วิเคราะห์ไทยลีกกับความเคลื่อนไหวที่อาจจะเกิดขึ้นในปีหน้า

ในที่สุดสโมสรบุรีรัมย์ก็สามารถสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ด้วยการคว้าแชมป์ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีกเป็นสมัยที่ 5 ไปครองได้อย่างสมภาคภูมิหลังจากที่เสียแชมป์เลคแรกให้กับ SCG เมืองทองแต่กลับมาพลิกเกมและเล่นได้ดีกว่าในเลคหลังอย่างเห็นได้ชัด ก็ต้องขอแสดงความยินดีกับทุกคนที่เกี่ยวข้องกับทีมบุรีรัมย์ และทีมอื่นๆ ที่ช่ววยกันสร้างรากฐานและสีสันให้กับวงการฟุตบอลไทยอย่างต่อเนื่อง

 

จบฤดูกาลนี้ไปแล้ว ก็เป็นปกติต้องเริ่มมองไปที่ฤดูกาลหน้าว่าจะมีอะไรน่าสนใจบ้าง ในมุมมองการคาดการณ์ของผมเองมีอยู่ 4-5 เรื่องด้วยกัน

เรื่องแรกเลย เป็นปัญหาคาราคาซังที่แม้จะได้มีการพยายามแก้ปัญหาหลายๆ ทางมาอย่างต่อเนื่องแล้วก็ยังไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับแฟนบอลชาวไทยได้เลย นั่นก็คือปัญหาเกี่ยวกับคุณภาพและความน่าเชื่อถือของกรรมการผู้ตัดสินนั่นเอง แม้ทางนายกสมาคมฟุตบอลฯ จะออกมาเอ่ยปากขอความเชื่อมั่นในการเอากรรมการไทยมาตัดสินฟุตบอลถ้วยใหญ่อย่าง FA Cup แล้วก็ตาม ก็ยังคงมีเสียงจากแฟนๆ บอลถึงปัญหาดังกล่าวไม่หยุดอยู่ดี

สำหรับฤดูกาลหน้านั้นผมก็ยังคาดการณ์ครับว่าเรื่องนี้จะยังเป็นปัญหาที่คาใจแฟนบอลและผู้ที่เกี่ยวข้องยังคงต้องช่วยกันหาทางสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นให้ได้ ซึ่งก็คงเกิดได้จากองค์ประกอบหลายๆ อย่างไม่ว่าจะเป็นคุณภาพที่แท้จริงของตัวกรรมการเอง การสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ ในเรื่องการอบรมพัฒนาความรู้ความสามารถทั้งด้านทฤษฎีและปฏิบัติ ตลอดจนคุณธรรมและจริยธรรม ยกระดับมาตรฐานให้เป็นที่ยอมรับเทียบเท่าสากล วัฒนธรรมของผู้ใหญ่ในวงการเองที่ต้องไม่เบียดเบียนความเที่ยงตรงของกรรมการ และภาพใหญ่อย่างการจัดการปัญหาพนันบอลที่มีมูลค่ามากพอที่อาจจะส่งผลต่อการตัดสินได้ รวมไปถึงการสร้างความมั่นใจและภาพลักษณ์ที่ให้สาธารณชนยอมรับและเชื่อมั่น

ซึ่งเรื่องนี้ก็จะส่งผลต่อประเด็นที่ 2 ที่ผมคาดการณ์ว่าเราจะได้เห็นจำนวนคนดูในสนามและความสนใจจากแฟนบอลลดลงจากปีนี้ ซึ่งก็คงเกิดจากการเสื่อมศรัทธาในความขลังของไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก นับวันๆ ดูเหมือน ศักดิ์ศรี และ Prestige ของลีกก็จะเริ่มถดถอยลงไปเรื่อยๆ ทั้งมาจากปัญหากรรมการด้านต้น ปัญหาการผูกขาดแชมป์อยู่ไม่กี่สโมสร ปัญหาการทำทีมที่ไม่ต่อเนื่องของเจ้าของสโมสร อีกทั้งตอนนี้มีการถ่ายทอดสดให้ดูทางโทรทัศน์มากมาย ขี้คร้านแฟนบอลนั่งกินเบียร์เชียร์บอลอยู่บ้านจะดีกว่าเสียอีกสไตล์ไทยๆ

อีกประเด็นหนึ่งที่ผมคาดการณ์ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงแบบชัดเจนก็คือบรรดาโค้ชคนไทยจะเริ่มมีบทบาทมากขึ้น โค้ชชาวต่างชาติจะเริ่มหดหายไปจากวงการฟุตบอลลีกไทย อันนี้ผมเชื่อว่าเกิดขึ้นแน่นอน

ทำไมหรือครับ ปัญหานี้ไม่ได้ผิดที่ศักยภาพของโค้ชแต่อย่างเดียว แต่มีเรื่องอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยครับ เราก็ทราบดีกันอยู่ว่าเรื่องของวินัยนักฟุตบอลไทยเรายังเป็นหัวข้อที่สามารถปรับปรุงให้ดีกว่านี้ได้อีกเยอะ แม้ปัจจุบันหลายๆ สโมสรจะเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ แต่ก็ทำได้เต็มร้อยไม่กี่สโมสร ดังนั้นถ้าหากนักฟุตบอลยังไม่มีวินัยเต็มร้อย ต่อให้จ้างโค้ชต่างชาติชั้นดีมาจากไหนก็เอาไม่อยู่ครับ คอนโทรลนักเตะไม่ได้หรอกครับถ้าเจ้าของสโมสรไม่เอาจริง ซึ่งก็คงยากเพราะนักเตะระดับซุปเปอร์สตาร์มีอยู่ก็ต้องเอาใจกันหน่อย เผลอๆ นักเตะซี้กับเจ้าของสโมสรเสียอีก เมื่อเอาไม่อยู่จะเสียเงินจ้างโค้ชต่างชาติราคาสูงไปทำไม เอาโค้ชไทยก็ได้ไม่ต่างกันหรอก

