Because truth is timeless

Because truth is timeless:
เพราะการพูดความจริงแสดงถึงความจริงใจ
และรักษาความสัมพันธ์ให้มั่นคง

การพูดความจริงเป็นการแสดงถึงความซื่อสัตย์ จริงใจ
และเป็นการโอบอุ้มความสัมพันธ์ให้มั่นคง

ทุกคนคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า “ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย” และคงไม่มีอะไรทำลายความจริงได้ใช่ไหมล่ะคะ ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม ต่อให้จะมีใครพยายามบิดเบือนความจริง แต่ความจริงก็ยังคงอยู่ และรอวันที่จะเปิดเผยออกมา 

เราเปรียบความจริงกับท้องฟ้าที่ต้องผ่านพายุฝน ท้องฟ้าอาจจะมืดมน ไม่สดใส และมีเมฆมาปกคลุม แต่เมื่อพายุผ่านไปฝนหยุดตก ท้องฟ้าจะกลับมาสดใสดั้งเดิม และบางครั้งอาจจะมีสายรุ้งที่ปรากฏขึ้นมาให้เห็นถึงความสวยงามด้วย ต่อให้ท้องฟ้าจะมืดมนขนาดไหนก็กลับมาสดใส เหมือนกับที่ไม่มีอะไรมาทำลายความจริงได้ 

หลายคนคงรู้อยู่แล้วว่าการพูดความจริงเป็นรากฐานที่จะทำให้ความสัมพันธ์มั่นคงและยิ่งยืนนาน เป็นสิ่งที่แสดงถึงความซื่อสัตย์และจริงใจที่มีให้กันและกันของเพื่อนมนุษย์ ไม่ว่าจะอยู่ในความสัมพันธ์รูปแบบไหน ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบเพื่อน คนรัก หรือแม้กระทั่งครอบครัวก็ตาม การพูดความจริงไม่ได้แค่สร้างความสัมพันธ์ที่ดีเท่านั้นแต่ยังมีผลต่อสุขภาพจิต ความเชื่อมั่น และทำให้เราหาทางออกของปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ส่งผลให้เราสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ในทุกๆ วันค่ะ นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำไมการพูดความจริงถึงสำคัญต่อพวกเราทุกคน 

หลายคนมักจะไม่พูดความจริงและเลือกที่จะโกหกเพราะคิดว่าการพูดไม่จริงจะทำให้ผู้ฟังรู้สึกสบายใจกว่า จึงเลือกที่จะเงียบเพื่อไม่ให้ทำร้ายจิตใจผู้อื่น โดยที่อาจจะหลงลืมไปว่าการพูดความจริง ถึงแม้ว่ามันจะทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวด แต่ยังไงสักวันความจริงก็ต้องปรากฏขึ้นมาและเราทุกคนต้องยอมรับความจริงค่ะ 

วันนี้ Mental Life by Chanisara จะพาทุกคนมาหาคำตอบกันว่าทำไมการพูดความจริงถึงสำคัญและการพูดความจริงทำไมถึงทำให้ความสัมพันธ์มั่นคงและยืนยาว ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพจิตและความเชื่อมั่นของมนุษย์กันค่ะ 

การพูดความจริงทำให้ความสัมพันธ์มั่นคง

หากถามว่าการพูดความจริงสำคัญกับเรามากแค่ไหนนะ เราคงต้องบอกว่า การพูดความจริงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เพราะการพูดความจริงแสดงถึงความจริงใจที่เรามีกับคนรอบข้าง และเป็นการบ่งบอกตัวตนที่แท้จริงของเรา รวมถึงความซื่อสัตย์เป็นพื้นฐานทำให้ความสัมพันธ์ของมนุษย์มั่นคงอีกด้วย

