พอเข้าช่วงใกล้สิ้นปีมากขึ้นเท่าไหร่ ก็เข้าใกล้ช่วงงานประกาศรางวัลประจำปีมากมายหลากหลายวงการมากขึ้นทุกที ไม่ว่าจะเพลง ภาพยนตร์ หรือซีรีส์ ใครที่เป็นสายซีรีส์ฝั่งโลกตะวันตก คงรอลุ้นรางวัลนี้ให้กับซีรีส์เรื่องโปรดกันอยู่หรือเปล่าคะ กับรางวัล Emmy Awards หรือ รางวัลอันทรงเกียรติของวงการโทรทัศน์สหรัฐอเมริกา ซึ่งมอบให้แก่ผลงานที่ยอดเยี่ยมในหลากหลายสาขา ซึ่งเทียบเท่ากับรางวัล Oscars ของทางฝั่งภาพยนตร์ โดยนำเสนอหลายส่วนในอุตสาหกรรมโทรทัศน์ เช่น รายการบันเทิง ข่าว สารคดี และรายการกีฬา ซึ่งหนึ่งในสาขาที่ทุกคนรอคอยผลมากที่สุดนั่นก็คือฝั่งของทีวีซีรีส์ประเภทดราม่ายอดเยี่ยม หรือ Outstanding Drama Series นั่นเองค่ะ
เรียกได้ว่าพอเห็นรายชื่อเข้าชิงแล้ว นับว่าเป็นอีกปีที่ผลงานซีรีส์ฝั่งอเมริกาค่อนข้างโดดเด่นและร้อนแรงอยู่หลายเรื่องที่น่าจะเคยผ่านตาสายซีรีส์กันมาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นซีรีส์สุดฮอตจาก Apple TV+ อย่าง Severance แม้จะมีเพียง 2 ซีซั่น แต่นำเป็นตัวเต็งในการติดโผเข้าชิง โดย Severance สามารถผ่านเข้ารอบและมีชื่อเข้าชิงได้มากที่สุดถึง 27 รางวัล ทำสถิติรองจาก Game of Thrones เท่านั้น ทางด้านซีรีส์เรื่องฮิตแห่งปีอย่าง The White Lotus ยังคงเข้าชิงรางวัลหลักได้มากถึง 23 รางวัล และปีนี้ยังคงเป็นปีทองของ Pedro Pascal ที่กลับมาติดโผพร้อม Bella Ramsey จากซีรีส์ The Last of Us ซีซั่น 2 อีกด้วย
วันนี้แสนสิริรวบรวมเรื่องราวของซีรีส์ดราม่าสุดตึงจากสาขา Outstanding Drama Series ที่ถ่ายทอดผ่านไม่ว่าจะเป็นเรื่องชนชั้น เสียดสีสังคม การเมือง การทำงาน หรือความรักก็ตาม ซ่อนอะไรไว้ในเรื่องราวถึงได้เป็นตัวเต็งแห่งรางวัล Emmy Awards 2025 มาฝากกันค่ะ เรียกได้ว่ามีแง่มุมที่่น่าสนใจและอาจจะเป็นอีกหนึ่งในซีรีส์สุดโปรดในลิสต์ของใครหลายคนเลยก็ได้ค่ะ มีเรื่องไหนที่ลุ้นอยากให้มงลงบ้าง มาคอมเมนต์พูดคุยกันได้นะคะ ถ้าพร้อมแล้ว ไปดูกันเลยค่ะ!
