โค้ชทีมชาติ ค่าจ้าง ความโปร่งใส Jose Mourinho เคยพูดถึงอดีตเมื่อปี 2007

Jose Mourinho เคยพูดถึงอดีตเมื่อปี 2007 ที่เค้าโดนนายจ้าง Roman Abramovich ไล่ออกจากการเป็นโค้ชทีมเชลซีในครั้งนั้นว่า “ผมเกือบตัดสินใจเซ็นสัญญาคุมทีมชาติอังกฤษ แต่ผมถามตัวเองในวินาทีสุดท้ายว่า ถ้าผมเป็นโค้ชทีมชาติ จะมีเกมแข่งขันแค่เดือนละครั้งอย่างมาก และผมจะใช้เวลาส่วนมากกับการทำงานที่โต๊ะและก็ต้องรอเป็นปีกว่าที่จะถึงฤดูแข่งขันอย่างฟุตบอลโลกหรือบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป” สุดท้าย Mourinho ตัดสินใจว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่เค้ามองหา เค้าเลือกที่จะรอเพื่อกลับเข้าไปทำงานเป็นโค้ชในระดับสโมสรชั้นนำมากกว่า รอโอกาสที่เหมาะสมและเค้าคิดว่าท้าทายความสามารถของเค้าจริงๆ และสุดท้ายสโมสรที่เค้าเลือกคือ Inter Milan คำถามก็คือ “ความท้าทาย” เป็นปัจจัยเดียวหรือที่จะทำให้โค้ชฝีมือดีตัดสินใจไม่ทำทีมชาติระดับยอดนิยมอย่างอังกฤษ หรือจะมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่นเรื่องค่าตอบแทน? Jose-Mourinho-during-a-press-conference

ภาพจาก mirror.co.uk

ถ้ามองย้อนกลับไปฟุตบอลโลกปีที่แล้ว มีสถิติตัวเลขค่าจ้างของบรรดาโค้ชทีมชาติต่างๆ ทั้ง 32 ทีมที่เข้าร่วมออกมาให้ดูกัน โดยรายได้เฉลี่ยตกประมาณคนละ 2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี (ไม่รวมโบนัสพิเศษในกรณีทีมประสบความสำเร็จจากการแข่งขัน) ซึ่งโค้ชที่มีค่าตัวสูงสุดก็คือ Fabio Capello โค้ชทีมชาติรัสเซียที่ได้ค่าตอบแทนจากสมาคมฟุตบอลของรัสเซียที่ประมาณ 11.2 ล้านเหรียญต่อปี ทิ้งที่สอง Roy Hodgeson ของอังกฤษที่ได้ประมาณ 5.8 ล้านเหรียญไม่เห็นฝุ่นเลยทีเดียว article-2660791-1EDD875800000578-605_636x637