จากงานวิจัยเรื่อง Honesty’s Effects on Well-Being and Relationship Change พบว่า เมื่อพูดความจริงจะทำให้ความสัมพันธ์มั่นคงมากยิ่งขึ้น และยังทำให้รู้สึกว่าพึงพอใจกับความสัมพันธ์มากขึ้นอีกด้วย โดยทำการวิจัยจากคู่รัก 214 คู่ ให้คู่รักพูดความจริงว่าอยากให้ปรับเปลี่ยนอะไรในตัวซึ่งกันและกัน ซึ่งผลปรากฏว่าเมื่อเขาพูดความจริง แล้วคนพูดรู้สึกว่าตัวเองซื่อสัตย์ พูดความจริง แล้วคนฟังรับรู้ได้ จะทำให้ทั้งคู่รู้สึกดีและอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนที่ดีขึ้นอีกด้วย ทำให้พวกเขามีความสัมพันธ์ที่มั่นคงมากขึ้น และผลการวิจัยยังพบอีกว่า ในระยะยาวคู่รักสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้จริง รวมถึงคนที่รับฟังความคิดเห็นของคู่รักจะมีสุขภาพจิตที่ดีและมีความสุขในระยะยาวอีกด้วยค่ะ สะท้อนให้เห็นว่า การพูดความจริง แสดงถึงความซื่อสัตย์ทำให้ความสัมพันธ์ดีขึ้นและทำให้อีกฝ่ายอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นแทนที่จะปฏิเสธหรือต่อต้านนั่นเองค่ะ 

แต่สำหรับเราการพูดความจริงไม่ได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้กับคู่รักเพียงเท่านั้น แต่ยังสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้กับครอบครัว เพื่อน คนรอบข้างอีกด้วย เพราะถ้าเรามีความซื่อสัตย์ในความสัมพันธ์ พูดความจริง ด้วยความจริงใจ ถึงแม้ว่าบ้างครั้ง ผู้ฟังอาจจะรู้สึกไม่ดี เจ็บปวดกับสิ่งที่ได้ยิน แต่อย่างน้อยการพูดความจริง ก็ทำให้ผู้ฟังรู้สึกถึงความจริงใจ

ทั้งนี้ การที่เราจะพูดความจริง เราอาจจะต้องใช้ศิลปะในการพูด ใช้คำพูดที่นุ่มนวลและให้กระทบคนฟังน้อยที่สุด เพื่อแสดงถึงความจริงใจที่มีให้กับผู้ฟังนั่นเองค่ะ อย่างไรก็ตามการพูดความจริงบางอย่างอาจจะทำลายความสัมพันธ์ได้ เราจึงต้องใส่ใจความรู้สึกของผู้ฟังให้มากที่สุดค่ะ

การพูดความจริงส่งผลต่อสุขภาพจิตและความเชื่อมั่นของเรา

การพูดความจริงส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจได้ทั้งแง่บวกและแง่ลบ แต่การพูดความจริงส่งผลดีต่อสภาพจิตใจในแง่บวกมากกว่า เพราะการพูดความจริงทำให้เกิดความเชื่อมั่นและไว้วางใจส่งผลให้ผู้ที่รับฟังอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นได้ และยังทำให้ลดความเครียดความวิตกกังวล จิตใจสงบเนื่องจากไม่ต้องกลัวว่าใครจะมารู้ความจริงทีหลัง หรือไม่ต้องนั่งจำรายละเอียดในสิ่งที่โกหก หลายคนอาจจะคิดว่าการไม่พูดความจริงจะทำให้คนฟังรู้สึกสบายใจ ไม่เครียด จิตใจสงบ แต่แท้จริงแล้วการไม่พูดความจริงทำให้คนที่ฟังสบายใจขึ้นเพียงแค่ระยะสั้นเท่านั้น 

และบางทีอาจจะส่งผลต่อสุขภาพจิตในแง่ลบมากกว่าเดิมเมื่อผู้ฟังรู้ความจริง ถ้าถามว่าการพูดความจริงสร้างความเชื่อมั่นได้ยังไง? เราว่าการพูดความจริงจะทำให้คนฟังรู้สึกมั่นใจและเชื่อใจในตัวเรามากขึ้น หากเราแสดงให้เขาเห็นว่า เราพูดความจริง แสดงถึงความจริงใจ เมื่อเขาเห็นบ่อยๆ คนที่อยู่รอบข้างเราจะเห็นและเชื่อมั่นในตัวเราเองค่ะ 

