ความเป็นไปได้อีกครั้งของ
European Super League?

ในปีนี้ผมเขียนถึงประเด็นของลีกฟุตบอลในทวีปยุโรปที่นับวันจะมีความเป็นพาณิชย์มากขึ้นเรื่อยๆ มาก็หลายครั้งแล้ว แต่ยิ่งเวลาผ่านไป ก็ยิ่งมีประเด็นใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ส่อให้เห็นว่า โครงสร้างของการแข่งขันฟุตบอลลีกแบบเดิมๆ ในทวีปยุโรปนี้กำลังถูกรุกรานและคุกคามจากอำนาจของเงินตราและผลประโยชน์จำนวนหลายแสนล้านบาทที่มองไปตอนนี้ยังไงผมก็ยังเห็นกรรมวิธีการแบ่งเค้กในเรื่องของรายได้ระหว่างสโมสรในลีกยอดนิยม กับสโมสรในลีกที่ถดถอย หรือระหว่างสโมสรยักษ์ใหญ่ กับสโมสรเล็กๆ ยังไงๆ ก็คงหาจุดลงตัวได้ยาก

ถ้าผู้อ่านที่ติดตามคอลัมน์ผมมาตลอดจะพอจำได้ว่าผมเคยเขียนถึงบรรดาสโมสรยักษ์ใหญ่ในลีกของยุโรปที่ถูกนายทุนและเจ้าของเงินทั้งจากสหรัฐอเมริกาเข้าไปซื้อกิจการจากเจ้าของเก่าหรือเข้าไปถือหุ้นเป็นพาร์ตเนอร์รายใหญ่สุดของสโมสรอันเนื่องมาจากโอกาสในการทำรายได้มหาศาลจากลิขสิทธิ์ค่าถ่ายทอดสดที่เราพูดกันที่ตัวเลขหลักแสนล้านบาทกันแล้วสำหรับ EPL ไม่ว่าจะเป็นสโมสร Arsenal, Aston Villa, Bournemouth, Liverpool, Manchester United, Sunderland และ Crystal Palace หรือจะเป็นกรณีของนายหวัง เจียนหลิน คนที่รวยที่สุดในจีน เจ้าของกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ Wanda Group ที่เข้าถือหุ้นใหญ่สโมสร Athletico Madrid กว่า 20% ของ และลุกลามไปถึงการเซ็นสัญญาเป็นสปอนเซอร์หลักรายใหม่ของ FIFA โดยหวังผลเพื่อให้ FIFA มอบหมายให้จีนเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกในอนาคตอันใกล้นี้

ณ ตอนนี้มีเพียงแค่สองลีกอย่าง EPL และ Bundesliga เท่านั้นที่อุ่นใจกับค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดที่เป็นจำนวนมหาศาลที่เพิ่งเซ็นสัญญากันไป ส่วนลีกอย่าง ลา ลีกา หรือ Series A และ ลีก เอิง ก็ยังไม่สามารถสามารถขึ้นค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดที่เป็นกอบเป็นกำแบบนั้นได้ ประกอบกับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จากค่าตัวและค่าเหนื่อยของนักฟุตบอลที่ต้องดึงเอาไว้กับทีม ยอดคนดูเฉลี่ยในสนามต่อเกมสำหรับลีกเหล่านี้ที่นับวันก็จะลดลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะ Series A ที่สนามหลายไม่สามารถดึงคนเข้าสนามได้ถึงครึ่งความจุด้วยซ้ำ (ยกตัวอย่างสถิติคนดูในบ้านของทีมยักษ์ใหญ่อย่าง AC Milan ในฤดูกาล 2014-2015 สามารถทำเงินได้แค่ 22 ล้านยูโรเท่านั้น เทียบเท่ากับสโมสรระดับกลางๆ ใน EPL อย่าง Everton แค่นั้นเอง)

ตัวเลขที่น่าตกใจของ Series A เค้าบอกไว้ว่าด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับรายได้ที่ลดลง ส่งผลให้จากเดิมที่ทีมใน Series A มีผลประกอบการเป็นบวกกลับกลายเป็นขาดทุนรวมกันกว่า 133 ล้านยูโรในเวลาแค่สิบปีที่ผ่านมา โดยมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายสูงสุดคือค่าเหนื่อยของนักฟุตบอลถึงกว่า 72% และจากผลสำรวจของ Deloitte เค้าบอกว่าแม้กระทั่งทีมที่รวยที่สุดอย่าง Juventus เงินรายได้จากค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดฟุตบอลลีกก็แทบจะไม่ช่วยอะไรกับสถานะการเงินของทีมเท่าไหร่เพราะยังน้อยมากเมื่อเทียบกับทีมใน EPL

