การคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 ของลิเวอร์พูลนั้น ไม่ได้ทำให้ธุรกิจหลายอย่าง (ทั้งจริงใจและฉาบฉวย) บูมขึ้นมาเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้ “ผ้าพันคอ” ที่เสียแชมป์ให้แมนยูมานานหลายปี ได้กลับมาครองยอดขายสูงสุดอีกครั้งหนึ่ง…
โดยส่อแววว่า 2-3 ปีจากนี้ไป ผ้าพันคอหน้าสนามแอนฟิล์ดและในชอปของหงส์แดง น่าจะเป็นเบอร์ 1 อีกพักใหญ่ในแง่ยอดขาย
ภาพจาก USA Today
กระนั้นก็ดี ถ้าจะขุดคุ้ย ย้อนกลับไปถึงการทำงานของ “ผ้าพันคอฟุตบอล” นอกจากอ่านหนังสือ The Soccer Tribe ของ เดสมอนด์ มอร์ริส แล้ว เรายังต้องไปนั่งสนทนากับ “พ่อค้าผ้าพันคอ” หลาย ๆ สนามอีกด้วย
ผมมีวอทแอปของคนขายผ้าพันคอหน้าสนามบางคน และได้สอบถามหลายเรื่องเกี่ยวกับอาชีพของเขา ที่บ้านเอง ก็สะสมผ้าพันคออยู่ราว ๆ 400 กว่าผืน ซื้อหมดตั้งแต่ฟุตบอลโลก บอลยุโรป บอลพรีเมียร์ลีก หรือเอฟเอคัพ ฯลฯ
ถ้าเอาข้อมูลที่ไม่เป็นทางการ ผ้าพันคอถูกแสดงออกทีมแรก ๆ คือ อาร์เซนอลและเชฟฟิล์ดฯ (ซึ่งเมืองหลังคือสถานที่ผลิตถ้วยแชมป์ต่าง ๆ) แต่ช่วงเวลา 130 ปีของผ้าพันคอ เราต้องยอมรับว่า มันได้เดินทางไกลข้ามแม่น้ำ ภูเขา และทำหน้าที่ ที่ “เกินเลย” หน้าที่ของผ้าพันคอไปไกลมาก
ใช่ครับ เว็บ ruffneckscarves มีข้อมูลว่า แฟนปืนใหญ่ในปี 1882 เอามารัดพันลำคอเพื่อป้องกันอากาศหนาวในสนามบอล แต่ มอร์ริส บอกว่าในเวลาต่อมา ด้วยอะไรต่อมิอะไร ผ้าพันคอก็เป็นมากกว่าผ้ากันหนาว เพราะมันคือการถูกใช้เชิงสัญญะทางการเมือง เช่นการประท้วงตั๋วแพง การเหน็บข่มคู่แข่งถึงประวัติศาสตร์ เช่น ผ้าพันคอแมนยู ที่ข่มผ้าพันคอแมนซิ เกี่ยวกับจำนวนถ้วยแชมป์
ผ้าพันคอในยุคแรก ๆ เป็นสีเดียว one single club ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะเป็นแนวแฟชั่น half and half scarf ที่แบ่งครึ่ง ๆ คนละสี และถักปักวันเวลาแข่งลงไป จากนั้น ก็มีธีมของทีม เช่น เอาเทพ ตำนาน ซุปตาร์ 3-7 คนมาถักหน้าลงไป ยกตัวอย่าง เชลซีกับยุคมู หรือเบอร์ 7 จำนวน 7 คนของแมนยู ขณะที่ลิเวอร์พูลก็มีเหมือนกัน เอาตำนานผู้จัดการทีมที่พาทีมคว้าแชมป์ยุโรป มาถักหน้าตารวมกัน
ภาพจาก Manchester Evening News
แล้วใครเป็นคนออกแบบครับ ?