รวมถึงการพูดความจริงคือการให้เกียรติในความสัมพันธ์ เมื่อคนที่ฟังสัมผัสได้จะรู้สึกสบายใจจะส่งผลให้เกิดความสัมพันธ์ที่มั่นคงและยั่งยืนนั่นเองค่ะ

การพูดความจริงให้โอบอุ้มหัวใจคนฟัง

คิดให้รอบคอบก่อนจะพูดออกไป

ทุกครั้งที่เราพูดออกไปจะต้องผ่านการคิดอย่างรอบคอบ การไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ว่าสิ่งที่เราพูดไปนั้นไม่ทำร้ายความรู้สึกคนฟัง พูดแบบเอาใจเขามาใส่ใจเรานั่นเองค่ะ

พูดโดยเน้นข้อเท็จจริงไม่ใช่การตัดสิน การพูดความจริงควรพูดถึงข้อเท็จจริง โดยไม่วิพากษ์วิจารณ์เกินขอบเขต รวมถึงต้องไม่พาดพิงถึงบุคคลอื่นค่ะ

ใช้ภาษาที่นุ่มนวล อ่อนโยน สุภาพ

บอกความจริงโดยใช้คำพูดที่นุ่มนวล อ่อนโยน เพื่อที่จะทำให้เขารู้สึกถึงความจริงใจ ความเห็นอกเห็นใจที่เรามอบให้ รวมถึงทำให้เขารู้สึกปลอดภัย ไว้วางใจและรับฟังเราค่ะ

พูดถึงข้อดีของอีกฝ่ายก่อน การพูดถึงข้อดีของอีกฝ่ายก่อน แล้วค่อยพูดความจริงทีหลังโดยใช้คำที่อ่อนโยนและนุ่มนวลค่ะ

เลือกพูดในสถานที่ที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงการคุยกันในที่สาธารณะ หรือสถานที่ที่ผู้อื่นได้ยิน ซึ่งจะทำให้เขาไว้ใจและรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น รวมถึงเลือกที่จะพูดความจริงในช่วงเวลาที่คนฟังไม่รู้สึกเครียดหรือกังวลเพราะอาจจะส่งผลกระทบต่อจิตใจของเขาได้ค่ะ

การพูดความจริง ทำให้ความสัมพันธ์ทุกความสัมพันธ์มั่นคง และเป็นการแสดงถึงความจริงใจ ความซื่อสัตย์และทำให้คนอื่นเชื่อมั่นในตัวเรามากขึ้นนั่นเองค่ะ


Source

https://scispace.com/pdf/is-honesty-the-best-policy-the-distinct-effects-of-honest-3mb35dhplk.pdf 

