วิถีฟุตบอลที่เปลี่ยนไปหลังโควิด-19

ช่วงประมาณ 6-7 ปีที่ผ่านมาต้องยอมรับว่ารายได้ของสโมสรที่มาจากค่าลิขสิทธิ์โทรทัศน์มีมูลค่าสูงมาก แต่ถึงแม้ว่าช่วงที่ผ่านมาค่าลิขสิทธิ์นี้จะขยับขึ้นมาเรื่อยๆ แต่คาดว่าช่วงพีคสุดของเงินที่บริษัทที่ควบคุมเน็ตเวิร์คของสื่อจะยอมจ่ายให้ลีกต่างๆ ในยุโรปได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ตัวแปรสำคัญที่สุดก็คือสภาวะถดถอยของเศรษฐกิจที่เป็นผลมาจากโควิด-19 นั่นเอง

ลีกระดับโลกของยุโรปก็ล้วนแล้วแต่อยู่ในช่วงของขาลงกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นพรีเมียร์ลีกอังกฤษ บุนเดสลีกาของเยอรมัน ก็มีการต่อรองค่าลิขสิทธิ์ดังกล่าวระหว่างทีมบริหารลีกกับบริษัทที่ได้รับสิทธิ์ สำหรับสัญญาตัวปัจจุบันที่ยังบังคับใช้ มีทั้งการปรับลดเงินคืนให้สำหรับช่วง 3 เดือนที่ล็อคดาวน์ส่งผลให้ฟุตบอลไม่มีแข่งหรือมีการยอมผ่อนผันให้จ่ายช้าลง ซึ่งก็ยังดีกว่าตกลงกันไม่ได้แล้วโดนชักดาบค่าสัญญาไปเลย

ตัวเลขหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าฟองสบู่ในเรื่องนี้ได้กำลังแฟบลง (แต่ยังไม่ถึงกับแตกเสียทีเดียว) อย่างชัดเจนเลยคือค่าลิขสิทธิ์กว่า 4.4 พันล้านยูโรของบุนเดสลีกาที่เพิ่งจรดปากกาเซ็นกันไปเมื่อเดือนมิถุนายน (ระยะเวลาสัญญา 4 ปีซึ่งจะมีผลบังคับตั้งแต่ฤดูกาลหน้าเป็นต้นไป) มีมูลค่าลดลงจากสัญญาตัวเดิมถึง 5% เลยทีเดียว ซึ่งต่างจากสัญญาตัวก่อนที่เซ็นตอนฤดูกาล 2017-18 ที่มูลค่าเพิ่มจากของเดิมถึง 85%

อีกตัวอย่างล่าสุดก็คือปัญหาระหว่างเจ้าของลิขสิทธิ์ถ่ายทอดลีก เอิง ของฝรั่งเศสรายปัจจุบันอย่าง Mediapro ที่จะขอเจรจาปรับลดเงินที่ต้องจ่ายตามสัญญาฉบับปัจจุบันเสียดื้อๆ ซะงั้น โดยอ้างว่าการแข่งขันฟุตบอลที่ปราศจากแฟนบอลในสนามและปัญหาต่างๆ ที่เกิดจากโควิด-19 ทำให้ “สินค้า” ตัวนี้มีมูลค่าต่างไปจากเดิม และบริษัทฯ คิดว่าเหมาะสมกับการที่จะปรับลดมูลค่าของสัญญาสิทธิ์ในการถ่ายทอดนี้ลง ส่งผลให้เกิดความปั่นป่วนกับวงการฟุตบอลฝรั่งเศสอย่างมาก

มองไปยาวๆ ผมว่าวิถีของฟุตบอลจะเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเลยทีเดียว ซึ่งถ้ามองในแง่ดีก็จะพอจะมีมุมที่น่าสนใจอย่างเช่นบรรดานักฟุตบอลระดับเทพๆ ที่ค่าตัว ค่าเหนื่อยแพงๆ คงลดความสำคัญลงเพราะสโมสรต้องลดค่าใช้จ่าย ดังนั้นสิ่งที่ผมบอกไปถึงเรื่องของการสร้างมูลค่าของนักเตะท้องถิ่น นักเตะที่สโมสรปั้นเอง น่าจะมีบทบาทและเป็นทางเลือกของสโมสรต่างๆ มากขึ้น ส่งผลให้นักเตะรุ่นใหม่ๆ มีโอกาสลืมตาอ้าปากมากขึ้น

นักเตะเองในเชิงจิตวิทยาก็จะลุ้นตำแหน่งตัวจริงได้มากขึ้น ส่งผลให้มีการทุ่มเทกับการซ้อมเพื่อพัฒนาฝีมือที่ไม่ต้องถูกจับนั่งม้าสำรองเพราะต้องให้นักเตะค่าตัวแพงลงให้คุ้ม ถ้าเป็นแบบนี้ก็จะยิ่งทำให้การพัฒนานักเตะท้องถิ่นมีการยกระดับไปในตัวอัตโนมัติ

