ถ้าจะมีอะไรสักอย่าง สะท้อนความเป็น “เสรีนิยม” ของรางวัล “ออสการ์” ได้อย่างเช้าใจง่ายๆ หนังที่ชนะเลิศสำนักนี้ ในช่วง 4 ปีหลังสุด สามารถอธิบายประโยคข้างต้นได้ ไม่มากก็น้อย…
เสรีนิยมมักไม่ปิดกั้นสีผิว เราจึงเห็นการต่อสู้เพื่อเหยื่อผิวสี (ขาวบ้าง ดำบ้าง) ใน Spotlight เห็นการเห็นอกเห็นใจคนนอกผิวดำใน Moonlight เห็นการช่วยเหลือคนต่างด้าวคือเอเลียนใน The Shape of Water และเห็นมิตรภาพอันงดงามระหว่าง “ขาวกับดำ” ใน Green Book ปีล่าสุด
ทว่า แม้หนังที่เกี่ยวกับความแตกต่างทางชนชั้นก็ดี การถูกกดขี่ทางผิวสีก็ดี จะถูก “ปรนเปรอ” สู่รางวี่รางวัล ปีแล้วปีเล่า อย่าง “ทีเล่นทีจริง” แต่นักแสดงสีผิวที่ได้รางวัลออสการ์ กลับมีอยู่แค่ 16.7 % ของออสการ์เกือบ 100 ปีที่ผ่านมา !
แล้วไม่ใช่แค่ผิวดำ เพราะในตัวเลขน้อยนิดนี้ ยังถูกแบ่งด้วย non-white ไปอีกจำนวนหนึ่ง
“ตกลงฮอลลีวู้ด ผิวสีอะไร”
คำถามใหญ่ที่ปรากฎตัวขึ้นมาในสภาพการณ์นี้จึงเป็นคำถามนี้… ผิวสีอะไรไม่รู้ แต่เคยมีการให้ภาพว่า ถ้าออสการ์เป็นคน นิตยสาร Time บอกว่า ออสการ์จะเป็นผู้ชายสูงวัย ราวๆ อายุ 70 ผิวขาว และไม่ชอบดูหนังนอกกระแส การทำนายรูปร่างหน้าตา บุคลิก อายุนี้ อาจจะใช้ไม่ได้ในช่วง 3 ปีหลัง เพราะอย่างที่ทราบว่า ได้มีการโละกรรมการบางส่วน และรับเอาคนรุ่นใหม่ คนผิวสีและผู้หญิง เข้ามาเพิ่มมากขึ้น (ดังจะเห็นว่า จำนวนกรรมการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จาก 5-6 พัน จนใกล้หลักหมื่น ซึ่งในแง่นี้ สถานะที่เป็น committee votes ก็เกือบย้ายเป็น popular votes ในความรู้สึกของผู้เขียน)
การที่คณะกรรมการออสการ์ “ยุคใหม่” ถูกผสมใหม่ให้หลากหลายมากขึ้น (ตามแนวทาง diversity & inclusion) เป็นไปได้ว่าเราก็จะเห็นหนังชนะ มีความหลากหลายมากขึ้น ไม่เหมือนยุค 80-90s ที่ไม่ว่าจะมีหนังชิงอะไรมาน่าเต้นแค่ไหน หนังชนะออสการ์มักเป็นหนังใหญ่เน้นโปรดักชั่น อลังการงานสร้าง ทุบบ็อกซ์-ออฟฟิศ และ “เชิดชูฮีโร่” ในกระแสทุกทีไป
ถามว่า แล้วเราพูดถึงหนังออสการ์ 4 เรื่องหลังทำไม ?
ตอบได้ว่า เพราะหนังที่เอ่ยมานั้น บรรดาเสรีนิยมในออสการ์ต้องการตอบโต้นโยบายทุกอย่างที่ตรงกันข้ามกับโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเฉพาะเรื่องชนชั้น สีผิวและคนต่างด้าว ที่ผู้นำอเมริกันแสดงออกด้วยท่าทีไม่สนับสนุน รูปธรรมนั้นมีหลายเหตุการณ์ในสังคมของเขา
เหตุการณ์ใหญ่ที่สุด: ปรากฏการณ์ BlackLivesMatter
ไม่ต้องเล่าอะไรอีก ตอนนี้ BLM สะเทือนไปทั่วโลก ขนาดการตลาดแบรนด์สินค้าต้องรีบปรับตัว และถอนโฆษณาออกจากแพลทฟอร์มบางพื้นที่ ที่ไม่สกรีนถ้อยคำในการเหยียดสีผิว
แฮชแทค BLM จึงไม่ได้ปรากฏลอยๆ เพื่อเพียงเท่ๆ แต่มันพลิกโฉมให้โลกลุกขึ้นมาทำอะไรร่วมกัน (แน่นอนว่า ไนกี้ ไวกว่าเพื่อน) BLM ไม่ได้ทำให้การตลาดและการวางตัว ต้องมีทีท่าใหม่ แต่ทำให้คนพากย์ผิวขาวผิวดำ ต้องถูกจัดระเบียบในซีรีย์ใหม่ ทำให้นักกอล์ฟอย่าง ลี เวสต์วู้ด ออกมาโจมตีว่า กอล์ฟเป็น White Sport ที่ถูก “ควบคุม” โดยผิวขาว ทุกส่วน (แม้ว่า PGA tour จะโต้เบาว่า ไทเกอร์ วู้ดส์ ผิวดำ)
ทำให้หลายธุรกิจมีนโยบายว่า ควรจะรับเอาพนักงาน non-white เข้ามาทำงานในสัดส่วนเท่าไหร่ ซึ่งในฟุตบอลอังกฤษเอง ก็เพิ่งโจมตีเรื่องนี้ เพราะมีการตั้งกระทู้ว่า ทำไมนักบอลเก่งๆ พอไปเป็นผู้จัดการทีม พวกผิวขาวได้คุมทีมชั้นสูงๆ ขณะที่นักบอลผิวสี ได้ไปเป็นผู้จัดการทีม “บ้านนอกคอกนา” แล้วอยู่ไม่นาน นี่ยังไม่นับว่า ขณะที่สโมสร แฟนบอล ชูนโยบาย diversity แต่พอทีมจะได้ผู้จัดการผิวสีมา แฟนบอลก็ประท้วงซะงั้น!