Fabio Capello ขณะดำรงตำแหน่งโค้ชทีมชาติรัสเซีย

ในขณะเดียวกันภายหลังเกิดนิมิตรวินาทีสุดท้ายว่าอยากเป็นโค้ชระดับสโมสรต่อ ปัจจุบัน Jose Mourinho ได้ชื่อว่าเป็นโค้ชระดับสโมสรที่ได้ค่าตอบแทนสูงที่สุดเป็นอันดับที่ 2 รองจาก Pep Guardiola ของ Bayern Munich โดย Mourinho ได้ค่าตอบแทนที่ประมาณ 16 ล้านเหรียญต่อปี ซึ่งทิ้ง Capello กว่า 50% เลยทีเดียว รวมถึงเค้ายังประกาศว่าจะทำหน้าที่โค้ชในระดับสโมสรไปอีกประมาณ 15 ปีก่อนที่จะพิจารณาทำทีมชาติ อันนี้ผมบอกไม่ได้ว่าเป็นเรื่องของเงินหรือความท้าทาย ลองคิดกันเองแล้วกันครับ กลับมาที่ระดับทีมชาติ โค้ชทีมแชมป์โลก Joachim Low ของเยอรมันนีได้ค่าตอบแทนค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับความสำเร็จที่ได้ โดยเค้าเข้ามาในลำดับที่ 6 ด้วยค่าตอบแทนประมาณ 3.6 ล้านเหรียญต่อปี ในขณะที่ Alejandro Sabella โค้ชทีมอาร์เจนติน่าคู่ชิงเข้ามาในลำดับที่ 22 จาก 32 คนที่ประมาณ 8 แสนเหรียญต่อปี ซึ่งถือว่าค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับความสำเร็จ และถ้าดูจากชื่อบรรดาโค้ชทีมชาติเหล่านี้จะเห็นได้ว่าเป็นการว่าจ้างมือปืนต่างชาติมาถึง 15 ทีมจาก 32 ทีมและก็เป็นชื่อที่ยังพอขายได้เช่น Carlos Queiroz อดีตผู้ช่วย Sir Alex Ferguson ของทีมเล็กๆ อย่าง Iran ที่เข้าวินในอันดับ 13 ด้วยค่าตัวถึง 2 ล้านเหรียญทีเดียว หรือ Alberto Zaccheroni ของทีมชาติญี่ปุ่นที่เข้าวินอันดับ 9 ด้วยค่าตัวกว่า 2.7 ล้านเหรียญ ผมคิดเองว่าบรรดาโค้ชเหล่านี้น่าจะถูกว่าจ้างเข้ามาด้วยความหวังของสมาคมฟุตบอลแต่ละชาติที่จะใช้ประสบการณ์และความเก๋าเกมในระดับสูงๆ มาบริหารทีมชาติที่ยังต้องถือว่าพื้นฐานโดยรวมยังไม่แข็งพอที่จะเรียกเป็นทีมชั้นนำระดับโลก เรียกได้ว่าเป็นทางลัดในการไปสู่ความสำเร็จแบบหนึ่ง

