The Best Ever VS The Special One, Floyd Mayweather VS Mourinho

เมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมามีข่าวเกี่ยวกับ บุคคลในวงการกีฬา 2 ประเภทที่กลายเป็นประเด็นสำคัญและผมคอยติดตามดูอยู่ ทั้งสองคนเป็นบุคคลที่ (เรียกตัวเองว่า) “พิเศษ” กว่าคนอื่น ใช่ครับ เดาไม่ยาก คนแรกเลยคือ Jose Mourinho หรือ The Special One ที่เค้าเรียกตัวเองว่าเช่นนั้น กับอีกคนคือ Floyd Mayweather นักชกที่เพิ่งสถาปนาตัวเองว่าเป็น The Best Ever เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

ก่อนที่จะเดินทางไปรับรางวัลนักชกยอดเยี่ยมแห่งปี Mayweather แวะให้สัมภาษณ์ในสตูดิโอของ ESPN และเมื่อถูกถามว่า ในความเห็นของเค้า ใครคือนักชกมวยที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล และไม่เป็นที่แปลกใจครับที่เมื่อ Mayweather เอาภาพของเค้าขึ้นเป็นอันดับแรกแบบหน้าตาเฉย ในขณะที่พิธีกรสองคนก็ทำหน้าเหมือนจะทราบดีว่าเค้าจะทำเช่นนั้น แล้วใครบ้างครับที่อยู่อันดับรองจากเค้าลงมา อันดับ 2 เค้าให้ Julio Cesar Chavez อันดับ  3 ได้แก่ Pernell Whitaker อันดับ 4 ได้แก่ Roberto Duran และอันดับ 5 ได้แก่ Muhammad Ali ไม่มีแม้กระทั่ง Sugar Ray Robinson หรือ Marvin Hagler หรือ Mike Tyson?

เหตุผลที่ Mayweather ยกขึ้นมาสนับสนุน (โดยเรียกตัวเองเป็นสรรพนามบุคคลที่ 3 เพื่อความแฟร์?) ก็คือ Mayweather คือนักมวยที่ชกชนะ แชมป์โลก มากรายที่สุด ในช่วงระยะเวลาที่สั้นที่สุด และจากสถิติที่บอกว่าเค้าสามารถออกหมัดได้เข้าเป้าเป็นอัตราส่วนที่สูงที่สุดในขณะที่โดนหมัดคู่แข่งน้อยที่สุด และยังอ้างอิงถึงจำนวนยอดคนดู pay-per-view ที่มากที่สุดเป็นสถิติด้วย

ดูในเชิงสถิติหรือเหตุผลที่ยกมาอ้าง ก็ใช่ว่าจะผิด แต่ถ้าจะให้ผมเห็นด้วยว่า Mayweather เป็น นักชกที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ หรือ The Best Ever ผมคงเห็นด้วยไม่ได้อย่างแน่นอน ถ้าถามผม จะบอกว่า Mayweather คือนักชกที่ ฉลาด มีทักษะในเชิงมวย สูงที่สุด หรือเป็น The Most Skilled and Intelligent Ever มากกว่า

การที่จะยกใครสักคนขึ้นเป็น The Best Ever ผมเห็นด้วยกับแฟนมวยหลายคนที่มองว่านักมวยคนนั้นต้องมีอะไรมากกว่า สถิติ ที่สวยหรู แน่นอนครับสถิติการชกของ Mayweather ดูยอดเยี่ยมมากที่สุด แต่อย่าลืมว่าเป็นการชกชนะคะแนนที่ใช้ ความฉลาด และ ทักษะ เพื่อให้ได้แต้มเหนือคู่แข่ง ในขณะที่มาตรวัด ความตื่นเต้น ความเสี่ยง หรือ ความ มันส์ ในภาษาบ้านๆ อ่อนมากเมื่อเทียบกับนักมวยในลิสต์อันดับของเค้า

