อนาคตเด็กไทย ที่กำลังสูญหาย
จากความเหลื่อมล้ำ
ทางการศึกษาที่ไม่มีวันหมดสิ้น
"เหตุใดโครงการ
ชวนคิดและทำความเข้าใจ
ZERO DROPOUT
ถึงสำคัญ?"

 อนาคตของเด็กไทยอีกกี่คนที่ต้องสูญหายไป จากปัญหาคลื่นลูกใหญ่ที่เรียกว่า “ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา”

แสนสิริชวนทุกคนทำความเข้าใจแง่มุมที่ลึกลงไป ของปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาไทย เพราะตอนนี้เราเลี่ยงไม่ได้เลยว่า มีอนาคตของเด็กจำนวนมากที่ต้องเปลี่ยนแปลงไปจากปัญหานี้ และการศึกษาของเด็กไทยยังเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ส่งผลโดยตรงกับเหตุการณ์บ้านเมืองและเศรษฐกิจตั้งแต่ระดับจุลภาคไปจนถึงมหภาค หากปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษานี้สามารถแก้ไขได้ จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยเติบโตมากขึ้นอีกกว่า 3% ในระยะยาวเลยทีเดียว 

โอกาสทางการศึกษาของเด็กไทยต้องไม่ถูกเพิกเฉย ด้วยตัวเลขเด็กและเยาวชนที่ออกนอกระบบการศึกษาในปัจจุบันสูงถึง 982,304 คน นับเป็นตัวเลขที่มากเป็นประวัติการณ์และอาจสูงขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่มีการร่วมมือที่สำคัญของภาครัฐและเอกชน ร่วมสอดส่องดูแลต้นตอปัญหา และดึงเด็กๆ กลับเข้าสู่ระบบการศึกษาไทยอีกครั้ง พราะการลงทุนด้านกา///รศึกษาแก่เด็กๆ เป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้พวกเขาเติบโตไปเป็นพลเมืองโลกที่ดี มีความรู้ และสามารถก้าวพ้นชนชั้นทางสังคม รวมถึงยกระดับคุณภาพชีวิตของเขาและครอบครัวได้   

มาตอนนี้ ผลลัพธ์ของการที่แสนสิริเข้าร่วมโครงการ “ZERO DROPOUT เด็กทุกคนต้องได้เรียน” อย่างต่อเนื่องหลายปีกับกสศ. เห็นผลอย่างชัดเจน การวางแผนระยะยาวเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาไทยอย่างยั่งยืนสามารถทำได้จริง และวันนี้เราสามารถดึงเด็กๆ กลับเข้าสู่ระบบการศึกษาได้อีกครั้ง พร้อมกับปั้น “ราชบุรีโมเดล” ให้เป็นพื้นที่ต้นแบบการจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่นสอดคล้องกับบริบทของชีวิตเด็ก และยังสร้างกลไกที่เชื่อมต่อการทำงานทั้งหน่วยงานระดับตำบล จนถึงระดับจังหวัด เพื่อวิเคราะห์สาเหตุ ติดตาม ดูแล และพัฒนาเด็กที่เสี่ยงหลุดและเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษาให้เข้าถึงการศึกษาได้อย่างเท่าเทียม พร้อมพัฒนาศักยภาพของเด็กและเยาวชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้

การร่วมมือด้านการศึกษาครั้งนี้ของแสนสิริคุ้มค่าและมีความหมายอย่างที่เราตั้งใจไว้ และแน่นอนว่าหากทุกคนทำความเข้าใจปัญหานี้แล้ว การร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาเด็กหลุดออกนอกระบบการศึกษาของไทยจะยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น และกลายเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้อนาคตที่สดใสของเด็กๆ ยังคงอยู่ได้อย่างยั่งยืน

ชวนดูตัวเลขสถิติความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาในไทยที่น่าสนใจ เพื่อร่วมกันหาทางออกให้ปัญหาเด็กหลุดการศึกษา

ปัจจุบันเรามีเด็กเกือบล้านคนที่หลุดออกจากระบบการศึกษาไทย ไม่ว่าจะเกิดจากปัจจัยด้านครอบครัว หรือทางการเรียนรู้ก็ตาม และยังมีเด็กอีกเป็นล้านคนที่มีความเสี่ยงหลุดออกจากระบบการศึกษาเช่นกัน ถ้ายังไม่มีการป้องกัน สอดส่องและดูแลอย่างทั่วถึง 

