตู้เย็นที่รั่วซึม อาจปล่อยสารทำความเย็นซึ่งทำลายชั้นโอโซนได้โดยตรง ดังนั้นการตรวจเช็กสภาพเครื่องเป็นประจำ หรือเลือกใช้น้ำยาทำความเย็นที่ไม่ทำลายโอโซน ถือเป็นการช่วยลดผลกระทบที่มองไม่เห็นแต่มีจริง
ลดการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างมีสติ
การใช้พลังงานไฟฟ้า หมายถึงการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่ทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกและส่งผลกระทบต่อโอโซนโดยอ้อม การปิดไฟเมื่อไม่ใช้ ปรับอุณหภูมิแอร์อย่างเหมาะสม หรือเลือกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าเบอร์ 5 ก็เป็นวิธีช่วยโลกง่าย ๆ ที่ทุกบ้านทำได้
ลือกสินค้า Ozone Friendly และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
สินค้าในปัจจุบันมีฉลากสิ่งแวดล้อม เช่น Eco-label หรือ Ozone Friendly ที่ช่วยการันตีว่าผลิตภัณฑ์เหล่านั้นผ่านกระบวนการที่ไม่ทำลายโอโซน การเลือกซื้อสินค้าแบบนี้ นอกจากจะช่วยโลกแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนธุรกิจที่คำนึงถึงความยั่งยืนอีกด้วย
“การสร้างบ้านที่ดีในวันนี้ ไม่ได้หมายถึงแค่ความสวยงามหรือความสะดวกสบายเท่านั้น แต่ต้องเป็นบ้านที่คำนึงถึงโลกและอนาคตไปพร้อมกัน
แสนสิริจึงเดินหน้าสู่เป้าหมาย Net-zero ตั้งเป้าเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ในปี 2593 ด้วยการจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการใช้พลังงาน ลดมลพิษในอากาศ และทดแทนด้วยพลังงานสะอาด เพื่อให้การอยู่อาศัยไม่เพียงสบาย แต่ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
พลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์
ตั้งเป้าภายในปี 2568 ทุกโครงการใหม่จะติดตั้งโซลาร์รูฟ 100% ช่วยลดการพึ่งพาพลังงานไฟฟ้าและเป็นก้าวสำคัญของบ้านที่ใช้พลังงานสะอาดได้จริง
บ้านที่ช่วยลดการปล่อยมลพิษ
ตั้งเป้าให้บ้านเดี่ยวแสนสิริทุกรุ่นติดตั้งแท่นชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charger) เพื่อสนับสนุนการใช้พลังงานทางเลือก ลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง และลดควันพิษในอากาศ
การจัดการของเสียอย่างรับผิดชอบ
เปลี่ยนขยะให้มีคุณค่า นำไปรีไซเคิลหรือนำกลับมาใช้ใหม่ ลดปริมาณขยะที่ถูกทิ้งโดยการฝังกลบหรือเผา ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมระยะยาว
ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า
แนวคิด Zero Waste ถูกนำมาใช้จริงในกระบวนการก่อสร้างและการใช้ชีวิตในโครงการ ทำให้วัสดุทุกชิ้นส่วนถูกใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ ลดการสูญเปล่าและเพิ่มคุณค่าให้ทรัพยากรที่มีจำกัด
เพระาแสนสิริเชื่อว่า บ้านที่ดีไม่ควรหยุดอยู่ที่ความสะดวกสบายของผู้อยู่อาศัย แต่ต้องดีต่อโลกและสังคมด้วย เราอยากร่วมเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญต่อการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของไทยในอนาคต และเพื่อ “ขับเคลื่อนความยั่งยืนในองค์กร และทุกโครงการใหม่ของแสนสิริ”