Love Hug
การโอบกอดคือการส่งต่อความรัก

“การกอด”คือ การส่งต่อความรัก
ชาร์จพลัง ในวันที่เหนื่อยล้า
ห้กลับมามีกำลังใจในการใช้ชีวิต

หลายๆ ครั้งที่เราอาจจะเหนื่อยล้า หมดไฟ หมดกำลังใจในการใช้ชีวิตในแต่ละวันซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของเรา และหากเราสภาพจิตใจไม่ดีอาจจะส่งผลต่อความสัมพันธ์กับคนรอบข้างไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อนหรือคนรัก ฯลฯ

หลายครั้งการได้รับการโอบกอดจากใครสักคน ทำให้กลับมามีกำลังใจในการใช้ชีวิตต่อไป ซึ่งอาจรวมถึงการโอบกอดสัตว์เลี้ยง หรือแม้กระทั่งการโอบกอดตัวเองอีกด้วย

วันนี้ Mental Life by Chanisara อยากชวนทุกคนมาส่งต่อความรักด้วยการโอบกอดตัวเองและผู้อื่นเพื่อชาร์จพลังให้กลับมามีกำลังใจในการใช้ชีวิตอีกครั้งกันค่ะ

Love Hug

เพราะ “กอด” คือการชาร์จพลัง

การกอด คือ การแสดงความรัก โดยใช้ภาษากาย และบางครั้งการกอดอาจเป็นมากกว่าการแสดงความรัก เพราะการกอดเป็นเหมือนการชาร์จพลังเพื่อให้อยากใช้ชีวิตอยู่ต่อไป เมื่อเรารู้สึกหมดกำลังใจ ท้อใจ หมดพลังหรือเศร้าใจ นักจิตวิทยาครอบครัวท่านหนึ่งที่มีชื่อว่า เวอร์จิเนีย ซาติร์ ได้กล่าวไว้ว่า มนุษย์ต้องการการกอด 4 ครั้ง ต่อวัน เพื่อจะมีชีวิตรอด 8 ครั้ง ต่อวัน เพื่อการรักษาสุขภาพจิต 12  ครั้ง ต่อวัน เพื่อการเติบโตของร่างกายและจิตใจ

การโอบกอดกับการหลั่งฮอร์โมนของร่างกาย

การโอบกอดจะทำให้ร่างกายลดการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (cortisol) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้เกิดความเครียด ทำให้เรามีอารมณ์มั่นคงมากขึ้น รวมถึงการกอดจะทำให้สมองส่วนไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) จะหลั่งฮอร์โมนที่มีชื่อว่า ออกซิโทซิน (Oxytocin) จากต่อมใต้สมอง ซึ่งจะทำให้เรารู้สึกอบอุ่น โดยฮอร์โมนนี้มีอีกชื่อหนึ่งที่คนมักจะเรียกว่า ฮอร์โมนแห่งความรัก นั่นเองค่ะ ถ้าเหนื่อยหรือหมดกำลังใจลองไปโอบกอดใครสักคนดูสิคะเผื่อเราจะรู้สึกดีขึ้นค่ะ

กอดท่านี้…มีความหมาย 6 ท่ากอดที่บ่งบอกความรู้สึก

กอดจากด้านหลัง คือ การกอดแบบปกป้อง แสดงถึงความเป็นห่วง ทำให้เรารู้สึกปลอดภัยและอบอุ่น เป็นการสื่อสารว่า เราจะไม่ปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอันตรายนั่นเองค่ะ

กอดระหว่างสบตา คือ การกอดสุดโรแมนติก แสดงถึงความรัก ที่มีต่อกันและกัน

กอดแบบเต้นรำ คือ การกอดแบบคนนึงโอบเอว อีกคนนึงกอดคอไว้ เป็นการกอด แบบเต้นรำช้าๆ แสดงให้เห็นถึงความอ่อนโยน ผูกพัน ละมุนละไม ถือเป็นท่ากอดแบบโรแมนติกอีกท่าหนึ่ง

กอดแบบลูบหลัง คือ การกอดที่จะทำให้อีกฝ่ายมั่นใจและเชื่อใจ เป็นท่าโกรธที่จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกสบายใจเนื่องจากแผ่นหลัง มีประสาทสัมผัสที่ไวนั่นเอง

การสวมกอด คือ การกอดแบบที่ไม่อยากให้อากาศรอดผ่าน เป็นการกอดที่สื่อให้เห็นว่าไม่อยากแยกจากกันไปไหน และยังช่วยให้อบอุ่นใจอีกด้วย

กอดเสน่หา คือ การกอดคนหนึ่งนั่งกางขาคร่อมอีกคนที่ยืนอยู่ตรงกลาง แสดงถึงความรัก ความเสน่หานั่นเองค่ะ