หรือจะเป็นเรื่องของคุณภาพของคู่ชกของเค้าในหลายไฟต์ที่เป็นที่กังขา ซึ่งในฐานะของ The Most Skilled and Intelligent ไม่เถียงที่เค้าจะมีสิทธิ์เลือกคู่ชกที่เหมาะสมในจังหวะเวลาที่เค้าต้องการเพื่อสร้างสถิติที่สวยหรู ยกตัวอย่างง่ายๆ เลยกว่าพี่แกจะยอมขึ้นชกกับ Pacquiao ก็นานเสียจนฟอร์มคู่แข่งเริ่มแผ่วไปตามอายุและเวลา หรือการหลีกเลี่ยงไฟต์กับคนที่น่ากลัวอย่าง Amir Khan แต่สำหรับผมแล้วนั่นก็แสดงให้เห็นถึงภาวะความหวาดกลัวในเรื่องของ ความสม่ำเสมอของตัวเอง หรือความไม่แน่ใจศักยภาพของตัวเองในสถานการณ์ที่บีบคั้น (โดนคนทั้งโลกมองอยู่)

นอกจากนี้แล้ว การที่นักกีฬาสักคนหนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็น The Best Ever ได้ มันยังมีเรื่องทางจิตใจและพฤติกรรมที่ผมเชื่อว่าหลายคนก็ให้น้ำหนักในเรื่องนี้  นักมวยหลายคนมีพฤติกรรมที่ตัวเองสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นจุดขายซึ่งหลายพฤติกรรมก็ไม่ได้เป็นที่ถูกใจแฟนๆ อย่างเช่น Ali ก็มักเอาเรื่องของ civil movement ในสังคมสหรัฐฯ มาเป็นประเด็นทางการเมือง หรือการเปลี่ยนศาสนา ในขณะที่ Tyson ก็มีเรื่องของสปิริตนักกีฬาและความเหลวแหลกในชีวิตครอบครัว Mayweather ก็เช่นกัน ความโอ้อวด ที่เราเห็นกันอยู่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ผมไม่คิดว่าเป็นบุคลิกลักษณะของนักมวยที่เป็น The Greatest Ever

เมื่อพูดถึงเรื่องพฤติกรรมก็เลยต้องโยงมาถึง The Special One อีกรายหนึ่ง เช่นเดียวกันกับ Mayweather ถ้าเราเอาเรื่องของสถิติต่างๆ ในการทำทีมของ Mourinho มากางดู ไม่เถียงครับว่าเป็นหนึ่งในผู้จัดการทีมที่พาทีมในหลายๆ ลีกคว้าถ้วยรางวัลในการแข่งขันระดับลีกและยุโรปได้อย่างที่น้อยคนเคยทำได้ รวมถึงสัดส่วนของสถิติ ชนะ-แพ้ ที่สวยหรูกว่าคนอื่น เรียกได้ว่าถ้าหากเค้าเป็นมือปืนรับจ้างที่ถูกจ้างเข้ามา turn-around บริษัทเพื่อทำกำไรแล้วล่ะก็ ผมว่าเค้าทำได้ดีทีเดียวด้วยการเพิ่มศักยภาพ เอาส่วนที่ไม่จำเป็นและไม่เห็นด้วยกับวิธีของเค้าออกไป ประสบความสำเร็จแล้วก็ย้ายไปที่ใหม่