Severance
ซีรีส์แนวไซไฟ – จิตวิทยา จาก Apple TV+ ที่ได้รับคำชมอย่างสูงจากเว็บไซต์รีวิวต่าง ๆ เช่น Rotten Tomatoes และ Forbes เพียงฉายมาซีซั่นแรกก็กวาดคะแนนถึง 98% และอยู่ในอันดับ 5 ของซีรีส์ยอดนิยมบนเว็บไซต์ IIMDb พอปล่อยซีซั่นใหม่มาก็กระแสแรงดีไม่มีตก เป็นอีกซีรีส์คุณภาพที่ไม่อยากให้ทุกคนพลาด
ซีรีส์เล่าเรื่องราวของ ‘มาร์ค’ พนักงานที่ทำการผ่านขั้นตอน severe หรือผ่าตัดแยกตัวตนชีวิตเป็น 2 ตัวตน คือ outie ตัวตนในชีวิตประจำวัน กับ Innie ตัวตนในออฟฟิศที่ไม่มีความทรงจำหรือรับรู้เกี่ยวกับโลกภายนอก โดยทั้งสองตัวตนจะแยกจากกันอย่างสิ้นเชิง เขาเข้าทำงานให้บริษัทกับ Lumon Industries ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่คัดกรองข้อมูล โดยมีเพื่อนร่วมทีม 3 คน ขณะที่โลกในความเป็นจริง เกิดกระแสการต่อต้านแนวคิดของ Lumon Industries แต่แล้ววันหนึ่งเพื่อนร่วมงานบริษัทเดียวกับเขาได้หายตัวไปอย่างเป็นปริศนา มาร์คจึงเริ่มออกตามหาเพื่อน และค้นพบความจริงบางอย่างเกี่ยวกับการผ่าตัดแยกโลก (Severance) รวมถึงความลับดำมืดของบริษัทแห่งนี้
“วิธีที่แน่นอนที่สุดในการฝึกนักโทษคือปล่อยให้เขาเชื่อว่าเขาเป็นอิสระ”
ซีรีส์ทำให้เราเห็นถึงวิถีการทำงานในโลกสมัยใหม่ โลกที่เทคโนโลยีเอื้อให้ผู้คนติดต่อถึงกันได้ไม่ว่าจะที่ไหนหรือเมื่อไหร่ แต่การทำงานแบบนี้ก็ยังรุกล้ำมายังพื้นที่ส่วนตัว จน Work-life Balance นั้นหายไปอย่างสิ้นชิง กลายเป็น Work ไร้ Balance ไปซะแทน ตัวเรื่องชวนเราคิดตั้งคำถามถึงการแยกเรื่องการทำงานกับชีวิตส่วนตัวออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือไม่ หากในที่ทำงานเราไม่ต้องสนใจเรื่องส่วนตัวของใคร และในชีวิตปกติก็ไม่มีการเอ่ยถึงงานที่ทำตามไปด้วย สิ่งนี้ทำให้ชีวิตคน ๆ หนึ่งมีปกติสุขได้ไหม ที่น่าสนใจคือการเล่าของ Severance จะทิ้งน้ำหนักไปฝั่งของพนักงานซะส่วนใหญ่ จึทำให้คนดูอย่างเราเข้าใจหัวอกคนทำงานในห้องสี่เหลี่ยมแบบพนักงานออฟฟิศได้เป็นอย่างดีที่สุด มีความอึดอัด อัดกลั้น และอยากจะสัมผัสชีวิตแบบอื่นและมีอิสระในการตัดสินใจในชีวิตบ้าง ซึ่งก็ชวนเราขบคิดอีกครั้งว่าการทำงานที่แยกชีวิตจริงกับการทำงานนั้นมี Work-life Balance จริงหรือไม่?
