ในยุคที่ “เวลา” กลายเป็นสิ่งมีค่าสำหรับพวกเราทุกคน ยุคที่เราต้องเผชิญมรสุมของโลกดิจิตัลที่ทำให้เราเชื่อมต่อกับโลกรอบๆ ตัวตลอดเวลา อีเมล ข้อความ feed ต่างๆ ที่เราไม่กล้าที่จะละความสนใจเพราะกลัว fear of missing out กลายเป็นภาระทางชีวิตของคนยุคนี้ไปเสียแล้ว เราเคยถามตัวเองกันบ้างไหมครับว่าเวลาที่เราจะสามารถ disconnect นอกจากตอนนอนแล้วมีเวลาไหนอีกบ้าง
สำหรับคนรุ่นผมและเพื่อนๆ เวลาที่เรานัดกันเล่นฟุตบอล ลงสนามซ้อมหรือแข่งกัน เป็นเกือบ 2 ชั่วโมง (ถ้าเล่นไหว) ที่เราได้อยู่กับเกมนั่นแหละครับ เวลาที่มีค่าสุดๆ ที่เราจะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับโลกรอบๆ ตัวเรามากนัก
ไม่ต่างกันครับ เวลาผมเดินผ่านกระจกของยิม มองลอดเข้าไปเห็นคนรุ่นใหม่ๆ แต่งตัวสีสันสดใส แม็ทชิ่งกับรองเท้ากีฬาแนวแฟชั่นที่ผสานกับเทคโนโลยีราคาไม่น้อย ผมเชื่อว่า ยิมและฟิตเนสเหล่านี้แหละครับคือศูนย์กลางชีวิตช่วงเย็นถึงค่ำของคนทำงาน กลุ่มคนที่ชีวิตงานเขยิบเข้ากินเวลาชีวิตส่วนตัวมากขึ้น สิ่งที่เค้ามองหาคือเวลาสัก 1-2 ชั่วโมงเพื่อที่จะปลดปล่อยพลังแบบไม่ต้องเสียเวลามากนักและพร้อมที่จะเดินตัวเบา รู้สึกดีที่ได้ burn ไขมันออกไป
4-5 ปีที่ผ่านมา นับได้ว่าเทรนด์การออกกำลังในรูปแบบใหม่ๆ ได้ขยายตัวเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น ฟิตเนสหรือยิมแบบดั้งเดิมที่เป็น free weight อุปกรณ์ต่างๆ และคลาสโยคะ เริ่มถูกท้าทายด้วยการออกกำลังรูปแบบใหม่ๆ ประเภท hybrid ไม่ว่าจะเป็นคลาส body combat คลาสปั่นจักรยาน หรือการเทรนแบบ high intensity ผสมผสานกับการเคลื่อนไหวแบบตื่นเต้นมากขึ้น การออกกำลังกายในรูปแบบใหม่พวกนี้เป็นสิ่งที่มีสเน่ห์และสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่าง tribe ผู้เล่นในรูปแบบใหม่ๆ
ธุรกิจยิมนี้ได้ขยายตัวเยอะขึ้นในระยะที่ผ่านมา มีทั้งเจ้าเก่าที่อยู่มานานแต่ปรับตัวให้ทันสมัยขึ้น พร้อมกับเจ้าใหม่ที่เป็นเชนจากต่างประเทศสีแดงสดใสทันสมัยถูกใจคนรุ่นใหม่ มาจนล่าสุดเริ่มเห็นยิมประเภทเปิด 24 ชั่วโมงเปิดขึ้นเป็นดอกเห็ด ทำให้ผมเคยสงสัยว่าจะมีคนเล่นจริงหรือ ในมุมความสำเร็จของธุรกิจผมตอบไม่ได้ แต่ในมุมของธุรกิจอสังหาฯ แน่นอนครับเรายินดีที่เห็นพื้นที่ในห้าง ในตึกต่างๆ ถูก take up ด้วยยิมเหล่านี้ ไม่ปล่อยให้พื้นที่ว่างร้างไม่สร้างรายได้ให้กับเจ้าของตึก ดูแล้วมีชีวิตชีวาขึ้นเยอะ
แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้น ความล้ำยุคทางเทคโนโลยีและโลกแห่งการเชื่อมต่อ ก็กำลังจะเข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิตของเรากันอีกครั้ง ยิม หรือ ฟิตเนส ที่เป็นศูนย์กลางชีวิตแห่งหนึ่งของคนเมืองที่เราเรียกกันว่า ยิม นี้ก็กำลังถูกท้าทาย ตัวอย่างที่เห็นว่าเกิดขึ้นแล้วก็คือพวก studio ปั่นจักรยานที่ได้รับความนิยมมากมายในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาครับ
พวกสาวกขาปั่นที่ยอมลงทุนกับชุดเท่ห์ๆ รองเท้า clip-on สวยๆ แล้วไปเบียดเสียดปั่นจักรยานปาดเหงื่อกระเด็นโดนคนอื่นแบบสวยๆ หล่อๆ และให้เทรนเนอร์ตะโกนกระตุ้นพร้อมเสียงเพลงดังสะใจ อีกหน่อยคุณสามารถปั่นจักรยานกับเทรนเนอร์ส่วนตัวออนไลน์ได้แล้วนะครับ มี startup สัญชาติอเมริกัน (ผู้ก่อตั้งเป็นเพื่อนผมสมัยเรียนที่นั่น) ที่ชื่อ Peloton ที่เพิ่งออก IPO ไปเค้ามีโมเด็ลใหม่ที่ขาย/เช่าจักรยานออกกำลังพร้อมกับ membership การเข้าถึง training session บนหน้าจอที่ออกแบบมาสำหรับนักปั่นหลากหลายเทคนิคและประเภท ไม่ต่างอะไรกับเทรนเนอร์ตัวจริงเลย
Startup รายนี้กลายเป็นที่จับตาเพราะสามารถ scale จำนวนสมาชิกได้โดยไม่ต้องเสียค่าเช่าพื้นที่สำหรับสร้าง studio เลยแม้แต่น้อย ว่ากันว่าตอนนี้มีสมาชิกกว่า 400,000 คนแล้วที่ซื้อจักรยาน Peloton ไปไว้ที่บ้าน (ยอดเมื่อสิ้นปีที่แล้ว)
ก็น่าสนใจนะครับว่า hub ที่เป็นศูนย์กลางชีวิตของคนเมืองหลายๆ อย่างกำลังถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อ individual มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วในอนาคตการปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์เราจะเป็นยังไง ความสำคัญที่เราจะให้กับเวลา ที่เราได้ disconnect และพบปะกับมนุษย์ตัวเป็นๆ ด้วยกันจะลดลงไหม ผมว่าในอีก 10 ปีต่อจากนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญเลยทีเดียว ไม่เชื่อลองคอยดูครับ