ถ้าเลือกดูภาพยนตร์ได้หนึ่งเรื่องในเดือนนี้ ทุกคนเลือกที่จะดูภาพยนตร์ประเภทไหนกันคะ แฟนตาซี, รอมคอม, ทริลเลอร์ เราอยากแนะนำภาพยนตร์ที่มีตัวละครสุดชิงไหวชิงพริบ แต่ใช้ความฉลาดที่มีไปในทางที่ผิดจนเกิดปัญหาตามมา ใครชอบแนวลุ้นระทึก เอาใจช่วย รับรองว่าตื่นต้นเร้าใจ ลุ้นจนใจแทบหายไปพร้อมตัวละครเหล่านี้ในภาพยนตร์ไปด้วยเลยค่ะ รับรองว่าเข้ากับบรรยากาศสุดร้อนแรงในฤดูร้อนนี้แน่นอน
วันนี้แสนสิริพาทุกคนย้อนเวลาไปกับ 5 ภาพยนตร์ของตัวสุดแยบยลและใช้กลอย่างมีชั้นเชิง! เรียกได้ว่าผียังไม่น่ากลัวเท่าคนที่มีเล่ห์เหลี่ยมหลายมุมขนาดนี้เลยค่ะ แต่ทุกการกระทำย่อมมีเหตุผลใช่ไหมคะ? เราจะพาทุกคนไปดำดิ่งให้ลึกถึงหัวใจของตัวละครเหล่านี้กัน ว่ามีเหตุผลอะไรทำไมต้องทำแบบนี้ เพื่อให้เข้าใจและเพื่ออรรถรสของการรับชมที่เพิ่มขึ้นเมื่อกลับไปดูซ้ำด้วย จะมีตัวละครจากเรื่องไหนบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ!
ถ้าใครกำลังมองหาพื้นที่สำหรับพักผ่อน เป็น Comfort Zone ใช้เวลาฮีลกายและใจ สำหรับดูหนังเรื่องโปรดไปจนหมดวันได้อย่างสุขกายสบายใจ ที่แสนสิริเอง เราก็มีโครงการหลากหลายรูปแบบให้ทุกคนได้เข้ามาลองเอนกาย พักใจในโครงการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคุณได้ครบทุกรูปแบบอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม หรือคอนโดมิเนียม ที่พร้อมรองรับความหลากหลายไลฟ์สไตล์ของคุณได้อย่างพอดี
คลิกได้เลยที่นี่ https://siri.ly/MdFPct2



Catch Me If You Can
ภาพยนตร์มากรางวัล ที่นำแสดงโดยนักแสดงขวัญใจ การันตีรางวัลอย่าง Leonardo DiCaprio และ Tom Hanks เรียกได้ว่าเป็นหนังแห่งยุคที่ต้องเคยผ่านสายตาของใครหลายคนมาบ้างไม่มากก็น้อย มีคะแนนบทวิจารณ์บนเว็บไซต์ Rotten Tomatoes คะเฉลี่ยสูงถึง 96% ซึ่งสร้างมาจากเรื่องจริงที่ยิ่งกว่านิยายของ ‘แฟรงก์ อบาเนล’ อดีตนักต้มตุ๋น ที่ใช้ความฉลาดในระดับอัจฉริยะไปในทางที่ผิด ด้วยการเข้าไปคลุกคลีในวงการอาชีพต่างๆ เช่น นักบินในสายการบินชื่อดังทั้งที่ไม่เคยเรียนการบิน เป็นกุมารแพทย์ในโรงพยาบาลทั้งที่ไม่เคยเรียนด้านการแพทย์ เป็นทนายโดยที่ไม่รู้กฏหมายสักข้อเดียว เป็นอาจารย์สอนหนังสือทั้งที่เป็นนักเรียนอยู่ ทั้งที่ไม่มีความรู้หรือเคยผ่านการศึกษาจากสถาบันที่เกี่ยวข้องกับอาชีพเหล่านี้เลย เพื่อเงินทองและชื่อเสียงในการใช้ชีวิต