ขอบคุณข้อมูลจาก the matter และ the standard
The Last of Us
ซีรีส์ดัดแปลงจากเกมชื่อดังที่ดีที่สุดตลอดกาล ที่ตัวเกมได้พิสูจน์ตัวเองด้วยรางวัลอย่างล้นหลาม ทำให้ซีรีส์ชุดนี้มีคนรอคอยมากที่สุดและถูกคาดหวังให้เป็นซีรีส์ตัวเต็งที่สุดเรื่องหนึ่งของ HBO และไม่ผิดคาดเมื่อปล่อยออกมาก็กลายเป็นซีรีส์ที่ร้อนแรง สามารถโกยคะแนนจากผู้ชมทั่วโลกไปได้อย่างล้นหลาม สามารถทำคะแนนรีวิวเฉลี่ยจากเหล่านักวิจารณ์สูงถึง 96% บนเว็บไซต์ Rotten Tomatoes และคะแนน 9/10 บนเว็บไซต์ IMDb ในปีที่ผ่านมาก็สามารถคว้ารางวัลไปได้ถึง 8 รางวัล จากงาน Creative Arts Emmy Awards ครั้งที่ 75 อีกด้วย
ซีรีส์เล่าเรื่องราวถึง 20 ปีหลังจากอารยธรรมสมัยใหม่ โลกมนุษย์ที่ถูกเชื้อรากลายพันธ์เข้าเล่นงาน เปลี่ยนทุกคนเป็นซอมบี้และมนุษย์กลายเป็นคนที่เห็นแก่ตัวเอาชีวิตตัวเองอย่างเดียว ‘โจล’ นักขนของเถื่อนผู้รอดชีวิตได้รับการว่าจ้างจากกลุ่มกองโจรปฎิวัติเผด็จการทหาร ให้พาตัว ‘เอลลี’ เด็กหญิงอายุ 14 ปี ออกจากเขตกักกัน เพื่อไปทำภารกิจที่อาจเป็นความหวังเดียวจะช่วยโลกใบนี้เอาไว้ได้ แต่ภารกิจนี้กลับเป็นการเดินทางที่โหดร้ายและเผชิญหน้ากับการสูญเสีย เมื่อทั้งคู่ต้องเดินทางข้ามสหรัฐอเมริกา และต้องช่วยเหลือกันเพื่อความอยู่รอด
“I’ll follow you anywhere you go. But there’s no halfway with us. We finish what we started.”
ซีรีส์ทำให้เราเห็นถึงการเดินเรื่องที่ค่อนข้างตรงกับเกมเวอร์ชันต้นฉบับมาก ในการเดินทางที่เรียบง่ายของชายผู้สูญเสีย กับเด็กหญิงที่ขาดพ่อแม่ ที่ต่างมาเติมเต็มกันและกัน และต้องฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ จนเป็นตอนจบที่น่าจดจำ นอกจากนี้ยังมีการถอดความจากตัวเกมมาตีความใหม่ และเพิ่มฉากองค์ประกอบใหม่ลงไปทำให้เราเห็นมิติอื่นของตัวละครที่ถูกเติมเต็มขึ้นมา รวมถึงซีรีส์ยังคอยชวนเราตั้งคำถามต่อสิ่งที่โจลทำหรือหรือเอลลี่ทำในการแก้แค้นในภายหลังนั้นผิดไหม แต่ในทางกลับกันนั้นก็เพื่อปกป้องไม่ให้ความรู้สึกตัวเองแตกสลายจากเรื่องราวในอดีตไปมากกว่านี้ นั่นก็เพราะในโลกที่สถานการณ์เปลี่ยนไปทำให้เราเห็นว่าจิตใจของมนุษย์มีความรู้สึกรัก โลภ โกรธ หลง สวนทางกับความเข้มแข็งในจิตใจอยู่ ทำให้มองเห็นมิติด้านความคิด หรือความรู้สึกที่แสดงออกมาแปรเปลี่ยนไป ชวนขบคิดว่าถ้าเป็นเราเองจะทำแบบที่ตัวละครทำหรือไม่?
ขอบคุณข้อมูลจาก online-station
The White Lotus