แต่ ณ ตอนนี้ทีม Chelsea กำลังประสบกับวิกฤติที่แม้กระทั่ง Mourinho เองก็ยังกำลังหาทางแก้อยู่ เชื่อว่านักเตะในทีมหลายคนเริ่มรู้สึก unsettled กับวิกฤติที่ทีมกำลังประสบ และเป็นหน้าที่ของ The Special One ที่จะต้องกอบกู้ความเชื่อมั่นกลับมา ซึ่งถ้าดูแล้วก็ไม่แน่ใจว่าเค้าทำได้ดีหรือไม่ จากประเด็นเล็กๆ น้อยๆ หลายๆ อย่างที่ผมเชื่อว่าส่งผลต่อจิตใจของเค้าเองและภาพรวมของทีม อย่างเช่นการปลดนักกายภาพประจำทีมออกไปหลังจากกรณีของ Eden Hazard หรือการปลด John Terry จากตัวจริงแต่สุดท้ายก็เอาตัวกลับมาใหม่ และยิ่งเห็น Kevin De Bruyne นักเตะที่เค้าขายทิ้งไปในปี 2014 กลับมาแสดงฝีเท้าสุดยอดกับทีมคู่แข่งอย่าง Man City ก็ยิ่งเจ็บใจ

และถ้ามองสถานการณ์ปัจจุบันที่ Arsenal ทีมคู่กัดอมตะนิรันด์กาลของ Wenger ที่ Mourinho เคยตราหน้าว่าเป็น Serial Loser กำลังไปได้สวย หรือทีมของ Pellegrin ที่ Mourinho เคยเรียกว่าเป็นผู้จัดการทีม ระดับล่าง ล้วนแล้วมีคะแนนมากกว่า Chelsea สิบกว่าแต้ม ผมเชื่อว่ามีหลายคนครับที่กำลังแอบสะใจกับสถานการณ์ตอนนี้ เพราะกิริยาอาการของ Mourinho ตลอดเวลาที่ประสบความสำเร็จก็ไม่ได้เป็นที่ถูกใจของหลายๆ คนไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเย้ยหยันหรือเล่นจิตวิทยาแบบมวยวัดกับคู่กัด การกวนประสาทและทะเลาะกับสื่อมวลชน การทะเลาะกับนายจ้าง หรือจุดต่ำสุดที่ได้เห็นก็คือการเอานิ้วจิ้มตาผู้จัดการทีมคู่แข่งสมัยแม็ตช์ El Classico หลายปีก่อน

ตอนนี้เริ่มมีเสียงหลายเสียงที่ตั้งคำถามกับความสำเร็จที่ Mourinho เคยได้ หลายคนเริ่มถามว่า Mourinho คือผู้จัดการที่มีวิสัยทัศน์ยาวไกลและเป็นคนที่สามารถสร้างความสำเร็จในระยะยาวให้กับทีมได้จริงหรือไม่ หรือจะเป็นเพียงแค่มือปืนรับจ้างที่เข้ามาปั้นความสำเร็จในระยะสั้นให้เกิดขึ้นแล้วก็จากไปเพื่อสร้างโปรไฟล์ของตัวเอง หรือแม้กระทั่งคำถามที่ว่ายังไงทีมที่เค้าได้ถูกจ้างเข้ามาจัดการก็มีโอกาสประสบความสำเร็จอยู่แล้วแม้จะไม่มีเค้าก็ตาม น่าเสียดายนะครับที่ข้อเสียในเรื่องเหล่านี้ถูกนำมาปลุกปั่นและสร้างความกังขากับ สถิติ ความสำเร็จที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเค้า

ผมว่ากรณีตัวอย่างของ character สำคัญของการจะเป็น The Best Ever หรือ The Special One ในวงการกีฬาที่ผมเห็นว่าเหมาะสมล่าสุดก็คือความ humble หรือถ่อมตนของ All Blacks ภายหลังได้แชมป์โลกรักบี้และการยอมรับและชื่นชมคู่แข่งของทีม Wallabies ทั้งๆ ที่ทั้งคู่คือคู่ปรับเพื่อนบ้านที่ชิงดีชิงเด่นในรักบี้มาโดยตลอด ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร มาจากไหน สุดท้ายแล้วต้องยอมรับครับว่ากีฬามีมากกว่าคำว่าแพ้ชนะ

ที่มาของภาพ
hxxp://guim.co.uk/
hxxp://christiantoday.com/