เรื่องราวของ ‘แฟรงก์ อบาเนล’ สร้างความเสียหายเป็นเงินรวมมูลค่ากว่า 4 ล้าน เหรียญสหรัฐฯ แฟรงก์เป็นที่ต้องการของ FBI และประเทศต่าง ๆ กว่าสิบประเทศ เรียกได้ว่าสกิลการโกหกของตัวละครนี้มีไหวพริบเป็นเลิศ เก่งกาจในการหลอกคนอื่นอย่างแนบเนียน หลอกได้แม้กระทั่ง FBI ที่มาตามจับกันเลยทีเดียว สิ่งที่ทำให้แฟรงค์เอาตัวรอดได้จนเกือบจบก็คือ ไหวพริบการพลิกแพลงสถานการณ์อย่างไหลลื่นไปได้แบบหน้าตาย ซ้ำมีความคารมเป็นต่อให้ผ่านทุกสถานการณ์การโกหกไปได้อย่างง่ายดาย
“หนู 2 ตัวพลาดตกลงไปในถังที่เต็มไปด้วยครีม หนูตัวแรกท้อและยอมแพ้ ในที่สุดมันก็จมครีมตาย หนูตัวที่สองดิ้นรนสุดชีวิตพยายามตะเกียกตะกาย จนในที่สุดจากครีมกลายเป็นเนยแข็ง ทำให้สามารถปีนออกมาจากถังและเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ ในสถานการณ์นี้ ผมคือหนูตัวที่สอง”
เราจะเห็นได้ว่าหนังนำเสนอเรื่องราวการใช้ชีวิตด้วยการโกหกไปเรื่อยๆ แบบไม่มีที่สิ้นสุดเพื่อการเอาตัวรอดของแฟรงก์ เพราะสิ่งนี้ทำให้สังคมยอมรับเขา ให้เงินทองและชื่อเสียงกับเขา ต่างจากครอบครัวของเขาที่พ่อ-แม่แยกทาง ทำให้เขาโหยหาสิ่งเหล่านี้รวมถึงความรักมาเสมอ หนังเรื่องนี้ให้มุมมองดีๆ ในเรื่องการใช้ความฉลาดในทางที่ผิด แฟรงก์มีสมองที่ปราดเปรื่องมาก ถ้าเอาความฉลาดมาใช้อย่างถูกที่ถูกทาง เขาจะเป็นบุคคลที่มีความเก่งกาจมากที่สุดคนนึงโดยไม่ต้องถูกมองว่าเป็นนักโกหก

Parasite
ภาพยนตร์ที่การันตีความสนุกจากแทบทุกสำนักเลยทีเดียว ทั้งรางวัลลูกโลกทองคำ สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม, รางวัลใหญ่จากเวทีออสการ์ ครั้งที่ 92 และเป็นภาพยนตร์เกาหลีใต้เรื่องแรกที่คว้ารางวัลปาล์มทองคำ แถมยังได้รับการขึ้นชื่อว่าเป็นหนังรางวัลที่เป็นมิตรกับคนดูที่ดูง่ายที่สุด เท่าที่ปาล์มทองคำเคยมอบรางวัลมาอีกด้วย
เล่าความแตกต่างทางชนชั้นและฐานะของคนเกาหลีสองครอบครัว ระหว่างครอบครัวที่จนมากกับครอบครัวที่รวยมาก เริ่มที่ คิมกีวู แอบสวมรอยเป็นติวเตอร์ให้ตระกูลปาร์ค จากนั้นเขาเห็นว่างานนี้สามารถสร้างเงินได้อย่างสบาย เพื่อให้ครอบครัวออกมาจากชีวิตที่เส็งเครง เขาจึงวางแผนการให้น้องสาว คิมคิจอง มาเป็นครูสอนศิลปะให้กับลูกชายบ้านปาร์ค และให้พ่อ คิมกีแท็ก มาเป็นคนขับรถ จากนั้นสองพี่น้องก็วางแผนใส่ร้ายแม่บ้านคนเก่าให้โดนไล่ออก เพื่อให้ คิมชุงซุค ผู้เป็นแม่มาสวมรอยสมัครเป็นแม่บ้านคนใหม่ แต่เรื่องราวไม่ได้มีเพียงแค่นั้นเพราะแม่บ้านคนก่อนได้แอบซ่อนความลับบางอย่างไว้ในชั้นใต้ดิน ที่จะเปลี่ยนชีวิตพวกเขาไปตลอดกาล