สำหรับแฟนบอลผมว่าความสนใจจะหันมาให้การสนับสนุนดาวเด่นท้องถิ่นหรือเด็กปั้นของสโมสรมากขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นทิศทางที่ดีกว่าสำหรับสโมสรต่างๆ รวมทั้งของในไทยเองด้วย ความรู้สึกร่วมในการเชียร์และทุ่มเทให้กับคนที่มาจากชุมชนรอบๆ สโมสรน่าจะมีสูงและเป็นทางเลือกที่ยั่งยืนมากกว่าการลุ้นให้ซุปเปอร์สตาร์ที่เสียเงินซื้อมาเล่นให้ดีสมค่าตัว บรรยากาศการเชียร์ก็จะเป็นเชิงบวกในการให้กำลังใจมากขึ้น ไม่ใช่ชี้หน้าด่าถ้าเล่นไม่สมค่าตัว บรรยากาศในสนามฟุตบอลน่าจะเป็นที่พิศมัยมากขึ้นสำหรับครอบครัวที่มีเด็กและต้องการปลูกฝังให้เด็กรักและเชียร์ทีมต่างๆ

เห็นไหมครับเงินไม่มาก็ไม่ใช่จะแย่ไปเสียทีเดียว นับเป็นโอกาสในวิกฤติสำหรับสโมสรต่างๆ ที่จะปรับตัวเองให้เข้ากับวิถีใหม่ยุคหลังโควิดกันทุกคน

CEO OF SANSIRI PLC

Related Articles

The-Beach

The Beach บทเรียนที่สำคัญที่ต้องไม่ซ้ำรอย

อ่านข่าวช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว ก็น่ายินดีที่ประเทศไทยเรามีนโยบายการสนับสนุนส่งเสริมการสร้างภาพยนตร์ต่างประเทศในราชอาณาจักร โดยเป็นโอกาสหนึ่งในการดึงเงินลงทุนและสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนด้านการท่องเที่ยวได้หลายพันล้านบาท อีกทั้งยังเป็นการเปิดโอกาสให้แรงงานในวงการภาพยนตร์ไทยมีโอกาสได้รับการว่าจ้างจากผู้สร้างภาพยนตร์เหล่านี้ไม่มากก็น้อย อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่องนี้ถูกพูดถึงขึ้นมาก็อดนึกไปถึงกรณีของภาพยนตร์เรื่อง The Beach ที่มีการยกกองมาถ่ายทำที่หาดมาหยา บนเกาะพีพีเล จังหวัดกระบี่ เมื่อปี 2541 ไม่ได้ ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว กับสภาพแวดล้อมของหาดมาหยา และผลกระทบที่เกิดกับระบบนิเวศในบริเวณนั้น เป็นบทเรียนสำคัญเรื่องหนึ่งของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ตื้นที่เปราะบาง การขุดขยายหาดให้กว้างขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับบทของภาพยนตร์

ai-Artificial intelligence

AI ปัญญาประดิษฐ์ นวัตกรรมเปลี่ยนโลก

เทคโนโลยีตัวหนึ่งที่ถูกพูดถึงกันมากในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา คือ ตัวปัญญาประดิษฐ์ที่ชื่อว่า ChatGPT (Chat + GPT ตัวย่อของคำว่า “generative pre-trainedtransformer” ซึ่งเป็นโมเดลประมวลผลทางภาษาประเภทหนึ่ง) ที่ถูกปล่อยออกให้คนทั่วไปได้ลองใช้ในโลกออนไลน์ อันนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ผมว่าเราทุกคนต้องทำความเข้าใจให้ดีๆ เพราะผมมองว่าเจ้าปัญญาประดิษฐ์มีโอกาสที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง องค์ประกอบหลายๆ อย่างทางเศรษฐกิจอย่างพลิกฝ่ามือได้เลยทีเดียว มองย้อนกลับไปในอดีต

ทรงอย่างแบด

ปรากฏการณ์ “ทรงอย่างแบด” : ความซับซ้อนของพฤติกรรมผู้บริโภคยุคปัจจุบัน

ปรากฏการณ์ “ทรงอย่างแบด” เป็นเรื่องที่ผมทึ่งกับวิถีสังคมของเด็กรุ่น Gen Millennials และ Alpha ที่ส่งอิทธิพลต่อมาถึงคนรุ่น Boomer และ X Y ได้อย่างน่าสนใจ ถ้าเราไม่ได้คุยกับเด็กรุ่นใหม่ หรือเอาตัวเข้าไปอยู่ในสื่อโซเชียลที่เด็กยุคใหม่คุยกัน ก็คงจะงงกันว่าประโยคนี้คืออะไร แล้วคำขวัญของผู้ว่าฯ มาจากไหน ถือเป็นตัวอย่างของช่องว่างทางความคิด สังคม