ซีรีส์กำกับและเขียนบทโดยไมค์ ไวท์ เรื่องราวแนวคอมเมดี้ เสียดสีสังคมของกลุ่มคนรวยผิวขาวที่เดินทางไปพักผ่อนโรงแรม 5 ดาวชื่อว่า The White Lotus ผ่านการถ่ายทอดความลับและความซับซ้อนในรีสอร์ตหรูตั้งแต่ฮาวาย ซิซิลี มาถึงไทย ด้วยฉากหลังงดงามและบทที่เข้มข้น สะท้อนปัญหาชีวิต และความสัมพันธ์ในมิติต่าง ๆ ได้อย่างเฉียบคม ในฉากหน้าของความหรูหรา เบื้องหลังของทุกโรมแรงนั้นกลับเกิดเรื่องราวขึ้นตลอดสัปดาห์รวมทั้งมีโศกนาฏกรรมปรากฏขึ้น อันเป็นฉากหลังของเรื่องราวสุดดาร์กที่เต็มไปด้วยความลับ การทรยศ และการพังทลายของความสัมพันธ์ที่ไม่ต่างอะไรกับระเบิดเวลา การันตีคุณภาพด้วยการโกยเรตติ้งมหาศาล พร้อมคว้ารางวัลใหญ่ Primetime Emmy Awards และ Golden Globes มาแล้ว
ซีรีส์ซีซันนี้เล่าเรื่องราวชีวิตของแขกและพนักงานในรีสอร์ตหรู ประเทศไทย ที่เข้ามาพักผ่อนเพื่อบำบัดร่างกายและจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นทั้งคู่สามีภรรยาที่มีความแตกต่างกัน กลุ่มเพื่อนสาวรุ่นใหญ่ที่ดูเหมือนจะสนิทกันมานาน แต่กลับซ่อนมิตรภาพจอมปลอมไว้ข้างใน รวมถึงกลุ่มครอบครัวที่มีสมาชิก 5 คน ที่ล้วนมีปัญหาและมีจุดมุ่งหมายเพื่อทำการบางอย่าง รวมถึงเบลินดาจากซีซั่นก่อนหน้านี้ก็กลับมาด้วยเช่นกันด้วย ซีรีส์เล่าผ่านการใช้ชีวิตของแขกบนเกาะริมชายหาดตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่จะเริ่มเผยให้เห็นถึงความขัดแย้ง ความโลภ ความลุ่มหลงราคะ ความทะเยอทะยานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“เราต้องดูแลพวกเขาให้รู้สึกเหมือนเป็นทารกที่ได้รับการคัดเลือกจากโรงแรมอย่างดี”
ซีรีส์ทำให้เห็นถึงความซับซ้อนของมนุษย์ผ่านมุมมองของวัฒนธรรมตะวันออก โดยมีการสำรวจค้นหามุมมองประเด็นเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ และการมองจิตวิญญาณในศาสนาพุทธและประเทศไทยผ่านสายตาตะวันตก ที่มองว่านิสัยคนไทยมีรอยยิ้มสดใส ใจดี เป็นกันเอง แต่ในซีรีส์กลับแฝงไปด้วยความเป็นมาของแต่ละตัวละครที่แตกต่างกันไป มีความสะท้อนวัฒนธรรมความเป็นไทยผ่านเส้นเรื่องไว้ได้อย่างแยบยล นอกจากนี้ยังมีการเสียดสีสังคมคนรวยต่อเนื่อง ที่ต่อให้รวยขนาดไหนก็มีปัญหาความสัมพันธ์เหมือนคนทั่วไป ทั้งมิติคนรัก กลุ่มเพื่อนรัก ครอบครัว หรือปัญหาปวดหัวอีกมากมาย อีกทั้งยังสะท้อนสิ่งที่คนรวยปฏิบัติกับพนักงานผ่านสถานการณ์ที่น่าติดตามและท้าทายความคิด
ขอบคุณข้อมูลจาก คมชัดลึก และ thaipbs
Andor
ซีรีส์จากจักรวาล Star Wars เป็นการขยายความกว้างของเฟรนไซส์จักรวาล Star Wars ที่มากยิ่งขึ้น มาในรูปแบบของซีรีส์แนวจารชน ผ่านการเจาะลึกถึงการกำเนิดของฝ่ายกบฏผ่านตัวละครธรรมดาแทนที่จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ นำเสนอความซับซ้อนและมุมมองที่โตขึ้นกว่า Star Wars เรื่องอื่น ๆ และได้รับการยกย่องในเรื่องบทที่เฉียบคม, การแสดงที่ยอดเยี่ยม, และการภาพที่ละเอียดสมจริง การันตีคุณภาพด้วยการเข้าชิง Primetime Emmy Awards ถึง 8 รางวัล และ Diego Luna นักแสดงนำผู้เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ
ซีรีส์เล่าเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 5 ปีก่อนเหตุในภาพยนตร์เรื่อง ‘Rogue One: A Star Wars Story’ เรื่องราวของฝ่ายกบฏที่ลุกขึ้นมาก่อการต่อต้านฝ่ายอิมพีเรียลผู้กดขี่ทั้งจักรวาลมานานปี ซีรีส์ที่จะพาทุกคนไปรู้จักกับรายละเอียดที่เรายังไม่เคยรู้ พาไปรู้จักกับตัวตนของ ‘แคสเซียน เจอรอน แอนดอร์’ กบฎที่ไม่ยอมจำนนต่อการปฏิวัติของจักรวรรดิ ในการทำภารกิจขโมยอาวุธทำลายล้างของจักรวรรดิ ช่วยเปลี่ยนจากกลุ่มกองโจรกลายเป็นกองทัพที่ต่อสู้กับจักรวรรดิ เพราะไม่สามารถทนกับการกดขี่ของกลุ่มผู้มีอำนาจอีกต่อไป นอกจากนี้ยังพาไปรู้จักกับกลุ่มกองกำลังเล็ก ๆ ที่ท้าทายอำนาจเผด็จการของจักรวรรดิ ร่วมทำสิ่งยิ่งใหญ่ที่สะเทือนไปทั่วทั้งจักรวาล ระหว่างการต่อสู้ด้วยความรุนแรงหรือสันติวิธีพวกเขาจำเป็นต้องเลือก
“Power doesn’t panic”
ซีรีส์ลงลึกให้เห็นถึงการสำรวจระบบราชการและการกดขี่ของจักรวรรดิอย่างเข้มข้น แสดงให้เห็นว่าการต่อสู้เพื่ออิสรภาพนั้นมีความซับซ้อนและต้องอาศัยการเสียสละของใครคนหนึ่งอยู่เสมอ ซีรีส์เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จในการสร้างตัวละครที่มีมิติอย่างมาก ในด้านความความหลากหลายทางเพศ และเชื้อชาติ อีกทั้งด้านจิตใจก็ไม่ได้มีความขาวหรือดำอย่างสุดโต่ง มีความเทาและคาดเดาไม่ได้ ซีรีส์ที่ออกมาจึงนำเสนอภาพพวกเขาในฐานะมนุษย์ธรรมดาอย่างเต็มเปี่ยม ไม่ได้ถูกยัดเยียดว่าเป็นส่วนเกินหรือขัดในบทบาท ทำให้เราได้เห็นมุมมองของคนตัวเล็กในจักรวาลอันกว้างใหญ่ภายใต้การกดขี่ของจักรวรรดิ และทำให้เข้าใจความรู้สึกนึกคิดว่าพวกเขาคิดอะไร รู้สึกยังไง จนนำไปสู่การรวมตัวและร่วมมือกันก่อการใหญ่ ต่อสู้พื่ออิสรภาพที่เป็นความใฝ่ฝันมาแสนนานของฟันเฟืองตัวเล็กแถมยังธรรมดาที่สุดแต่เปลี่ยนจักรวาลได้
ขอบคุณข้อมูลจาก forbes และ the standard
The Diplomat
ซีรีส์การทูตและการเมืองระหว่างประเทศ ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ ในสาขาซีรีส์ดราม่ายอดเยี่ยม นอกจากนี้ยังได้เข้าชิงรางวัล Screen Actors Guild Award และรางวัล Primetime Emmy Awards อีกด้วย กับความสนุกของเรื่องดราม่า – การมือง แบบเข้มข้น ทีไ่ด้ Debora Cahn จากทีมเขียนบทเรื่อง The West Wing และ Homeland ร่วมด้วย ทำให้เราได้เห็นอีกแง่มมุมของชีวิตนักการทูตสาวมากขึ้น ที่อาจจะไม่เคยเห็นในเรื่องไหนมาก่อน ทั้งยังมีการยกระดับความเข้มข้นและความซับซ้อนของเรื่องราวระหว่างประเทศขึ้นทุกตอน ชวนให้ติดตามซีซันต่อไปมากกว่าเดิม
