SUPER BOWL HALFTIME SHOW กับเซอร์ไพรส์โชว์สุดอลังการ

บรรจบครบรอบปีกันอีกครั้งสำหรับเกมกีฬายอดนิยมของสหรัฐอเมริกา คนชนคน Super Bowl ที่ปีนี้จะจัดกันที่เมืองมินเนอาโปลิส ซึ่งจะเป็นเวลาที่ชาวอเมริกันและแฟนอเมริกันฟุตบอลอีกหลายร้อยล้านคนทั่วโลกเฝ้าอยู่หน้าจอเพื่อดูว่าทีมไหนจะเป็นผู้คว้าแชมป์ในปีนี้ ซึ่งองค์ประกอบหนึ่งของ Super Bowl ที่ทำให้มีคนเฝ้าติดตามชมอย่างมหาศาลไม่ใช่ความตื่นเต้นจากเกมเพียงอย่างเดียวแต่คือช่วงเวลา 12 นาทีระหว่างพักครึ่งจากควอเตอร์ 2 ไปควอเตอร์ 3 ต่างหากที่จะมี Half-Time Show ซึ่งได้กลายเป็นส่วนประกอบที่สำคัญอย่างยิ่งยวดสำหรับ Super Bowl ในทุกปี โดยเรียกได้ว่า 12 นาทีนี้เป็นนาทีทองในฝันของศิลปินทั้งเดี่ยวและกลุ่มที่จะได้มีโอกาสโชว์ต่อหน้าคนดูหน้าจอเป็นหลายร้อยล้าน เป็น 12 นาทีที่ทุกสายตาจะจับตาดูทุกการเคลื่อนไหวและทุกสุ้มเสียงที่เปล่งออกมาแบบจดจ่อ เรียกว่าไม่เกิดก็ดับกันไปเลยงานนี้

 

สำหรับปีนี้ท่านผู้อ่านที่ติดตามคงพอทราบแล้วว่าศิลปินที่จะมาแสดงคั่นเวลาก็คือนักร้องหนุ่ม Justin Timberlake ผู้ซึ่งจะกลายเป็นศิลปินที่ได้ขึ้นเวทีคั่นเวลาเป็นครั้งที่ 3 แล้วเป็นคนแรกของประวัติศาสตร์ ทั้งในฐานะนักร้องเดี่ยวและส่วนหนึ่งของวงบอยแบนด์ ‘N Sync และท่านผู้อ่านคงคุ้นกับชื่อนี้ดี เพราะเค้าคือคนที่สร้างประวัติศาสตร์อันด่างพร้อยเป็นครั้งแรกของการแสดงคั่นเวลาเมื่อปี 2004 ที่เค้าขึ้นเวทีร้องคู่กับน้องสาวของ King of Pop อย่าง Janet Jackson และเกิดเหตุการที่เรียกว่า Wardrobe Malfunction ขึ้น โดยจะตั้งใจหรือไม่ก็มิทราบได้ Justin มีจังหวะที่ทำท่าฉีกเสื้อของ Janet ส่งผลให้ผู้ชมกว้าร้อยล้านคนหน้าจอได้เห็นหน้าอกหน้าใจของเธอแบบไม่ทั้นตั้งตัว กลายเป็นจุดเปลี่ยนของทั้งคู่  Janet เองก็เริ่มได้รับความนิยมตกลงโดนเด้งจากรายการวิทยุและ MTV และกลายเป็นขาลงในอาชีพนักร้องของเธออย่างมิได้ตั้งใจ ในขณะที่ Justin เองก็ถูกประนามและหมายหัวไม่ให้มีโอกาสกลับมาแสดงอีก

Justin Timberlake

อย่างไรก็ตามจะด้วยเหตุผลอันใด ทาง NFL ก็ตัดสินใจกลับไปเปิดกรุให้ Justin ได้มีโอกาสกลับมาขึ้นเวทีอีกครั้งในปีนี้ซึ่งเค้าเองก็ยังเก็บเป็นความลับว่าไฮไลต์ของโชว์เค้าในปีนี้จะมีอะไรมาเซอร์ไพรส์ทางผู้จัดและผู้ชมอีกหรือไม่ ก็คงต้องลุ้นดูกันเองนะครับ

เมื่อว่ากันถึงเรื่องของการแสดงคั่นเวลาของ Super Bowl นี้ ก็มีเรื่องที่น่าสนใจมาเล่าสู่กันฟังครับ ต้องบอกว่าจุดเปลี่ยนที่ทำให้ช่วงเวลา 12 นาทีระหว่างพักครึ่งกลายเป็นส่วนสำคัญของ Super Bowl นั้นต้องย้อนหลังกลับไป 25 ปีก่อนหน้านี้ ในปี 1992 เป็นเกมการแข่งขันระหว่างทีม Buffalo Bills และ Washington Redskins โดยการแสดงระหว่างพักครึ่งนั้นเป็นโชว์ที่มีชื่อว่า Winter Magic ใช่ครับ Winter Magic ฟังดูก็คงพอเดาออกว่าเป็นแนวแบบศิลปะประกอบเสียงเพลงอย่างที่เราเห็นในพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิคหรือฟุตบอลโลกในยุคก่อนๆ ที่มีกลุ่มคนออกมาเต้นประกอบเสียงเพลงอะไรแบบนั้น การแสดงลักษณะดังกล่าวเป็นสิ่งที่แฟนอเมริกันฟุตบอลเห็นกันคุ้นตามานานนม รวมทั้งมีวงดุริยางค์ของมหาวิทยาลัยออกมาเดินมาร์ช อะไรแบบนั้น

