“ทุกคนคิดว่าคนเราจะต้องพยายามสักกี่ครั้ง กว่าที่เราจะทำในสิ่งที่เราใฝ่ฝันให้ประสบความสำเร็จ”
เราเชื่อว่าทุกคนมีความฝันที่แตกต่างกัน สำหรับเรา เรามีความฝันอย่างหนึ่งมาตั้งแต่เด็กคือ อยากจะเดินได้ด้วยตัวเอง และดูแลตัวเองได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งใคร
สำหรับคนอื่นอาจจะมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับเราคนที่ป่วยเป็นโรคสมองพิการมาตั้งแต่กำเนิด หรือ Cerebral Palsy (CP) จึงทำให้การเดินได้มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย บวกกับตอนที่เราเด็กมากๆ แม่พาเราไปหาคุณหมอ เขาบอกว่าเราจะเดินไม่ได้ แต่เราต้องใช้เวลากว่า 6 ปี ใช้ความพยายามมาก กว่าที่เราจะเดินได้ในทุกวันนี้
นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เราเชื่อว่า “ทุกความพยายามของเรามีคุณค่าและอาจพาเราไปถึงความฝันที่ตั้งไว้ได้ และต่อให้ความพยายามจะไม่พาเราไปถึงจุดหมาย แต่เราก็เชื่อเสมอว่า ความพยายามของเราจะไม่มีวันสูญเปล่า เพราะมันจะให้บทเรียนที่แสนล้ำค่ากับเราเสมอ”
เราเชื่อว่าหลายคนมีสิ่งที่อยากพยายามทำให้สำเร็จ เส้นทางของมนุษย์ทุกคนก็ต่างพบเจอกับบททดสอบในชีวิต ที่อาจจะไม่ได้ง่ายดายนะ ต้องผ่านทั้งความล้มเหลว การต่อสู้ ดิ้นรน กว่าที่จะประสบความสำเร็จในสิ่งที่ใจเราปรารถนา เพื่อเติบโตและเป็นคนที่แข็งแกร่งมากขึ้น ตัวของเราเองก็เช่นกัน
เราขอเปรียบเทียบชีวิตของเราเหมือนกับ “ต้นกระบองเพชร” เพราะต้นกระบองเพชร แข็งแรงและทนทาน ต่อให้มันขาดน้ำหรืออยู่ในที่น้ำน้อยมันก็เติบโตได้อย่างสวยงามท่ามกลางทะเลทรายที่ร้อนจัด เหมือนชีวิตเราที่ต้องใช้ความพยายาม ความอดทน ก้าวผ่านข้อจำกัดทางด้านร่างกาย เพื่อที่จะดูแลตัวเองให้ได้และใช้ชีวิตยังมีความสุข
วันที่ 3 ธันวาคม วันคนพิการสากล Mental Life by Chanisara จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับเส้นทางการเดินทางของแบมแบม – ชนิสรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้ชีวิต การเรียน การทำงาน เพื่อเดินทางไปสู่เส้นทางที่ใฝ่ฝัน


“ความพยายาม”
คือ ของขวัญอันล้ำค่าที่สามารถให้บทเรียน
และอาจเปลี่ยนแปลงชีวิตของใครบางคนไปตลอดกาล
ทุกคนว่าการทำอะไรยากที่สุดในชีวิตคะ สำหรับเราคงเป็นการฝึกให้ตัวเองเดินได้และช่วยเหลือตัวเองให้มากที่สุด สำหรับคนอื่นอาจจะมองว่าเป็นเรื่องแสนธรรมดา แต่สำหรับเรา คนคนหนึ่งที่เกิดมาเป็นโรคสมองพิการตั้งแต่กำเนิด หรือ Cerebral Palsy (CP) มันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายนัก
ทุกคนอาจจะสงสัยว่า แล้วโรค CP มันเป็นยังไงนะ เหมือนโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือเปล่า?