290075Carlos Queiroz กับทีมชาติอิหร่าน

แน่นอน “ค่าตัวที่สูง” ก็มาพร้อมกับ “ความไม่แน่นอนในอาชีพ” ดูจากรายชื่อโค้ชทีมชาติฟุตบอลโลกปี 2014 ก็จะเห็นว่ามีเพียงแค่ 5 คนที่สืบทอดตำแหน่งเดิมมาจากบอลโลกในปี 2010 และหลังบอลโลกปีที่แล้วจบลงผมเองก็ไม่ได้ติดตามอยู่ตลอด แต่เชื่อว่าบรรดาโค้ชมือปืนเหล่านี้น่าจะเหลือไม่กี่คนที่ยังได้คุมทีมชาติเหล่านี้อยู่ เพราะน่าจะเป็นเงื่อนไขของการทำสัญญากับสมาคมฟุตบอลต่างๆ ว่าถ้าไม่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ในฟุตบอลโลกก็คงสามารถยกเลิกสัญญาได้ อย่างไรก็ตามผมเองไม่เชื่อว่าการจ้างคนพิเศษเพียง 1 คนจะสามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งให้สวยหรูได้ในพริบตา ปัจจัยแวดล้อมต่างๆ มีอีกมากมายทั้งในเรื่องของทีมงานที่โค้ชคนดังกล่าวจะต้องร่วมงานด้วย จะเป็นทีมเดิมหรือสรรหาทีมใหม่ยกชุด อันจะนำมาซึ่งค่าใช้จ่ายที่ตามมากหลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือจะเป็นเรื่องของวัฒนธรรม ภาษา ที่อาจเป็นกำแพงในการเข้าถึงนักฟุตบอลของโค้ชแต่ละประเทศได้ แต่อีกปัจจัยหนึ่งที่ผมคิดว่าสำคัญมากที่สุดต่อความสำเร็จของทีมชาติทุกชาติก็คือพื้นฐานคุณภาพของนักเตะที่จะถูกรวบรวมมาจากลีกในประเทศหรือลีกที่มีนักเตะชาตินั้นๆ ไปค้าแข้งอยู่ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนก็คือฟุตบอลพรีเมียร์ลีก แม้จะประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์อย่างมากมายแต่ในระดับสโมสรยุโรปก็ยังไปไม่ถึงจุดสูงสุด ยังสู้ทีมจากบุนเดสลีกาหรือลาลีกาก็ไม่ได้ ซึ่งก็เห็นได้ชัดเจนอีกเช่นกันว่านักเตะอังกฤษที่ไปค้าแข้งในลีกเหล่านี้แล้วประสบความสำเร็จก็มีน้อยมาก ส่วนมากเลือกที่จะรับทรัพย์กับทีมในพรีเมียร์ลีกมากกว่า ส่งผลให้คุณภาพของนักเตะทีมชาติอังกฤษยังเรียกได้ว่าไม่ถึงขั้นและเหมือนพยายามหลอกตัวเองอยู่ทุกครั้งในทัวร์นาเมนต์ใหญ่ๆ ว่าจะประสบความสำเร็จให้ได้ เช่นกันถ้ามองย้อนกลับมาที่ทีมชาติไทยของเรา ช่วงภายหลังจากที่ประสบความสำเร็จในระยะปีหลังๆ ที่ผ่านมา แน่นอนเราต้องยอมรับว่ามีส่วนสำคัญมาจากการพัฒนาคุณภาพของลีกไทยเราทั้งในเรื่องของมาตรฐานเกมและมาตรฐานการดูแลนักเตะของแต่ละสโมสรที่เอา know how จากต่างชาติเข้ามาเยอะอยู่เหมือนกัน แม้กระทั่งสัมภาษณ์ล่าสุดของโค้ชซิโก้เองก็ยังกล่าวถึงเรื่องนี้ว่าตอนนี้การเตรียมทีมชาติก็เหมือนเอาส่วนผสมที่พร้อมแล้วมาแค่ผัดให้อร่อยกลมกล่อมขึ้น ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ซึ่งก็เป็นเรื่องดีที่ผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งในสมาคมและเจ้าของสโมสรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ และในกรณีคลาสสิคของบรรดาโค้ชทีมชาติ เมื่อมีความคาดหวังเรื่องความสำเร็จ ก็มักจะมีปัญหาเรื่องของ ค่าตอบแทน ตามมาเสมอ ถ้าดูจากข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ถึงการเซ็นสัญญาว่าจ้างคุณซิโก้เพื่อทำทีมชาติไทยเป็นเวลา 5 ปีของสมาคมฟุตบอล เห็นตัวเลขเป็นมูลค่าถึง 1 ล้านบาทต่อเดือน ตีได้เป็น 12 ล้านต่อปีหรือ 4 แสนเหรียญทีเดียว เทียบได้กับโค้ชของทีมชาติอย่าง ไนจีเรีย และ แคเมอรูน และสูงกว่าโค้ชของประเทศอย่าง เซอร์เบีย และ เม็กซิโก เสียอีก 14192170971419217148l ข้อมูลดังกล่าวทำให้ คุณซิโก้ ตกอยู่ในฐานะเสียเปรียบเพราะนี่คือการลงทุนกับโค้ชที่เราเชื่อมั่นว่ามีความทุ่มเท ผูกพัน และเต็มที่กับทีมชาติอย่างไม่ต้องถามแทนที่จะเลือกเอามือปืนรับจ้างต่างชาติมาทำ แต่สิ่งจำเป็นที่เราทุกคนที่เกี่ยวข้องต้องช่วยกันสร้างให้เกิดก็คือ ความโปร่งใส ในเรื่องเงินๆ ทองๆ หลีกเลี่ยงไม่ได้ต้องชัดเจนจากทุกฝ่าย เพราะต้องยอมรับก
ันว่าการลงทุนในระดับนี้กับโค้ชคนไทยที่มีความเหมาะสมในทุกๆ ด้านไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ ตอนนี้วงการฟุตบอลไทยกำลังยกระดับความเป็นสากลและมาตรฐานต่างๆ ในขณะที่คนไทยเรายังมักทำงานกันในระบบพี่ๆ น้องๆ อยู่ อันนี้ต้องขอครับ ในฐานะคนดูอยู่ห่างๆ ที่ไม่อยากได้ยินประโยคสรุปเหมารวมที่ทุกคนก็พูดกันว่า “เงินไม่ใช่เรื่องใหญ่” แต่เอาเข้าจริงๆ เป็นประเด็นสำคัญที่แก้ไม่ยาก เพียงต้องการแค่ความโปร่งใสมาจัดการให้เข้าที่เข้าทาง แค่นั้นเอง