Buffalo Bills VS Washington Redskins Credit : www.nfl.com

ในปีนั้นค่ายโทรทัศน์ที่ถือสิทธิ์การถ่ายทอด Super Bowl คือ CBS ผู้ซึ่งไม่คาดฝันว่าค่ายทีวีคู่แข่งอย่าง Fox จะ Hijack ขโมยคนดูที่เบื่อการแสดงแบบเชยๆ ด้วยการออกอากาศ Episode พิเศษของรายการสุดฮิตของตน ส่งผลให้ผู้ชมที่เปลี่ยนช่องมาดูเพราะเบื่อโชว์เชยๆ ติดใจและไม่เปลี่ยนช่องกลับไปดูการแข่งขันในครึ่งหลังจำนวนมาก สร้างความเจ็บแค้นให้กับค่าย CBS ที่ทุ่มเงินจำนวนมากซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดในปีนั้นแต่กลับเสียคนดูไปให้กับแทคติกง่ายๆ ของค่ายคู่แข่ง

บทเรียนที่เกิดขึ้นกับ CBS ทำให้เกิดแนวคิดใหม่ขึ้นมาสำหรับ NFL ผู้ซึ่งต้องหาทางตอบโจทย์ดังกล่าวในฐานะผู้จัดการแข่งขัน ถ้าหากจะเกิดเหตุการณ์แบบที่เกิดกับ CBS อีก ค่ายทีวีไหนล่ะจะอยากเสียเงินมากมายซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดในปีถัดๆ ไป การแสดงโชว์แบบเดิมๆ ลีลาประกอบเสียงเพลงด้วยวงดุริยางค์หรือนักเต้นจาก Disney ไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป

สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือไอเดียทำให้การแสดงพักครึ่งต้องมี “แม่เหล็ก” ดึงดูดผู้ชมมิให้เปลี่ยนช่องไปดูรายการอื่น โดยผู้ที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาของ NFL ไม่ใช่ใครแต่ก็คือพี่ชายของ Janet Jackson นั่นเอง

“King of Pop” Michael Jackson ถูกทาบทามโดย NFL ให้มาช่วยแสดงคั่นกลางระหว่างพักครึ่งในปีต่อมา มีการเจรจาอยู่นานกว่าที่ Michael Jackson จะตกลงมาแสดงให้ สิ่งหนึ่งที่เป็น Condition ของ NFL ก็คือไม่เคยจ่ายค่าจ้างให้กับใครมาแสดงคั่นเวลามาก่อนในขณะที่ว่ากันว่าผู้จัดการของ Michael Jackson เรียกเงินสูงถึง 1 ล้านเหรียญสำหรับให้เค้ามาแสดง อย่างไรก็ตามผลสุดท้ายตกลงกันได้ที่ทาง NFL และ Frito Lays สปอนเซอร์ใหญ่ยอมที่จะบริจาคเงิน 1 แสนดอลลาร์ให้กับมูลนิธิ Heal The World ของ Michael Jackson และยอมที่จะเจียดเวลาโฆษณาให้กับมูลนิธิดังกล่าวด้วยระหว่างการถ่ายทอดสดการแข่งขันในปีนั้น

องค์ประกอบของ Super Bowl และ King of Pop กลายเป็นสิ่งที่ NFL และแบรนด์ที่เสียเงินค่าสปอนเซอร์โฆษณาฝันไว้เลยทีเดียว เป็นครั้งแรกที่เรตติ้งคนดูเพิ่มสูงขึ้นตอนที่มีการโชว์พักครึ่งและต่อเนื่องไปจนถึงเมื่อเริ่มการแข่งขันครึ่งหลัง มีการขยายกลุ่มคนดูจากครึ่งแรกที่เป็นแฟนกีฬาผู้ชาย กลายเป็นครึ่งหลังที่มีคนที่มิได้สนใจกีฬาอเมริกันฟุตบอลติดตามชมเพิ่มขึ้นไปโดยปริยาย และกลายเป็นจุดพลิกผันที่ประโยคฝรั่งเค้าบอกว่า “the rest, is history”

https://www.youtube.com/watch?v=EKnEIYOAALo

ถัดจาก Michael Jackson เป็นต้นมา การแสดงคั่นเวลาพักครึ่งของ Super Bowl กลายเป็นมหกรรมโชว์ขนาดย่อมที่เป็นองค์ประกอบของมหกรรม Super Bowl โชว์ไปโดยปริยาย และในแต่ละปีจะมีคนเฝ้ารอที่จะลุ้นว่าใครจะมาแสดงและจะมีลีลาและลูกเล่นแบบไหนมาเอนเตอร์เทนคนดู เรียกได้ว่าเป็นการทำการตลาดที่ประสบความสำเร็จมากอย่างหนึ่งในประวัติศาสตร์ของวงการกีฬาเลยทีเดียว

 

บทความนี้ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์สยามกีฬา ฉบับวันที่  26  มกราคม 2561

ติดตามมุมมองสบายๆ ของเศรษฐา ทวีสิน เกี่ยวกับกีฬาและสังคมได้ที่ คลิก