ไม่เหมือนนะคะ CP เป็นโรคที่สมองส่วนการควบคุมการเคลื่อนไหวถูกทำลาย ส่งผลให้การทำงานของขา แขน มือ การพูด และการควบคุมกล้ามเนื้อผิดปกติ รวมถึงสายตาด้วย แต่ส่วนที่เราเป็นหนักมากที่สุดคือ ขา สาเหตุก็มาจาก เราคลอดก่อนกำหนดและขาดอากาศหายใจตอนเกิด
ตอนนั้นคุณหมอบอกว่าโรคที่เราเป็นไม่มีวันหายและเราจะเดินไม่ได้ แต่คุณแม่ไม่เชื่อ ไม่ใช่ว่าคุณแม่ไม่ยอมรับนะคะ แต่คุณแม่เชื่อว่า เราจะเดินได้และอยากให้เราช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุด
สิ่งที่คุณแม่ทำคือ ไม่เคยให้เรานั่งรถเข็น เขาเชื่อว่าถ้าเรานั่งแล้วเราจะไม่ยอมเดิน เราต้องทำกายภาพอย่างหนัก ในทุก ๆ วัน มีสมุดตารางเป็นเวลาว่ากี่โมงเราต้องทำอะไรบ้าง เราฝึกอย่างนั้นทุกวัน ด้วยความเป็นเด็กเราไม่เข้าใจหรอกว่า ทำไมต้องทำ ในเมื่อคนอื่นได้ออกไปเล่น ได้ทำอะไรอย่างที่ตัวเองต้องการ เราฝึกเดินมาตลอดระยะเวลา 6 ปี
ทุกๆ ครั้งที่เราท้อ แม่จะถามเราว่า แบมพยายามมากพอแล้วหรือยัง แบมไม่อยากเดินได้หรอ….เราล้มต้องไม่รู้กี่ครั้ง แต่เราต้องลุกขึ้นมาเสมอ เพื่อที่จะเริ่มต้นใหม่ และในวันที่เราเฝ้ารอก็มาถึง วันที่เราเดินได้ด้วยตัวเอง แต่ใช่ค่ะ เมื่อเราเดินได้ มันไม่ใช่ว่าเราต้องพอแค่นั้น แต่เราต้องฝึกเพื่อให้ตัวเองดีขึ้นเรื่อยๆ
หลายปีต่อมาหลังจากนั้น เราจำได้ว่าเราต้องผ่าตัดที่ขา เพื่อที่จะทำให้ตัวเองเดินดีขึ้น ทุกๆครั้งที่เราผ่าตัด จะเป็นช่วงเวลาที่เราปิดเทอม และต้องนอนอยู่บนเตียงตลอดระยะเวลา 3 เดือน เราผ่าตัดทั้งหมด 3 ครั้ง แล้วทุกครั้งที่ผ่าตัด เราจะกลับมาเป็นคนที่เดินไม่ได้ ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ทุกครั้ง เพื่อที่จะทำให้ตัวเองเดินได้
เราจำได้ว่า น่าจะเป็นครั้งที่ 3 ที่เราผ่าตัด แล้วเรายังไม่เอาเฝือกออก แต่เราเดินขึ้นบันได 4 ชั้น เพราะเราต้องไปโรงเรียน แล้วคนที่พาไปส่งอุ้มเราขึ้นไม่ไหว ตึกนั้นไม่มีลิฟต์ ตอนนั้นเราคิดแค่ว่า ถ้าเราเดินขึ้นไปไม่ได้ เราจะเรียนได้ยังไง เดี๋ยวเราจะเรียนไม่ทัน แล้วเราก็เดินขึ้นไปเรียนทุกวันจนกระทั่งถอดเฝือก
เราจึงเชื่อว่าทุกความพยายาม เป็นของขวัญอันล้ำค่า ที่สามารถให้บทเรียนและสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนไปได้ตลอดกาล เพราะทุกความพยายามจะไม่มีวันสูญเปล่า
เพราะเราเชื่อมาตลอดว่า “ความพยายาม” จะให้ของขวัญอันล้ำค่ากับเราเสมอ เพราะต่อให้สิ่งที่เราทำจะประสบความสำเร็จหรือไม่ประสบความสำเร็จ เราจะได้อะไรจากความพยายามนั้นเสมอ เพราะหากเราทำได้เราจะได้ความสำเร็จเป็นรางวัล แต่หากเรา ทำสิ่งนั้นไม่สำเร็จ อย่างน้อยเราจะได้เรียนรู้หรือได้บทเรียนจากสิ่งนั้นนั่นเองค่ะ

ไม่สำคัญว่าคนอื่นจะมองเรายังไง
เพราะ “การลงมือทำ”
คือ กุญแจสำคัญที่ทำให้สำเร็จ
“เธอหวังสูงไปหรือเปล่านะที่จะเรียนที่นั่น” พอได้ยินแบบนั้น เราอึ้งไปแปปนึงเลย คำพูดที่ไม่ได้เป็นพลังบวก แต่เป็นแรงผลักดันให้ลงมือทำ