Related Articles

ฟรีวีซ่า เปิดรับนักท่องเที่ยวจีน

ฟรีวีซ่า เปิดรับนักท่องเที่ยวจีน

ในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่เป็นหุ้นส่วนของประเทศและมีประสบการณ์ในการทำธุรกิจได้ผ่านภาวะวิกฤติมาหลายระลอก หลังจากที่ได้เห็นแผนการกระตุ้นธุรกิจท่องเที่ยว ดีใจที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาให้ความสำคัญกับจังหวัดรองอย่าง สตูล จันทบุรี ระนอง ตราด จากเดิมมองแค่ ภูเก็ต พัทยา เชียงใหม่ กรุงเทพฯ ผมมองว่าคุณภาพของนักท่องเที่ยวสำคัญ เน้นเรื่องการมาอยู่ยาว หรือลองสเตย์ ที่มาเมดิคัลเวลเนส ทำให้ระยะเวลาในการอยู่เร็วขึ้น ทำให้ใช้จ่ายเงินเยอะขึ้น จากปีนี้ที่ต้องเป้าไว้ว่าจะได้นักท่องเที่ยว 10

มิติด้านสิ่งแวดล้อม ของ ESG กับภาคธุรกิจไทย

มิติด้านสิ่งแวดล้อม ของ ESG กับภาคธุรกิจไทย

แนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาขององค์กรอย่างยั่งยืน หรือ ESG ซึ่งย่อมาจาก environment (สิ่งแวดล้อม) social (สังคม) และ governance (บรรษัทภิบาล) ปัจจุบันได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางทั้งจากบริษัทจดทะเบียน นักลงทุน และผู้บริโภค จึงเป็นเรื่องที่ใครก็หลีกเลี่ยงไม่สนใจไม่ได้ในตอนนี้ จากทั้ง 3 มิติดังกล่าว นักวิเคราะห์บางคนบอกว่าถ้ามองในมุมที่จับต้องได้แล้ว มิติด้านสิ่งแวดล้อม

tax, ภาษี

To tax or not to tax ?

ที่ประเทศอังกฤษตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงหาเสียงของตัวแทนจากพรรคอนุรักษนิยม 2 คน ที่จะมาเสียบเก้าอี้นายกฯ แทน นายบอริส จอห์นสัน ซึ่งประกาศลาออกไปเมื่อไม่นานมานี้ หนึ่งนโยบายหลักที่ทั้งนาง Liz Truss และ นาย Rishi Sunak ยกขึ้นมาถกเถียงกันเพื่อชิงคะแนนนิยมก็คือ เรื่องการปรับโครงสร้างภาษีนั่นเอง คนหนึ่งเสนอมาตรการลดภาษีทั้งนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาให้ต่ำลง ในขณะที่อีกคนหนึ่งบอกว่าการปรับลดภาษีอาจไม่ใช่ทางออกสำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะยาว ประเด็นภาษีนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจในบริบทของประเทศไทยด้วยเช่นกัน