รู้ไหม! การกอดมีประโยชน์ มากกว่าการส่งต่อความรัก 

1. ช่วยทำให้เรารู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย 

2. ช่วยทำให้หัวใจมีสุขภาพดี

3. ช่วยลดความกลัว

4. ช่วยลดความเครียด

5. ช่วยบรรเทาความเจ็บปวด

6. ช่วยกระชับความสัมพันธ์

การกอด เป็นการกระทำที่ไร้คำพูด แต่เป็นพลังให้เราหายเหนื่อย หายท้อใจและมีพลังกลับมาใช้ชีวิตอีกครั้งนะคะ


Source

https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B9%84%E0%B8%A5%E0%B8%9F%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B9%8C/157734 

https://readthecloud.co/hug/ 

https://atime.live/chillonline/howtochill/6760 

https://vt.tiktok.com/ZS2LmA5Rp/ 

Related Articles

Breathwork

รู้ไหม…แค่ปรับลมหายใจให้สมดุลเพื่อสุขภาพจิตที่ดีขึ้น

รู้ไหม…แค่ปรับลมหายใจให้สมดุล เป็นการเปิดประตูสู่การชะลอวัย  สร้างความสงบ ฝึกสติ เพื่อสุขภาพจิตที่ดีขึ้น ในทุกๆ 1 นาทีเราทุกคนหายใจ ประมาณ 12 ถึง 20 ครั้ง ลมหายใจสำคัญกับเราทุกคนใช่ไหมล่ะคะ เพราะถ้าเราไม่หายใจ เราก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้ แล้วทุกคนเคยนั่งสมาธิหรือฝึกลมหายใจเข้า-ออกกันบ้างไหมคะ ทุกคนรู้ไหมว่าการฝึกหายใจไม่ได้ทำให้เราสงบ มีสติหรือมีสมาธิเพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการปรับสมดุลร่างกายและจิตใจเพื่อให้มีสุขภาพจิตและสุขภาพกายที่ดีอีกด้วย 

depression

ซึมเศร้า…หายได้ ด้วยการคอยอยู่เคียงข้าง รับฟัง และโอบกอดหัวใจ

ซึมเศร้า…หายได้ ด้วยการคอยอยู่เคียงข้าง รับฟัง และโอบกอดหัวใจ เพราะนี่ไม่ใช่การคิดไปเอง แต่เป็นโรคที่ต้องได้รับการรักษา  ทำความเข้าใจ ในปี 2025 คงไม่มีใครไม่รู้จักโรคซึมเศร้า เพราะปัจจุบันมีผู้คนทั่วโลกจำนวนมากที่กำลังเผชิญกับการป่วยเป็นโรคซึมเศร้าทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก ระบุว่า มีผู้คนประมาณหนึ่งพันล้านคนทั่วโลกกำลังเผชิญปัญหาสุขภาพจิตและโรคซึมเศร้าเป็นปัญหาสุขภาพจิตอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งปัจจุบันมีผู้คนประมาณ 332 ล้านคนที่กำลังประสบปัญหาโรคซึมเศร้าอยู่ และจำนวนดังกล่าวมีผู้หญิงที่เป็นโรคซึมเศร้ามากกว่าผู้ชายด้วยค่ะ  ในขณะที่ในประเทศไทย

คำพูดที่รุนแรง ทำให้อาจจะเป็นคน Red flags โดยไม่รู้ตัว

คำพูดมีค่ากว่าที่คิด เพราะ “คำพูด”  เป็นประตูที่ก้าวผ่านเข้าไปสู่หัวใจ สามารถสร้างบาดแผลในใจ และปลุกพลังชีวิตให้กลับมาลุกขึ้นสู้  ทุกคนรู้ไหมคะว่าคำพูดที่ทุกคนพูดออกไป มีคุณค่ามากกว่าที่ทุกคนคิด เพราะคำพูดเหมือนเป็นประตูที่ก้าวผ่านเข้าไปสู่หัวใจ คำพูดเป็นสิ่งที่ทรงพลังเพราะมีผลกระทบต่อจิตใจ ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจ และการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา และบางครั้ง คำพูดเพียงแค่ประโยคเดียวอาจจะทำให้คนฟังจำไปตลอดชีวิตเลยก็ได้ค่ะ คำพูดจึงไม่ได้เป็นเพียงเสียงที่เราเปล่งออกไป แต่คำพูดเป็นกระจกสะท้อนความคิด ความเชื่อ ที่อยู่ภายในจิตใจของเราค่ะ มีใครเคยพูดโดยใช้ถ้อยคำรุนแรงออกไป แล้วมาคิดได้ทีหลังว่าเราไม่น่าพูดเช่นนี้ออกไปเลยไหมคะ?