การเริ่มต้นแก้ไขอย่างถูกต้องจึงสำคัญมาก โดยเฉพาะการเริ่มที่เด็กเล็ก และเด็กที่มาจากครอบครัวยากจน ทั้งการเฝ้าระวังกลุ่มเด็กที่อยู่ช่วงชั้นปฐมวัย ที่อาจไม่ได้เข้าเรียนอนุบาล หรือเข้าเรียนล่าช้า ให้พวกเขาได้อยู่ในระบบอย่างถูกต้องตั้งแต่เริ่ม นอกจากนี้การคอยติดตามเด็กที่อยู่ระหว่างช่วงรอยต่อของปีการศึกษาก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะเด็กชั้นปฐมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น ต่างมีความเสี่ยงหลุดออกจากการศึกษา เด็กไทยกลุ่มนี้ยังรอคอยการช่วยเหลือจากทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้โอกาสทางการศึกษาของพวกเขาไม่มีวันเลือนหายไป 

*ข้อมูลอ้างอิงจากรายงานฉบับพิเศษ สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาปี 2567 และทิศทางสำคัญในปี 2568 ประเทศไทยกับการแก้ปัญหาเชิงระบบ เพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา

การตั้งเป้าหมายโครงการ “ZERO DROPOUT เด็กทุกคนต้องได้เรียน” ด้วยเป้าหมายที่มุ่งมั่นในการทำให้เด็กนอกระบบการศึกษาเป็นศูนย์นับเป็นเรื่องสำคัญมาก ไม่ว่าจะมาจากนโยบายภาครัฐ การร่วมมือของเอกชน การมอบทุนการศึกษาเพื่อช่วยเหลือเด็ก หรือกิจกรรมช่วยเหลือต่างๆ ล้วนเป็นหนทางที่เปรียบเสมือนแสงสว่างนำทางไม่ให้อนาคตการศึกษาของเด็กไทยดับไป

ข้อมูลจากปี 2567 มีการติดตามเยาวชนกลับเข้าสู่การศึกษาสำเร็จแล้วถึง 304,082 คน จากจำนวนเด็กและเยาวชนที่ไม่มีรายชื่อในระบบการศึกษา 1,025,514 คน 

หากมีการติดตาม ช่วยเหลือ และมีทรัพยากรที่พร้อมและเพียงพอแล้ว การลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในไทยสามารถพัฒนาได้จริง ควบคู่ไปกับการสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชน มูลนิธิ รวมไปถึงพวกเราตัวเล็กๆ ก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการร่วมกิจกรรมช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสทางการศึกษา การบริจาค หรือการทำกิจกรรมอาสาต่างๆ ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างโอกาสให้เด็กและเยาวชนได้พัฒนาศักยภาพของพวกเขาอย่างเต็มที่ สร้างความเท่าเทียมทางการศึกษา ลดความเหลื่อมล้ำ 

นี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นการลงทุนครั้งสำคัญของประเทศไทยที่จำเป็นต้องทำอย่างแข็งขัน เพื่อลดจำนวนเด็กหลุดการศึกษาให้เป็นศูนย์ 💪🏼  

การสร้างรากฐานที่แข็งแรง เพื่ออนาคตของเด็กไทยทุกคน คือความตั้งใจของแสนสิริมาตลอด 18 ปีที่เรามีส่วนร่วมในโครงการต่างๆ เพื่อเสริมสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาให้กับเด็กไทย ไม่ว่าจะเป็นโครงการ Sansiri Academy, NO ONE LEFT BEHIND, หรือการเป็นพาร์ทเนอร์กับยูนิเซฟอย่างต่อเนื่อง ( UNICEF’s First Selected Partner in Thailand)  

และนี่เป็นอีกโครงการที่เราภูมิใจ แสนสิริร่วมมือกับกสศ. กว่า 3 ปี วางแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาไทยและลดความเหลื่อมล้ำอย่างยั่งยืน ผ่านโครงการ “ZERO DROPOUT เด็กทุกคนต้องได้เรียน” ตั้งแต่ปี 2565 ซึ่งเป็นช่วงที่มีเด็กเสี่ยงหลุดระบบการศึกษามากถึงประมาณ 2 ล้านคน ด้วยการระดมทุนจากหุ้นกู้จำนวน 100 ล้านบาท

วันนี้ “ราชบุรี โมเดล” กลายเป็นจังหวัดนำร่องและได้ช่วยเหลือเด็กๆ กว่า 10 อำเภอ ในจ.ราชบุรี เรามีการจัดสภาพการเรียนรู้ให้เหมาะสม ลงทุนในทรัพยากรที่เอื้อต่อการเรียนรู้ตามมาตรฐาน และเกิดเป็นกลใกช่วยเหลือที่ครอบคลุมตั้งแต่ระดับตำบลจนถึงระดับจังหวัด เด็กทุกคนสามารถเข้าถึงการศึกษาที่จำเป็นได้จริง

ปัจจุบัน “ราชบุรี โมเดล” กลายเป็นโมเดลต้นแบบให้กับหลายจังหวัดทั่วไทย เพื่อติดตามและป้องกันเด็กหลุดจากระบบการศึกษาได้แล้ว