ย้อนกลับไปตอนที่เรายังเป็นเด็ก เราเรียนหนังสือกลางๆ มาตลอด โรคที่เราเป็นมันทำให้เรามีพัฒนาการช้ากว่าเด็กคนอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ขา แต่เป็นมือด้วย โรคที่เราเป็นทำให้เราเขียนช้า พิมพ์ช้าหรือจับอะไรไม่สะดวก จำได้ว่าเราฝึกเขียนได้สำเร็จตอนอนุบาล 3 การที่เรามีกล้ามเนื้อมือไม่แข็งแรง ส่งผลให้เราทำงานช้า หรือบางทีก็ทำข้อสอบไม่ทัน
สิ่งที่เราแก้ปัญหาให้กับตัวเองคือ บางครั้งเราก็จะยืมเลคเชอร์เพื่อนมาจดที่หลัง แต่พอเราโตมาหน่อยเทคโนโลยีก้าวหน้าขึ้น เราก็ใช้วิธีอัดเสียง แล้วมาฟังหรือมาจดตามทีหลัง เวลาเราสอบเราจะต้องอ่านหนังสือให้แม่นมากๆ เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาทำข้อสอบ และพยายามฝึกเขียนให้ตัวเองเขียนเร็วขึ้นเรื่อยๆ แต่เราก็ยอมรับว่าร่างกายเรามีข้อจำกัด เราบอกตัวเองว่าให้ทำให้ดีที่สุดก็พอ
จนมีวันหนึ่งมีผู้ใหญ่คนหนึ่งมาถามเราว่า อยากเรียนอะไรหรอ ในวันนั้นเราก็บอกว่าอยากเรียน วารสารฯ ธรรมศาสตร์ เขาตอบเรากลับมาว่า เธอหวังสูงไปรึเปล่า ในตอนนั้นเราไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพราะเราก็คิดว่า เราจะทำได้หรือทำไม่ได้มันขึ้นอยู่กับความพยายามของเรา แต่ใช่ค่ะ ในตอนแรก เราสอบไม่ติด แต่เราก็ซิ่วแล้วมาสอบใหม่ จนกระทั่งเราสอบติด เราก็เรียนมาเรื่อยๆ
จนกระทั่งเกิดการระบาดของโควิด – 19 ทุกอย่างจะต้องเปลี่ยนเป็นออนไลน์หมด ซึ่งจะเป็นปัญหาและอุปสรรคตอนที่เราสอบ เพราะว่า ต้องทำในเวลาที่จำกัด ตอนนั้นเราเครียดมากเหมือนกัน เพราะเราพิมพ์ช้า ทำให้เราทำข้อสอบไม่ค่อยทัน เวลาต้องสอบวิชาที่กำหนดเวลา เราจึงใช้ฟังก์ชันช่วยพิมพ์
ในสมัยนั้นเทคโนโลยีไม่ได้เสถียรขนาดทุกวันนี้ แต่ก็ช่วยได้บ้าง ทำให้เกรดของเราอาจจะไม่ได้ดีนะ แต่เรามีความใฝ่ฝันว่าอยากจะได้เกียรตินิยม ด้วยความที่เราเคยได้ยินว่าคนพิการหางานยาก เราคิดเอาเองว่า ถ้าเราเรียนดี และมีทักษะที่จะไปใช้ในการทำงาน จะทำให้เราหางานได้ง่ายขึ้น เพราะเราเชื่อเสมอว่าการศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญ ถือเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นใบเบิกทางในชีวิต
ในตอนนั้นการที่เราจะเรียนจบด้วยเกียรตินิยมอันดับ 2 เท่ากับว่า วิชาที่เหลือในปี 4 ทั้ง 2 เทอมเราต้องได้ A หมดทุกตัว ความคิดเราในตอนนั้นมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะเรียนได้ 4.00 ทั้งสองเทอม ถึงแม้จะเหลือวิชาไม่เยอะ แต่ก็ยากมากสำหรับเรา แต่เราบอกตัวเองว่าก็ทำให้สุดความสามารถของเราก็พอ ได้หรือไม่ได้ก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยเราก็ได้ทำมันอย่างดีที่สุด
แล้วสุดท้าย เราก็ทำได้ คว้าเกียรตินิยมอันดับ 2 มาได้จริงๆ นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เราเชื่อมาตลอดว่า ไม่สำคัญว่าคนอื่นจะมองว่าเราเป็นยังไง เพราะ “การลงมือทำ” คือ กุญแจสำคัญที่ทำให้สำเร็จค่ะ การที่เรามีข้อจำกัด อาจจะทำให้เป็นอุปสรรคในการทำบางสิ่งบางอย่างในชีวิต แต่ความพยายามจะทำให้เราสามารถเดินไปถึงจุดหมายที่เราวาดไว้ และการที่เราเคยล้มเหลว ไม่ได้หมายความว่าวันหนึ่งเราจะทำสิ่งนั้นสำเร็จไม่ได้ค่ะ