ซีรีส์เล่าเรื่องราวของ ‘เคต ไวเลอร์’ นักการทูตสาวจากสหรัฐอเมริกาที่แผนการไปรับตำแหน่งในอัฟกานิสถานกลับต้องเปลี่ยนไป ถูกย้ายมาประจำกรุงลอนดอนกะทันหัน เมื่อเรือรบอังกฤษโดนโจมตีแบบปริศนา ท่ามกลางวิกฤตระหว่างประเทศที่เกิดขึ้น เคตได้รับหน้าที่ไปคลายวิกฤตนี้ที่อังกฤษ โดยตามหาว่าใครคือคนสั่งการ ประเทศไหนที่ต้องเป็นคนรับผิดชอบเหตุการณ์นี้ ซึ่งทำให้มีผลกระทบทั้งกับชีวิตการแต่งงานและอนาคตทางการเมืองของเธอ ที่ต้องรับมือกับงานใหม่ที่ท้าทายในฐานะเอกอัครราชทูตประจำสหราชอาณาจักร ที่อาจทำให้เธอได้ตำแหน่งรองประธานาธิบดีในอนาคต และปัญหาชีวิตคู่ที่รุมเร้าไม่ต่างกัน
“Every silence in a negotiation speaks louder than words”
ซีรีส์ทำให้เห็นถึงการนำเสนอการทำงานของทูตจริง ผ่านวางกลยุทธ์ในการประนีประนอม นำเสนอหน้าที่การทำงานของทูตอเมริกาที่ยากลำบาก ทั้งการติดต่อเจรจา ยืนยันตรวจสอบข่าว วางแผนการพูดให้นายกอังกฤษไม่ให้กลายเป็นชนวนสงครามโลก ตัวเรื่องจึงนำเสนอการจัดการวิกฤตที่ฉลาด แสดงความเห็นมุมมองที่แตกต่างออกไป ถึงแม้เนื้อเรื่องแบบรวมจะดูเป็นแนวดราม่าการเมืองที่เครียด แต่ความจริงแล้วก็มีมุมที่ไปในทางติดตลก เสียดสี ไม่ได้จริงจังมาก แม้ว่าจะสมมุติเหตุการณ์เป็นเรื่องตึงเครียดระดับโลกก็ตาม เป็นซีรีส์อีกเรื่องที่ช่วยปรับมิติการทำงานและได้มุมมองใหม่ ๆ ของการทำงานด้านการทูตได้ดีอีกเรื่องหนึ่งเลยค่ะ
The Pitt
ซีรีส์การแพทย์เนื้อเรื่องสุดเข้มข้น ที่คว้าถึง 4 รางวัลรวมถึง รางวัลซีรีส์แห่งปี (Program of the Year) จาก Television Critics Association 2025 นอกจากนี้ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Emmy ถึง 13 รางวัล ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลซีรีส์ดราม่ายอดเยี่ยม นักแสดงนำชาย นักแสดงสมทบหญิง ถือเป็นซีรีส์ทางการแพทย์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดอีกเรื่องหนึ่งในช่วงปีที่มาผ่าน
ซีรีส์เล่าเรื่องราวของทีมแพทย์และพยาบาลในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลพิตต์สเบิร์ก โดยมี ‘ดร. ไมเคิล ร็อบบี โรบินาวิทช์’ แพทย์ประจำอาวุโส หัวหน้าทีมแพทย์ประจำห้องฉุกเฉิน เขาและลูกทีมต้องเผชิญกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่ยากแก่การช่วยเหลือ ทั้งคนไข้ตกรางรถไฟแล้วพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ หรือเคสเด็กเผลอกินกัมมี่กัญชา ใช้ยาผิด เผลอกลืนของ แล้วยังต้องรับมือกับสถานการณ์เรื่องส่วนตัวในที่ทำงาน อย่างการต้องดูเด็กใหม่ตลอดจนการเมืองในองค์กรที่อาจขัดแย้งต่อจริยธรรมจรรยาบรรณแพทย์ และความเครียดทางอารมณ์จากการดูแลผู้ป่วยที่มีอาการวิกฤติ ท่ามกลางผู้ป่วยที่มีจำนวนมาก กับงบประมาณที่ไม่เพียงพอกับความต้องการโดยแต่ละตอน ที่สะท้อนถึงปัญหาระบบสาธารณสุขประเทศสหรัฐอเมริกา
“Little empathy goes a long way with those suffering in real pain.”