“รู้มั้ยว่าแผนแบบไหนไม่เคยล้มเหลว ไม่มีแผนเลยไงล่ะ รู้มั้ยว่าทำไม เพราะชีวิตไม่เคยเป็นไปอย่างที่เราวางแผนเอาไว้ เพราะงั้นไม่มีแผนก็ได้ ถ้าไม่มีแผนก็ไม่ต้องล้มเหลว แล้วถ้าเผลอทำอะไรผิดไปบ้าง อย่างฆ่าคนหรือขายชาติ ก็ไม่เป็นไร”
หนังนำเสนอชีวิตที่มีการดิ้นรนเพื่อมีชีวิตต่อไปในแต่ละวัน แม้ต้องยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองมีคุณภาพชีวิตที่ดี จนไม่สนสิ่งที่ถูกผิด เพราะความเหลื่อมล้ำทางสังคมนั้น ง่ายเหลือเกินที่จะตกต่ำลงมา แต่ว่ายากที่สุดสำหรับการไต่ขึ้นไป สิ่งที่ช่วยให้พวกเขาได้อัพเกรดชีวิตและสัมผัสความสบายบ้าง ก็มีแค่สกิลการโกหกเท่านั้น แถมยังมียีนส์ความฉลาด มีไหวพริบ และวาทะดีเยี่ยมที่ถ่ายทอดกันทั้งบ้าน มาพร้อมกับแผนต้มตุ๋น โป้ปดมดเท็จ ใส่ร้ายป้ายสี กลั่นแกล้งคนบริสุทธิ์ เผยให้เห็นถึงความทะเยอทะยาน ความได้คืบ เอาศอก และก้าวข้าม ‘ล้ำเส้น’ อย่างไม่จบสิ้นที่เริ่มต้นจากการโกหกอย่างเดียวเท่านั้น

Gone Girl
ภาพยนตร์ที่กวาดรางวัลบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม Best Adapted Screenplay หลายเวที แปลงจากนิยายชื่อดังของ กิลเลน ฟลินน์ และกำกับโดย เดวิด ฟินเชอร์ ผู้กำกับฯ มือทอง ที่มีผลงานระดับ Masterpiece มาแล้วหลายเรื่อง เช่น Se7en, Fight Club
หนังเล่าเรื่องราวของคู่รัก ‘นิก’ และ ‘เอมี่’ เกิดเรื่องขึ้นเมื่อเอมี่หายตัวไปในวันครบรอบแต่งงาน 5 ปี โดยไม่รู้สาเหตุว่าเธอถูกฆ่าหรือถูกลักพาตัวไป แต่ด้วยร่องรอยและหลักฐานที่เกิดเหตุล้วนชี้ว่านิกเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง ยิ่งพยายามค้นหาหลักฐานมากแค่ไหน ก็ดูเหมือนจะชี้ตัวว่านิคน่าจะเป็นผู้ลงมือและซุกซ่อนความลับบางอย่างเอาไว้ แต่ความจริงแล้วใครกันแน่ที่เป็นคนโกหก ใครพูดจริง ใครพูดเท็จ อยู่ที่ว่าคุณรู้จักคนรักของคุณดีแค่ไหน
“คุณกำลังคิดอะไรอยู่? คุณกำลังรู้สึกอะไรอยู่? และทุกวันนี้คุณปฎิบัติอย่างไรกับผู้อื่น? เราควรทำอะไรกันดี? วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่ ?”