“การได้รับโอกาส”
สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตได้
แล้วสิ่งที่เราเคยได้ยินก็เป็นจริงที่เขาบอกกันว่าคนพิการหางานยาก เราต้องบอกว่า คำนี้ไม่เกินจริง
เราสมัครงานตั้งแต่ยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำ ตอนแรกเราคิดว่าถึงเราจะพิการ แต่ถ้าเราทำงานได้ เราก็สมัครงานตำแหน่งที่เขาเปิดรับคนทั่วไปได้เช่นกัน แต่ความจริงมันไม่ใช่แบบนั้น โดยส่วนมากที่เราสมัครงานไป เราจะถูกเรียกสัมภาษณ์นะ แต่พอเขาเห็นว่าเราพิการ เขาก็จะปฏิเสธ ทั้งที่ในบางที่ที่เราสมัครไป ในตอนหลังๆ เราเขียนด้วยนะว่าเราพิการ แต่บางที่เขาไม่ดูด้วยซ้ำ พอเรียกสัมภาษณ์ เขาก็มาบอกว่า น้องพิการหรอเพิ่งเห็น
หรือบางที่เรียกสัมภาษณ์แต่พอรู้ว่าเราพิการ เขาก็จะปฏิเสธเลย เขาบอกเราว่าที่เรียกสัมภาษณ์วันจันทร์ไม่ต้องมาแล้วนะ ถามว่าตอนนั้นเราเสียใจไหม เราไม่ปฏิเสธว่าเราเสียใจมาก แต่ทำอะไรไม่ได้แค่ยอมรับ และหาที่ใหม่ เพราะอย่างที่เราเคยให้สัมภาษณ์ไปว่า ถ้าเขาปฏิเสธเราเพราะเราพิการ เราไม่สามารถแก้ไขความพิการของเราได้ แต่ถ้าเขาปฏิเสธเพราะความสามารถ เรายังสามารถพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นได้
จนกระทั่งแสนสิริมาเจอเรา ในงานๆ หนึ่งของมูลนิธินวัตกรรมทางสังคม แล้วเขาก็โทรศัพท์มาขอสัมภาษณ์ ในตอนนั้นบริษัท เสนอตำแหน่งอื่นให้เรา ด้วยความที่เราอยากทำงานเป็น Content Creator เราจึงบอกว่าเราสามารถทำอะไรได้บ้าง มีทักษะอะไรบ้าง จากนั้นบริษัทก็เรียกเราสัมภาษณ์ แล้วเราก็ได้เข้ามาทำงานในบริษัทแห่งนี้
หากวันนั้นเราท้อ และหยุดที่จะพยายามที่จะพาตัวเองไปหาโอกาส วันนี้เราอาจจะไม่ได้รับโอกาสในการทำงานก็ได้ สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เราเชื่อว่า เราต้องเต็มที่กับทุกโอกาสที่ได้รับ หรือถึงแม้จะยังไม่มีโอกาสเข้ามา เราก็ต้องออกไปหาโอกาสนั้น และเตรียมตัวเองให้พร้อมสำหรับโอกาสที่จะเข้ามาอยู่เสมอ และเรายังเชื่ออีกว่า โอกาสที่ได้รับ อาจจะสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตใครบางคนได้
แสนสิริไม่ใช่แค่องค์กรที่เปิดโอกาสให้เราเข้ามาทำงาน แต่ยังให้เราได้แสดงศักยภาพที่มีอย่างแท้จริง สิ่งนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่า ความเท่าเทียม ไม่ใช่แค่หลักการหรือตัวหนังสือ แต่สามารถเกิดขึ้นได้จริงในสังคม
ทุกคนอาจจะมีเส้นทางชีวิตที่แตกต่างกัน มีบททดสอบที่ต้องพิสูจน์ ต้องฝ่าฟัน และผ่านมันไปให้ได้ เราหวังว่าเรื่องราวของเราจะสร้างแรงบันดาลให้เกิดขึ้นในหัวใจของผู้อ่านทุกคน และขอให้ทุกคนเชื่อว่าไม่ว่าทุกคนจะเจอกับเรื่องอะไรทุกคนจะผ่านมันไปได้อย่างแน่นอนค่ะ