ในขณะที่ทีมแชมป์ UEFA Champion’s League ล่าสุดอย่าง รีล มาดริด แม้จะเป็นหนึ่งในสโมสรที่ร่ำรวยมากที่สุดในโลกก็ยังต้องการผ่านเข้ารอบเพื่อร่วมแข่งใน UCL แต่ละปีอันจะนำมาซึ่งรายได้เพิ่มเติมอีกมหาศาลจากส่วนแบ่งการถ่ายทอดสด

ดูเหมือนว่า มูลค่าของเกมฟุตบอลจะสูงเกินกว่าที่โครงสร้างของลีกในประเทศจะรองรับได้ในเชิงการสร้างรายได้ให้ต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ประกอบกับในเมื่ออำนาจของเงินตราจากนอกทวีปมันมากมายขนาดนี้จึงไม่แปลกที่เราเริ่มจะเห็นแนวคิดใหม่ๆ ที่เจ้าของเงิน และบรรดาสโมสรและเอเจนต์ต่างๆ ที่เห็นความสำคัญของการเพิ่มรายได้เพื่อเอาตัวรอดในยุคสมัยนี้

ถ้ายังจำกันได้ เราเคยได้ยินไอเดียของบรรดาทีมสโมสรยักษ์ใหญ่ในยุโรปพูดถึงการแยกตัวออกจากลีกที่จัดโดย UEFA ด้วยการเปิดซุปเปอร์ลีกของทีมในระดับเดียวกัน เพื่อหาโอกาสสร้างรายได้เพิ่มเติม โดยเป็นการจัดให้ทีมใหญ่ๆ ได้มีโอกาสเล่นโดยไม่สนอันดับในลีกของตัวเอง แต่ก็ยังไม่สัมฤทธิ์ผล แต่ล่าสุด Wanda Group เจ้าเดิมได้ริเริ่มเสนอแนวคิดการเอาแนวคิดนี้มาปัดฝุ่นใหม่อีกครั้งด้วยการแอบคุยกับตัวแทนสโมสรและลีกต่างๆ อย่างลาลีกา และ Series A บ้างแล้วถึงการระดมสโมสรยักษ์ใหญ่ 6 ทีมจากยุโรปมาแข่งในทัวร์นาเมนต์พิเศษนี้

ถ้าดูจากโครงสร้างของลีกและรายได้แล้ว ผมเชื่อว่าสโมสรจากประเทศสเปน อิตาลี และฝรั่งเศส น่าจะให้ความสนใจกับแนวคิดนี้เป็นพิเศษเนื่องจากพวกเค้ายังต้องพึ่งพารายได้พิเศษจากการแข่งขันลีกระดับทวีปอย่าง UCL หรือ EUROPA League ที่ทำเงินให้เป็นกอบเป็นกำจากค่าถ่ายทอดสด นอกจากนี้แล้วยังมีโอกาสที่สโมสรอย่าง Man United ที่วันดีคืนดีก็ทำตำแหน่งได้ไม่ดีพอที่จะเข้าเล่นใน UCL เสียอย่างนั้น จะได้มีทัวร์นาเมนต์ระดับใหญ่เพิ่มอีกอันหนึ่งมารองรับค่าใช้จ่ายอันมหาศาลของพวกเขาด้วย
การนำเสนอแนวคิดนี้ของ Wanda Group มาในช่วงเวลาที่น่าสนใจครับ เพราะ ณ ตอนนี้ UEFA องค์กรที่จัดแจงเรื่องนี้กำลังขาดหัวเรือใหญ่ภายหลังจากที่ Michael Platini ลาออกจากตำแหน่งสืบเนื่องมาจากการพัวพันทุจริตทำให้เค้าโดนแบนยาว โดย UEFA จะเลือกตั้งผู้นำคนใหม่ในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ ก็ต้องดูกันว่านโยบายและฐานอำนาจของผู้นำคนใหม่จะแข็งแรงและแกร่งพอที่จะต้านความต้องการของบรรดาสโมสรยักษ์ใหญ่ในยุโรปได้อย่างไรในการกดดันที่จะเปลี่ยนฟอร์แม็ตของ UCL
ยิ่งกว่านั้นแล้ว Wanda Group ก็เพิ่งจ่ายเงินกว่า1 พันล้านเหรียญสหรัฐเพื่อซื้อกิจการบริษัทของสวิสฯ ที่มีชื่อว่า Infront Media ซึ่งเป็นบริษัทที่ดูแลเรื่องผลประโยชน์และลิขสิทธิ์ของรายการกีฬาระดับโลกหลายๆ อัน ซึ่งบริษัทนี้ไม่ใช่เป็นของคนอื่นไกลแต่เป็นคนชื่อว่า Philippe Blatter ญาติสนิทคนหนึ่งของนาย Joseph Blatter อดีตขาใหญ่ผู้อื้อฉาวของ FIFA นั่นเอง นั่นก็หมายความว่า Wanda Group ก็มีแขนขาที่เก๋าพอสมควรในการที่จะจัดแจงเรื่องเงินๆ ทองๆ ให้สร้างมูลค่ามหาศาลให้กับแนวคิดลีกอันใหม่ของตัวเองได้ไม่ยาก