นอกจากเรื่องประเด็นครอบครัว สื่อสาธารณะ และการทำร้ายร่างกายผู้หญิงแล้ว หนังพยายามคุยกับเราว่า “ชีวิตคู่” หรือ “ความรัก” เป็นสิ่งงดงามได้อย่างถึงแก่น เมื่อชีวิตก่อนและหลังแต่งงานนั้นกลายเป็นหน้ามือกับหลังมือได้อย่างง่ายดาย ชีวิตคู่ก่อนแต่งงานของนิคและเอมี่นั้นดูสดใส และเต็มไปด้วยชีวิตชีวา แต่พอหลายปีผ่านไปหลังจากที่ได้แต่งงาน พวกเขาก็ตกเข้าสู่หลุมพรางของชีวิตคู่และหายนะก็เริ่มต้นขึ้นเมื่อมีฝ่ายหนึ่งเริ่ม “โกหก” คู่ชีวิตของตนเอง ทำให้การโกหกเข้ามาเป็นเครื่องมือในการดำเนินชีวิตคู่ จนทำลายทุกอย่างราบเป็นหน้ากองได้อย่างง่ายดาย
นอกจากนี้การแสดงของ โรซามันด์ ไพค์ ที่ทำให้เอมี่กลายเป็นตัวแทนของผู้หญิงและภรรยาที่เคยอ่อนแอ ลุกขึ้นมาประกาศกับโลกนี้ว่าพวกเธอเข้มแข็ง และจะไม่ยอมถูกทำร้ายแต่ฝ่ายเดียวอีกต่อไป เพราะทุกด้านของชีวิตมีมากกว่าหนึ่งด้านเสมอ

The Talented Mr. ripley
ภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายชื่อเดียวกัน และได้นักแสดงที่มีชื่อเสียงมากมายมาร่วมแสดง โดยแต่ละบทก็กินกันไม่ลงอย่างยิ่ง จูด ลอว์ ที่รับบท ดิกกี้ กรีนลีฟ ลูกชายมหาเศรษฐีจอมเพลย์บอย ที่มีชื่อชิงรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมด้วย รวมถึงนักแสดงมากรางวัลอย่างแมตต์ เดมอน และชิงรางวัลลูกโลกทองคำอีก 5 สาขา
หนังเล่าเรื่องราวของ ‘ทอม ริปลี่ย์’ เด็กหนุ่มหน้าตาดี ฉลาดเฉลียว รสนิยมดีเลิศ แต่มีฐานะไม่ค่อยจะดีนัก เขามีความสามารถพิเศษในการต้มตุ๋น, ปลอมลายเซ็น และสวมรอยเป็นใครคนอื่น ริปลี่ย์ได้รับการว่าจ้างจากมหาเศรษฐีคนหนึ่งให้ไปตามตัวลูกชายของเขา ‘ดิกกี้ กรีนลีฟ’ ซึ่งหนีไปกับแฟนสาว แต่เมื่อริปลี่ย์ได้พบดิกกี้เขาก็พยายามตีสนิทเพราะเป็นโอกาสเดียวที่เขาจะได้ใช้ชีวิตอย่างที่ใฝ่ฝัน ด้วยการโกหกมากมาย เช่น บอกว่าเป็นศิษย์เก่าพรินซ์ตัน ทั้งๆ ที่เป็นเพียงพนักงานตั้งคีย์เปียโน แต่ก็เกิดเหตุที่คาดไม่ถึงขึ้นและเปลี่ยนชีวิตของริปลี่ย์ไปตลอดกาล ทำให้เขาต้องยอมทำทุกทางเพื่อจะรักษาสถานะความเป็นดิกกี้เอาไว้ นั่นคือการโกหกทุกคนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด อันเป็นความสามารถพิเศษของเขานั่นเอง
“การแสร้งเป็นคนมีชื่อเสียงสักคนหนึ่ง คงดีกว่าเป็นตัวจริงที่ไม่มีใครรู้จักในสังคม”