เรื่องที่ 3 ที่ผมคิดว่าจะเกิดขึ้นในปีหน้าก็คือควาสำคัญและบทบาทของศาสตร์ว่าด้วยเรื่องของ Sports Science จะมีบทบาทมากขึ้นกับวงการฟุตบอลไทยเรา ปัจจุบันเราได้เห็นข่าวสารและข้อพิสูจน์มากมายแล้วว่าสโมสรระดับโลกเค้าใช้ศาสตร์นี้มาพัฒนาศักยภาพนักเตะกันอย่างไรบ้าง ไม่ใช่เรื่องที่ปกปิดและศึกษาได้ไม่ยากครับ ปัจจุบันหลายๆ สโมสรในไทยเราเองก็พัฒนาเรื่องนี้กันไปมาก มีทีมงานที่ติดตามมาพร้อมกับโค้ชต่างชาติ หรือเป็น Requirement ที่โค้ชต่างชาติเค้าขอให้มี อุปกรณ์หรือเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ก็หาซื้อได้ไม่ยากเหมือนเมื่อก่อน บุคลากรในวิชาชีพนี้ก็มีเพิ่มมากขึ้นอันเนื่องมาจาก Demand ในตลาดก็สูงขึ้นจากการยกระดับวงการกีฬา โดยเฉพาะฟุตบอลของไทย ทำให้คนเห็นโอกาสจากการทำอาชีพดังกล่าว สโมสรมีตัวเลือกมากขึ้น ตอนนนี้ใครไม่มีก็คงจะเสียเปรียบซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีครับเพราะเหมือนได้นำเอาแนวคิดใหม่ๆ มาปรับใช้ ยิ่งตอนนี้ราคาค่าตัวนักเตะระดับท็อปๆ ถีบตัวขึ้นไปสูง บางทีการใช้ศาสตร์เรื่องนี้มาปรับใช้กับนักเตะระดับรองๆ ลงมาอาจจะได้ผลกว่าไปเสียเงินซื้อตัวมาเสียอีก จริงไหมครับ

ประเด็นเรื่องสุดท้ายที่ผมมองว่าจะเกิดขึ้นในวงการฟุตบอลไทยในปีหน้าก็คือการกลับมาอีกครั้งของทีมที่มีความเชื่อมโยงกับการเมืองท้องถิ่นและระดับประเทศ

ผมเคยเขียนไปเมื่อหลายเดือนก่อนถึงผลกระทบของฟุตบอลลีกไทยในช่วงที่นักการเมืองเก็บตัวเงียบหลายปีที่ผ่านมา โดยเราจะเห็นได้ชัดว่าการทำทีมที่มีนักการเมืองเป็นเจ้าของหรือผู้สนับสนุนใหญ่จะดูเงียบๆ ไม่มีการทุ่มซื้อตัวนักเตะหรือโปรโมตมากนัก อาจจะด้วยเรื่องของงบประมาณที่ขาดมือ หรือจะเป็นเรื่องของการที่กลัวถูกนำไปเชื่อมโยงว่าเป็นกิจกรรมทางการเมือง หรืออาจจะเป็นเพราะเก็บเงินไว้รอใช้ตอนที่การเลือกตั้งใกล้เข้ามาถึงเอาออกมาใช้ผ่านกิจกรรม Sports Marketing ที่คุ้นเคยก็เป็นได้

ทีนี้เมื่อโรดแม็ปของประเทศทำให้นักการเมืองเหล่านี้เริ่มมองเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ถึงการเลือกตั้ง แน่นอนครับนั่นคือช่วงเวลาที่เม็ดเงินจะเริ่มไหลกลับมาในระบบ สโมสรฟุตบอลเป็นเครื่องมือหนึ่งที่พวกเค้าใช้ในการสร้างฐานแฟนๆ ดังนั้นเชื่อได้เลยครับว่าปีหน้าทีมหลายๆ ทีมในลีกจะกลับมามีสีสันและโหมโปรโมตกันเพียบแน่นอน

สุดท้ายผมมองเห็นอะไรในปีหน้า ไม่อยากจะบอกแต่ว่าก็คงเป็นอีกปีหนึ่งที่เราจะได้เห็นการ เสื่อมถอย ของวงการฟุตบอลลีกไทยต่อเนื่องต่อไป สิ่งหนึ่งที่วงการฟุตบอลไทยยังไม่สามารถสร้างได้อย่างแข็งแกร่งก็คือ ศรัทธา ของแฟนๆ กีฬาที่ชื่นชมในความมหัศจรรย์ของฟุตบอลอย่างแท้จริง หลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับวงการฟุตบอลไทยถูกเคลือบแฝงไปด้วยองค์ประกอบที่ไม่ได้มีความผูกพันธ์กับแก่นแท้ของกีฬานี้ ส่งผลให้แฟนพันธุ์แท้ของกีฬาฟุตบอลไม่สามารถต่อติดได้อย่างถาวร ก็ต้องดูกันต่อไปครับว่าจะเป็นอย่างที่ผมคาดการณ์ไว้หรือไม่ แล้วตอนท้ายฤดูกาลปีหน้าเรามาลองดูกัน

 

บทความนี้ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์สยามกีฬา ฉบับวันที่  17 พฤศจิกายน 2560

ติดตามมุมมองสบายๆ ของเศรษฐา ทวีสิน เกี่ยวกับกีฬาและสังคมได้ที่ คลิก