ธุรกิจผ้าพันคอนี่ เขามีครีเอทีฟนะครับ คล้าย ๆ พวกแท็บลอย์ดของ The Sun, The Mirror ที่จะมีครีเอทีฟคิดคำข่าวพาดหัว เล่นภาษาพ้องรูปพ้องเสียงพ้องความ แบบที่แวดวงวิชาการของอังกฤษบอกว่ามันเป็น Play a Punch คือเล่นคำกับเล่นความ
ครีเอทีฟออกแบบผ้าพันคอฟุตบอล ไม่จำเป็นต้องเป็นแฟนทีมใดทีมหนึ่ง ขอเพียงมี “ความเข้าใจ” เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของแฟนบอล และแคะ แกะ แงะ insight ที่อยู่ในใจแฟนทีมนั้น ๆ ออกมา ก็พอ แต่นี่ยังไม่ใช่ “ไม้ตาย” นะครับ เพราะ “อาวุธเด็ด” ของธุรกิจผ้าพันคอคือ ต้อง “รู้เท่าทัน” กระแสและความต้องการ
เช่น ตอนที่ลิเวอร์พูลผ่านบาร์เซโลน่าแบบโกงตาย 4-0 มา แทนที่จะรีบผลิตปั่นผ้าพันคอนัดชิงยุโรปออกมา พ่อค้าบางคนทำผ้าพันคอ ชนะ 4-0 ออกมาก่อน เพราะเขามองว่านัดชิงเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือน ถึงเวลานั้นค่อยทำมาขาย ก็มีเวลาถมเถ
นอกจากนี้ โรงงานผลิต ก็ต้องคำนวณให้ออกว่า เมื่อสายพานมีจำกัดการขย่มแท่น เขาจะต้องผลิตอะไรก่อนดี จะผลิตแดงเดือดหรือบอลยุโรป จะผลิตบอลดาร์บี้หรือบอลทีมชาติ ถ้ามีเวลาจำกัด
สิ่งที่ผมแปลกใจมากในการเดินทางไปอังกฤษเกือบ 40 ครั้งระหว่าง 1997-2019 ไม่ใช่ผ้าพันคอใครสวยไม่สวย ขายดีไม่ดี แต่กลับเป็นแง่มุมที่แปลกไปคือ ผ้าพันคอหน้าสนามต่อเกมนั้น มีการผลิตออกมาเพียงแค่ 300 ผืนในเกมเล็ก
และ 500 ผืนใน big match !
ภาพจาก The Anfield Wrap
เกมเล็กหมายถึง ลิเวอร์พูลเจอวีแกน หรือ แมนยูพบนอริช เป็นทีมใหญ่ที่แข่งกับสโมสรไม่ดัง ผ้าพันคอพวกนี้จะขายไม่ดีครับ เหตุผลเพราะในเกมพวกนี้ แฟนบอลมองว่าไม่น่าเก็บ ทีมใหญ่ก็คงชนะสบาย ๆ และคนที่มาดู มักไม่ใช่เอเชีย แอฟริกา ที่เป็นคนซื้อหลัก ๆ ของ “ตลาดผ้าพันคอ”
คนที่ซื้อผ้าพันคอ มักเป็นแฟนบอลต่างชาติ เพราะคนอังกฤษแท้ ๆ ซื้อผ้าพันคอน้อย เนื่องจากคุ้นเคย สะดวก จะซื้อเมื่อไหร่ก็ได้ แต่คนต่างชาติ อาจมาสนามเพียง “ครั้งเดียว” ในชีวิต เมื่อเดินทางมาดู สิ่งละอันพันละน้อย อะไรก็ตาม ที่จะ recall เขาถึงประสบการณ์การมานี้ได้ เขาก็ซื้อ
ลึกไปกว่านั้น สมมติว่าผ้าพันคอเกมเล็ก แมนยูเจอนอริช ทำออกมา 300 ผืน ถ้านอริชกลับพลิกเสมอแมนยูที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด ได้ ผ้าพันคออาจเจ๊งเลยขายไม่ออก แต่ถ้าแดงเดือด ทำออกมา 500 ผืน ไม่ว่าผลจะจบลงอย่างไร แฟน ๆ สีแดงก็อยากเก็บไว้เป็นที่ระลึกว่า ครั้งหนึ่งเคยมาดู
เทรนด์ล่าสุด ที่เพิ่งเกิดขึ้นก็คือ แม้ว่าสินค้าจะเป็นผ้าพันคอฟุตบอล แต่แฟนบอลไม่ได้ซื้อมาเพื่อพันคอ เพราะซื้อมาเก็บ ซื้อมาอัดกรอบ ประกาศเกียรติคุณ ใส่เฟรม กลายเป็นของประดับบ้าน หรือถ้าจะจำแนกแยกแยะลงไปอีก การเก็บผ้าพันคอครบทุกเวอร์ชั่น ก็กลายเป็นกิจกรรมของแฟนบอลกลุ่มหนึ่งไปแล้ว
ในอนาคตอันใกล้นี้ ผ้าพันคอน่าจะเดินทางไปถึงขั้นเป็น Touting scarf ที่มาแทน เสื้อยืดล้อด่าหน้าสนาม โดยไม่ว่าจะชื่นชม ด่าทอ กันรุนแรงเพียงใด
ผ้าพันคอทุกผืนเดินทางมาจากแท่นผลิตเดียวกัน…
นั่นคือโรงงานที่เลสเตอร์และนอตติงแฮม !