ก็ต้องติดตามกันต่อไปครับ ในสถานการณ์ที่หลายๆ สโมสรยังไม่พอใจกับรายได้ของตัวเอง และต้องการเงินในการบริหารสโมสรให้ประสบความสำเร็จมากขึ้นทุกทีๆ ไม่แน่นะครับคอบอลชาวไทยอาจจะมีทัวร์นาเมนต์ใหม่ให้อดหลับอดนอนติดตามกันเพิ่มอีกอันก็ได้ ใครจะรู้

* บทความนี้ตีพิมพ์ในสยามกีฬาเมื่อเดือนกันยายน 2559 และรวมอยู่ในพ็อคเก็ตบุ๊ค เศรษฐากับกีฬา

CEO OF SANSIRI PLC

Related Articles

The-Beach

The Beach บทเรียนที่สำคัญที่ต้องไม่ซ้ำรอย

อ่านข่าวช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว ก็น่ายินดีที่ประเทศไทยเรามีนโยบายการสนับสนุนส่งเสริมการสร้างภาพยนตร์ต่างประเทศในราชอาณาจักร โดยเป็นโอกาสหนึ่งในการดึงเงินลงทุนและสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนด้านการท่องเที่ยวได้หลายพันล้านบาท อีกทั้งยังเป็นการเปิดโอกาสให้แรงงานในวงการภาพยนตร์ไทยมีโอกาสได้รับการว่าจ้างจากผู้สร้างภาพยนตร์เหล่านี้ไม่มากก็น้อย อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่องนี้ถูกพูดถึงขึ้นมาก็อดนึกไปถึงกรณีของภาพยนตร์เรื่อง The Beach ที่มีการยกกองมาถ่ายทำที่หาดมาหยา บนเกาะพีพีเล จังหวัดกระบี่ เมื่อปี 2541 ไม่ได้ ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว กับสภาพแวดล้อมของหาดมาหยา และผลกระทบที่เกิดกับระบบนิเวศในบริเวณนั้น เป็นบทเรียนสำคัญเรื่องหนึ่งของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ตื้นที่เปราะบาง การขุดขยายหาดให้กว้างขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับบทของภาพยนตร์

ai-Artificial intelligence

AI ปัญญาประดิษฐ์ นวัตกรรมเปลี่ยนโลก

เทคโนโลยีตัวหนึ่งที่ถูกพูดถึงกันมากในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา คือ ตัวปัญญาประดิษฐ์ที่ชื่อว่า ChatGPT (Chat + GPT ตัวย่อของคำว่า “generative pre-trainedtransformer” ซึ่งเป็นโมเดลประมวลผลทางภาษาประเภทหนึ่ง) ที่ถูกปล่อยออกให้คนทั่วไปได้ลองใช้ในโลกออนไลน์ อันนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ผมว่าเราทุกคนต้องทำความเข้าใจให้ดีๆ เพราะผมมองว่าเจ้าปัญญาประดิษฐ์มีโอกาสที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง องค์ประกอบหลายๆ อย่างทางเศรษฐกิจอย่างพลิกฝ่ามือได้เลยทีเดียว มองย้อนกลับไปในอดีต

ทรงอย่างแบด

ปรากฏการณ์ “ทรงอย่างแบด” : ความซับซ้อนของพฤติกรรมผู้บริโภคยุคปัจจุบัน

ปรากฏการณ์ “ทรงอย่างแบด” เป็นเรื่องที่ผมทึ่งกับวิถีสังคมของเด็กรุ่น Gen Millennials และ Alpha ที่ส่งอิทธิพลต่อมาถึงคนรุ่น Boomer และ X Y ได้อย่างน่าสนใจ ถ้าเราไม่ได้คุยกับเด็กรุ่นใหม่ หรือเอาตัวเข้าไปอยู่ในสื่อโซเชียลที่เด็กยุคใหม่คุยกัน ก็คงจะงงกันว่าประโยคนี้คืออะไร แล้วคำขวัญของผู้ว่าฯ มาจากไหน ถือเป็นตัวอย่างของช่องว่างทางความคิด สังคม