นี่ถือเป็นแผนการลงทุนระยะยาวของเราที่น่าภูมิใจอย่างยิ่ง ถือเป็นความร่วมมือของทุกคนในการดึงเด็กกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาไทยได้อีกครั้ง เพื่อให้พวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น 

อ่านข้อมูลโครงการแสนสิริเพื่อช่วยเหลือเด็กด้านความเสมอภาคทางการศึกษาเพิ่มเติมได้ที่: https://blog.sansiri.com/sansiri-social-change/

CONTRIBUTOR

Related Articles

บ้านที่อบอุ่นและปลอดภัย ที่พักกายใจแห่งสุดท้าย ของเพื่อนสี่ขา

“จะเลี้ยงหมาหรือแมวดีนะ?” ถ้าจะหาคำตอบให้คำถามข้อนี้ คงต้องเริ่มที่ว่าใครเป็นทาสหมาทาสแมวกันซะก่อน การมีน้องๆ สี่ขาเป็นเพื่อนซี้คู่ใจคงเป็นอะไรที่ใครหลายๆ คนฝันถึง และดูเหมือนว่าการ “ซื้อสัตว์เลี้ยง” ได้กลายเป็นตัวเลือกอย่างแรก และอาจเป็นตัวเลือกเพียงอย่างเดียวที่จะทำให้ได้มีสัตว์เลี้ยงไปเสียแล้ว นั่นเพราะหลายคนไม่รู้ถึงตัวเลือกที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นั่นคือ “การรับเลี้ยง” สุนัขและแมวจรจำนวนหนึ่งมีแหล่งที่มาไม่น้อยหน้าไปกว่าสัตว์เลี้ยงจากฟาร์มหรือร้านขาย แต่กลับโชคร้ายทำให้ต้องกลายเป็นสัตว์จรที่ถูกละเลย สิ่งที่พวกเขาต้องการ คือบ้านสำหรับอยู่อาศัยอย่างอบอุ่นและปลอดภัย เพื่อไม่ให้พวกเขาต้องเผชิญกับการโดนทำร้าย หรือโรคติดต่อ อีกต่อไป แม้จะมีแนวทางในการจำกัดจำนวนและช่วยเหลือสุนัขและแมวจร

turtle

“เต่า” เทรนด์สัตว์เลี้ยง สุดสโลวไลฟ์

เชื่อว่าหลาย ๆ คนต้องเป็น pet pawrent มีลูกรักเป็นเจ้าแสนซนสี่ขากันอยู่เกือบทุกบ้านแน่เลยใช่ไหมคะ ไม่ว่าจะเป็นน้องหมา น้องแมว หรือเจ้าขนฟูอื่น ๆ แต่มีบ้านไหนเลี้ยงเจ้าสัตว์สี่ขา ไม่มีขน แต่แสนเชื่องและลี้ยงง่ายไม่แพ้ไปกว่าสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ บ้างไหมคะ น้องคนนั้นก็คือ “เต่า” นั่นเองค่ะ น้องเต่า สัตว์เลี้ยงสุดสโลว์ไลฟ์ เป็นที่นิยมและมีคนเริ่มหันมาเลี้ยงเพิ่มขึ้นจำนวนมาก

Micro - Drama

เส้นเรื่องที่เรียบง่ายและแอคติ้งสุดเล่นใหญ่ร่วมข้องใจทำไมถึงโดนใจคนในโซเชียล ชวนมาเจาะความแมส ของ Micro – Drama ให้ลึกกว่าเดิม ว่าทำไมทุกคนถึงชอบ “ละครคุณธรรม”

ตอนนี้ไม่ว่าจะเลื่อนหน้าไทม์ไลน์ทางแพลตฟอร์มไหน เราต้องได้เห็นคลิป ‘ละครสั้นคุณธรรม’ ผ่านตากันอยู่บ้างไม่มากก็น้อย หรือไม่ก็ต้องคุ้นเคยกับวลีดังๆ ในละครสั้นกันมาอยู่บ้างอย่าง “จริง ๆ แล้วฉันเป็นประธานบริษัท” หรือ “แกไม่มีสิทธิ์เรียกฉันว่าแม่” ซึ่งประโยคนี้จุดติดให้คนเอาไปล้อเลียนเป็นหรือมุขตลกต่างๆ บนโซเชียลมีเดีย จนทำให้ละครคุณธรรมช่วยสร้างเสียงหัวเราะ และเป็นไวรัลได้ใจผู้ชมมากมาย แล้วทุกคนเคยสงสัยกันไหมคะว่าทำไมทุกคนถึงชอบดูละครคุณธรรม ถึงแม้จะรู้จุดจบของตัวละครที่เราดูอยู่แล้วบ้าง วันนี้แสนสิริชวนมาเจาะความแมสของ Micro –