ซีรีส์เรื่องนี้สะท้อนชีวิตของแพทย์ช่วงหลังเหตุการณ์ COVID – 19 ได้อย่างลึกซึ้ง เนื้อเรื่องไม่เพียงเกี่ยวกับการรักษาเท่านั้น ยังถ่ายทอดชีวิตในห้องฉุกเฉิน ได้อย่างสมจริง รวมถึงความตรึงเครียด ความเหนื่อยล้า แล้วยังฉายภาพเจ้าหน้าที่แพทย์ที่เป็นทั้งหมอและนักบำบัด ได้อย่างเข้าใจและเคารพในความเป็นมนุษย์ของคนไข้ในหลาย ๆ เคส นอกจากนี้ยังมีจุดเด่นที่น่าสนใจคือการซีรีส์แทบไม่ใช้เพลงประกอบ แต่เลือกใช้ ดีไซน์เสียงจริงจากเครื่องมือในโรงพยาบาล, สัญญาณเตือน, เสียงกระซิบ ทำให้ช่วยสร้างบรรยากาศสมจริงและทรงพลังทางอารมณ์ จนถูกขนานนามว่าเป็นซีรีส์แพทย์ที่ดีที่สุดในรอบกว่าสองทศวรรษที่พลาดไม่ได้
ขอบคุณข้อมูลจาก forbes และ LA Times
Paradise
ซีรีส์ระทึกขวัญการเมืองสุดเข้มข้น ออริจินัลซีรีส์ดราม่าสุดฮอตจาก Disney+ Hotstar ที่ได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลาม กวาดคะแนนจากนักวิจารณ์และผู้ชมสูงถึง 82% ใน Rotten Tomatoes และ IMDb อยู่ที่ 8/10 การันตีความร้อนแรงด้วยการเข้าชิงรางวัลมากมายในปีนี้ ทั้งเข้าชิงรางวัล Astra TV Awards สาขานักแสดงสมทบชายและหญิงยอดเยี่ยม, Critics’ Choice Super Awards สาขาตัวร้ายยอดเยี่ยม, Golden Trailer Awards สาขาโฆษณาทีวีที่มีเอกลักษณ์มากที่สุด, Gotham TV Awards สาขาการแสดงยอดเยี่ยม, และ TCA Awards สาขาโปรแกรมใหม่ที่โดดเด่น นอกจากนี้ ยังมี Primetime Emmy Awards อีกด้วย
ซีรีส์เล่าเรื่องราวของ ‘เซเวียร์ คอลลินส์’ หัวหน้าทีมอารักขาประธานาธิบดีซึ่งถูกลอบสังหารอย่างปริศนาในห้องพักส่วนตัวของเขาที่ทำเนียบขาว พร้อมกับกล่องเก็บความลับของชาติที่หายไป ทำให้เซเวียร์ตกเป็นผู้ต้องสงสัยหมายเลขหนึ่ง เขาต้องออกตามหาความจริงเพื่อให้ัตัวเองพ้นความผิดนี้ แต่เมื่อการสืบสวนดำเนินต่อไป ความลับที่เกี่ยวข้องกับการเมือง การคอร์รัปชัน และแผนการลับเกี่ยวกับประเทศที่คาดไม่ถึงก็ค่อย ๆ ถูกเปิดเผย ที่อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คนไปตลอดกาล
“When I Became President, The First Thing I Asked Was About The Secrets.”
ซีรีส์เรื่องนี้เรียกได้ว่าสอดแทรกประเด็นทางสังคมและการเมืองไว้อย่างแยบยลและเข้มข้น ทั้งเรื่องของอำนาจ การควบคุมข้อมูล เสรีภาพของประชาชน การคอร์รัปชัน และเกมการเมืองในโลกปัจจุบัน รวมถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ภัยพิบัติธรรมชาติ การล่มสลายของสังคม และความเหลื่อมล้ำทางอำนาจ ผ่านการเล่าเรื่องทันสมัยคล้ายกับความเป็นจริง นอกจากนี้ยังมีประเด็นศีลธรรมและความถูกต้องแฝงอยู่ด้วย ผ่านภาพผู้มีอำนาจที่ต้องเลือกตัดสินใจในสถานการณ์สุดกดดันเพื่อผลประโยชน์ของตนเองหรือประเทศ สุดท้าย สิ่งที่ทำให้ Paradise แตกต่างจากซีรีส์ดราม่า – ทริลเลอร์อื่น ๆ คือวิธีการเล่าที่คาดเดาไม่ได้ ทุกตอนเต็มไปด้วยปมปริศนา จุดหักมุมที่ชวนให้ลุ้นตามจนจบซีซัน
ขอบคุณข้อมูลจาก true id