หนังทำให้เราเห็นความมุทะลุของตัวละครที่เมื่อทำบางอย่างลงไปแล้วก็ต้องหาทางดิ้นรนให้ตัวเองรอดพ้นด้วยความเก่งกาจในการโกหกสดๆ ร้อนๆ อย่างลื่นไหล แต่สุดท้ายแล้วแม้จะตะเกียกตะกายทำทุกอย่างเพื่อให้มีตัวตน แต่กลับเป็นการวิ่งวนอยู่ที่จุดเดิม เพิ่มเติมความว่างเปล่าด้วยความชอกช้ำ เพราะไม่มีสิ่งใดจะโหดร้ายไปกว่าการติดคุกทางใจที่เราสร้างขึ้นเอง ทุกอย่างล้วนเป็นการทำไปเพื่อต้องการปกปิดตัวเองทั้งสิ้น เพื่อให้การ “โกหก” ตัวตนของเขาสมบูรณ์ตลอดไป

Decision to Leave
ภาพยนตร์ที่คว้ารางวัลมากมายจนล้นมือจากทั้งในและต่างประเทศ เรียกได้ว่าการันตีคุณภาพผลงานแน่นอน กำกับโดย พัคชานอุค หนึ่งในผู้กำกับที่โด่งดังที่สุดของเกาหลี และเป็นหนึ่งในผู้กำกับที่ช่วยยกให้หนังเกาหลีเป็นที่ยอมรับในตลาดโลกมากว่า 20 ปี ที่โดดเด่นด้วยหนังรูปแบบ ‘ฟิล์มนัวร์’ และการถ่ายทอดความกลืนไม่เข้าคายไม่ออกทางศีลธรรมและหน้าที่ ของตำรวจที่ตกหลุมรักหญิงผู้ต้องสงสัย
หนังเล่าเลื่อของ ‘แฮจุน’ ตำรวจที่ไปสืบคดีการตายปริศนาบนหุบเขา แม้ภายนอกอาจดูเหมือนอุบัติเหตุ แต่ภรรยาของผู้ตายอย่าง ‘ซอแร’ กลับมีทีท่าทีผิดปกติ ไม่ได้ดูเศร้า หรือทุกข์ใจใดๆ กับการจากไปของสามี ทำให้แฮจุนฉุกคิดว่าเธออาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น แต่ขณะเดียวกัน ยิ่งเขาพยายามขุดคุ้ยเรื่องเธอมากเท่าไร กลับยิ่งทำให้เขาดำดิ่งสู่ห้วงความรักแบบที่ยากจะถอนตัว ซึ่งมันตีรวนอารมณ์ความรู้สึกและกระทบการสืบสวนของเขา คนหนึ่งโกหกเสมอเพียงเพื่อให้ได้เจอกันนานขึ้นอีกสักนิด ส่วนอีกคนโกหกเพื่อทำตามหัวใจและพิสูจน์ศีลธรรมในใจของตัวเอง
“ขงจื๊อกล่าวว่า คนฉลาดรักน้ำ คนเมตตารักป่า ฉันไม่ใช่คนเมตตาอะไรเลยรักทะเล”
หนังทำให้เราชวนตั้งคำถามกับศีลธรรม ความสัมพันธ์ และความรักที่เกิดขึ้นแบบถูกที่ผิดเวลา แถมชวนให้จุกอกและปวดตับไปกับคดีแสนจะลึกลับซับซ้อน ที่พลิกแล้วพลิกอีก เป็นการ “สืบสวน” เข้าไปภายในจิตใจเพื่อหาแรงกระตุ้นของพฤติกรรมของตัวละคร แต่ทั้งหมดทั้งมวลตั้งอยู่บนความรัก ไม่ว่าจะนักสืบรักผู้ต้องหาหรือนักสืบรักภรรยา แต่ทุกคนล้วนใช้คำโกหกเพื่อท้าทายศีลธรรมและไฟรักในใจ ให้ได้ทำในสิ่งที่ตนเองต้องการทั้งที่รู้ว่าไม่ใช่สิ่งที่สังคมมองว่าถูกต้องก็ตาม ทำให้ช่วงสุดท้ายของ Decision to Leave เป็นการขมวดปมปัญหาจากการโกหกทั้งหมดเป็นตอนจบที่น่าจดจำอย่างยิ่ง


 
           
          