ถ้าอ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ เราก็พอจะเห็นภาพแล้วว่า อุตสาหกรรมหนัง กีฬาและเพลง ถูก “ควบคุม” ด้วยคนผิวขาวชัดเจน การไม่มีที่ทางในแวดวงฟุตบอลอังกฤษของผิวสี การที่บทบาทตัวละครในหนัง จะถูกอินน้ำตาไหลแค่ไหน แต่พอประกาศผู้แสดง ไปตกอยู่ผิวขาวมานานปี ยืนยันแนวคิด ผิวขาวชนะผิวสี อย่างชัดเจน
เช่นนี้แล้ว BlackLivesMatter ที่กำลัง “โค่น” ทัศนคติอะไรทางสังคมแบบเก่า กระแส BLM จะมีแรงในการ “รื้อถอน” อุตสาหกรรมหนังหรือบันเทิงได้มั้ย ยกตัวอย่างเช่น บุคลิกของประธานาธิบดีอเมริกานั้น ในอดีตมักมีส่วน “สอดรับประสาน” กับนโยบายรัฐบาลนั้นๆ เช่น ยุคสมัยโรนัลด์ เรแกน ก็จะมีการผลิตหนังแนว ฮีโร่แบบอเมริกันออกมามากมาย หรือยุค จอร์จ บุช จูเนียร์ หนังที่เกี่ยวกับการก่อวินาศกรรม หรือจัดการกับผู้ก่อการร้าย ก็มักจะโดดเด่น
แต่ ทรัมป์ นั้นต่างออกไป…
นักแสดงแทบทั้งหมด หรือคนทำงานสายศิลปะ ไม่ชอบขี้หน้าเขา ทรัมป์ กลายเป็นผู้นำที่โดนดาราหลายคนเอาไปด่าบนเวที ในออนไลน์ มากที่สุดอย่างไม่เคยมีใครโดนมากขนาดนี้ แล้วเมื่อเขาแสดงท่าทีแอนตี้ผิวสี คนต่างด้าว เอเลียน (หรืออย่างน้อย อะไรที่เป็นภาพแทนเอเลียน เล่นตัวละครในหนัง The Shape of Water) ก็ดูเหมือนว่าโรงงานฮอลลีวู้ดจะสนุกสนานในการ “ผลิต” และ “สร้าง” ภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับเอเลียนมากขึ้น
ถึงกระนั้น ผมไม่คิดว่า ฮอลลีวู้ดจะลดท่าที power คนขาวในหนัง มาเป็นผู้ถูกกระทำ พวกตำรวจ นักการเมือง นายทุน ยังจะเป็นคนขาวในหนังนี่แหละ เพื่อให้พวกคนผิวสีได้ต่อต้านและเป็นฝ่ายได้รับการเอาใจช่วยต่อไป เหมือนหนังเชิดชูเพศหญิง ที่ตัวละครเพศผู้ จะถูกวางให้เป็นผู้ร้ายอย่างตั้งใจ (ลองไปดู Thelma & Louise)
เขียนมาถึงบรรทัดนี้ เนตฟลิกซ์ประกาศสร้างหนังของ โคลิน เคเพอนิก ต่อจาก ไมเคิล จอร์แดน ที่ประสบความสำเร็จ พรีเมียร์ลีกประกาศสนับสนุนให้นักบอลคุกเข่า สนับสนุนกระแส BLM
งั้นมาดูสิว่า หนึ่งปีจากนี้ไป ฮอลลีวู้ดที่มีพวกเดโมแครตเดินกันเพ่นพ่าน จะมีหนังเชิดชูผิวสี สักกี่เรื่อง เมื่อนายทุนเคาะโปรเจคท์ เป็น “ผิวขาว” เกือบทั้งหมด!