https://today.line.me/th/v3/article/xMG96j 

https://www.istrong.co/single-post/8-way-reduce-the-words-that-hurt-each-other 

https://www.thaihealth.or.th/ 

https://becommon.co/life/heart-trust-in-a-relationship/

CONTRIBUTOR

Related Articles

half-year-resolution

Half-year resolution : บทเรียนชีวิตที่ได้จากครึ่งปีแรก

เราอาจไม่ได้ประสบความสำเร็จตั้งแต่ครั้งแรกที่ลงมือทำ แต่ถ้าเราพยายามทำต่อไปด้วยหัวใจที่ไม่ยอมแพ้  เราจะเดินถึงเป้าหมายได้ในที่สุด เผลอแป๊ปเดียวพวกเราทุกคนเดินทางผ่านมาครึ่งปีแล้ว ตอนต้นปีมีใครตั้งเป้าหมายอะไรไว้กันบ้างคะ? บางคนอาจเดินถึงเป้าหมาย บางคนกำลังเดินทางไปสู่เป้าหมายที่วาดไว้ แต่เราเชื่อว่า บางคนรู้สึกว่าเป้าหมายที่ตั้งไปในช่วงต้นปีอาจไม่ได้สำเร็จอย่างที่เราคาดหวังไว้หรือเป้าหมายที่เราตั้งไว้อาจเลือนรางเต็มที แต่ไม่เป็นไรเลย เพราะชีวิตคนเราสามารถเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ  ทุกคนรู้ไหมคะการตั้งเป้าหมายใหม่อาจไม่ได้หมายความว่าต้องเริ่มจากศูนย์เสมอไป แต่เราอาจจะนำสิ่งที่เราทำและอาจจะไม่ประสบความสำเร็จ มาทบทวน พัฒนาและปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้เราเดินไปสู่เป้าหมายที่เราวางไว้ เพราะเราเชื่อว่าความสำเร็จอาจจะไม่ได้เกิดจากครั้งแรกที่ลงมือทำ แต่ถ้าหากเราพยายามต่อไปเรื่อยๆ ด้วยหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ เราจะเดินถึงเป้าหมายในที่สุดค่ะ คนเราทุกคนกว่าที่จะประสบความสำเร็จกับสิ่งที่เราตั้งเป้าหมายไว้

 ความจริง VS ความเชื่อเกี่ยวกับน้ำผลไม้ปั่นสมูทตี้ที่คนชอบกินสมูทตี้ต้องรู้ 

ไม่ต้องเลิก กินน้ำปั่น อย่างใครเขา งดเท่าที่เรานั้น จะงดไหว น้ำปั่นเราไม่ต้องหวานเท่าของใคร อย่ากินจนทำลายสุขภาพเท่านั้นพอ  “น้ำผลไม้ปั่น” หรือ ที่ใครหลายคนเรียกว่า “สมูทตี้” เป็นเครื่องดื่มที่หลายคนชอบกินมาตั้งแต่เด็กๆ ด้วยภาพลักษณ์ที่มีสีสันสดใสและเป็นผลไม้ที่ได้มาจากธรรมชาติ ทำให้ถูกมองว่าปลอดภัยและไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย มีคนมากมายชอบกินน้ำปั่นสมูทตี้ เพราะคิดว่า อร่อยและดีต่อสุขภาพด้วย ทำให้เป็นเครื่องดื่มยอดฮิตของกลุ่มวัยรุ่น วัยทำงาน คนรักสุขภาพ

gentleness

เพราะความอ่อนโยนไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่เป็นสิ่งที่ช่วยปลอบประโลมหัวใจของมนุษย์

ความอ่อนโยน คือ สิ่งที่ช่วยโอบกอดและปลอบประโลมหัวใจ ให้กลับมามีจิตใจที่เข้มแข็งอีกครั้ง หากพูดถึง “ความอ่อนโยน” เราเชื่อว่าหลายๆ คนมีความอ่อนโยนซ่อนอยู่ในตัวเองและความอ่อนโยน คือ คุณสมบัติพิเศษที่แสดงถึงความเมตตา ความใจดีและความอ่อนไหวที่อยู่ในตัวของมนุษย์ หลายคนมักซ่อนความอ่อนโยนไว้ในก้นบึ้งที่ลึกที่สุดของหัวใจ  เพราะคิดว่าการแสดงความอ่อนโยนจะทำให้เราเป็นคนที่อ่อนแอ แต่แท้จริงแล้วความอ่อนโยน เป็นสิ่งที่ช่วยโอบกอดและปลอบประโลมหัวใจ ไม่ว่าจะเจอเรื่องเศร้า เรื่องทุกข์ใจขนาดไหน เมื่อเราได้สัมผัสความอ่อนโยนของใครบางคน ความทุกข์ความเศร้าในใจจะเบาบางลง และช่วยให้เรากลับมามีจิตใจที่เข้มแข็งอีกครั้งค่ะ