คำพูดที่รุนแรง
ทำให้อาจจะเป็นคน
Red flags โดยไม่รู้ตัว

คำพูดมีค่ากว่าที่คิด
เพราะ “คำพูด”  เป็นประตูที่ก้าวผ่านเข้าไปสู่หัวใจ
สามารถสร้างบาดแผลในใจ
และ
ปลุกพลังชีวิตให้กลับมาลุกขึ้นสู้ 

ทุกคนรู้ไหมคะว่าคำพูดที่ทุกคนพูดออกไป มีคุณค่ามากกว่าที่ทุกคนคิด เพราะคำพูดเหมือนเป็นประตูที่ก้าวผ่านเข้าไปสู่หัวใจ คำพูดเป็นสิ่งที่ทรงพลังเพราะมีผลกระทบต่อจิตใจ ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจ และการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา และบางครั้ง คำพูดเพียงแค่ประโยคเดียวอาจจะทำให้คนฟังจำไปตลอดชีวิตเลยก็ได้ค่ะ

คำพูดจึงไม่ได้เป็นเพียงเสียงที่เราเปล่งออกไป แต่คำพูดเป็นกระจกสะท้อนความคิด ความเชื่อ ที่อยู่ภายในจิตใจของเราค่ะ มีใครเคยพูดโดยใช้ถ้อยคำรุนแรงออกไป แล้วมาคิดได้ทีหลังว่าเราไม่น่าพูดเช่นนี้ออกไปเลยไหมคะ? 

หนึ่งในอาวุธที่ติดตัวทุกคนมาตั้งแต่เกิดคือ “คำพูด” อาวุธนี้สามารถทำร้ายผู้อื่นโดยไม่เห็นบาดแผลภายนอก แต่แอบซ่อนบาดแผลบาดลึกในใจใครบางคนยังไม่น่าเชื่อ ในทางกลับกันอาวุธนี้ก็สามารถทำให้ตัวเองและผู้อื่นมีกำลังใจ มีแรงบันดาลใจ ปลุกพลังในชีวิตให้ใครบางคนกลับมาลุกขึ้นสู้ กลับมาสดใส และมีกำลังใจในการใช้ชีวิตอีกครั้งเช่นกัน  

แล้วทุกคนรู้หรือไม่คะว่า คำพูดที่สร้างบาดแผลหรือสร้างความเจ็บปวดให้กับผู้อื่น ถือเป็นความรุนแรงชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า “Verbal Abuse” ที่หลายคนมองข้ามไป บางทีคำพูดที่เล็กน้อยในความคิดของเรา กลับสร้างบาดแผลในใจคนอื่นโดยไม่รู้ตัว จนกลายเป็นคน “Red flags” หลายคนอาจจะสงสัยว่า คน Red flags เป็นอย่างไรกันนะ? คน Red flags ในทางคำพูด คือ คนที่มีพฤติกรรมทำร้ายจิตใจผู้อื่นโดยที่เรารู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ได้ 

วันนี้ วันที่ 2 ตุลาคม วันไม่ใช้ความรุนแรงสากล Mental Life by Chanisara ชวนทุกคนมาย้อนคิดถึงการใช้คำพูดรุนแรงที่อาจจะทำร้ายคนอื่นโดยไม่รู้ตัวกันค่ะ

คำพูด Red flags ที่ทำร้ายคนอื่นโดยไม่รู้ตัว

หลายครั้งที่เราอาจจะพูดอะไรรุนแรง หรือไม่ระวังคำพูด การใช้คำพูดอาจจะไม่ได้ทำร้ายให้เจ็บปวดทั้งด้านร่างกาย แต่หลายคนอาจหลงลืมไปว่าการใช้คำพูดที่รุนแรง อาจเป็นอาวุธที่ทิ่มแทงหัวใจและความรู้สึกมากกว่าร่างกายเสียอีก 

เราเคยได้ยินว่าการทำร้ายร่างกาย เมื่อได้รับบาดเจ็บอาจจะรักษาเยียวยาให้หายได้ แต่การถูกทำร้ายจิตใจ บางคนอาจจะรู้สึกเจ็บปวดและเป็นแผลเป็นที่เรามองไม่เห็น จนหลายครั้งผู้พูดอาจจะมองข้ามไป แต่ในใจของผู้ถูกกระทำอาจเป็นแผลเป็นที่ไม่มีวันหายไปตลอดชีวิตก็ได้นะคะ

บางคนอาจจะคิดว่า ก็แค่คำพูดแค่นี้เอง จะคิดมากทำไม จิตใจอ่อนแอมากเกินไปหรือเปล่านะ แต่หลายครั้งผู้พูดมักหลงลืมไปว่า จิตใจของคนเรามีความเข้มแข็งไม่เท่ากัน และไม่มีใครควรถูกทำร้ายจิตใจด้วยคำพูดที่รุนแรง ถ้าหากผู้พูดจะพูดเพราะหวังดีกับผู้อื่น อาจจะใช้คำพูดที่นิ่มนวลลงและมีความหมายเหมือนเดิมก็ได้ค่ะ เพราะไม่ว่าผู้พูดจะพูดด้วยเจตนาใดก็ตาม ก็ไม่ควรใช้คำพูด Red flags ทำร้ายคนอื่นโดยไม่รู้ตัวนะคะ

การพูดตรง…แสดงความหวังดี อยากให้คนอื่นพัฒนา ดีจริงรึเปล่านะ

บางครั้ง คำพูดที่หวังดีอาจจะเป็นการทำร้ายจิตใจของคนอื่นโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้ในทุกรูปแบบความสัมพันธ์ตั้งแต่คนในครอบครัว เพื่อน คนรัก หรือแม้กระทั่งคนที่เราจะต้องทำงานด้วย โดยที่คนพูดมีเจตนาที่หวังดี อยากให้เราปรับปรุงหรือพัฒนาเพื่อไปสู่ผลลัพธ์ที่ดี ด้วยการใช้คำพูดที่รุนแรง ทำให้ผู้ฟังเสียความรู้สึก บั่นทอนคุณค่าของคนอื่น จนทำให้เกิดบาดแผลภายในจิตใจ ในบางครั้ง การพูดเพราะความหวังดีแต่ทำร้ายจิตใจของผู้ฟัง อาจไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีเสมอไป ดังนั้นเวลาที่เราจะพูดอะไรออกไป เราควรคิดอย่างรอบคอบ หากเรามีเจตนาดีกับผู้ฟัง เราควรพูดด้วยถ้อยคำที่นิ่มนวลโดยไม่ทำร้ายคนฟังดีกว่า เพราะทุกคำพูดที่เราพูดออกไปนั้น เดินทางไปถึงความรู้สึกและหัวใจของคนฟังค่ะ

คำพูด Red flags ที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจคนฟัง

คำพูดที่รุนแรงส่งผลกระทบต่อจิตใจคนฟังในระยะยาวเป็นอย่างมาก ซึ่งทำให้มีปัญหาด้านสุขภาพจิตและบุคลิกภาพตามมาดังนี้

ขาดความมั่นใจในตัวเอง 

ผู้ที่ถูกกระทำอาจมีความรู้สึกขาดความมั่นใจในตัวเอง และคิดว่าตัวเองไม่ดีพอ 

มีความเครียด ความวิตกกังวลหรือถึงขั้นเป็นโรค PTSD 

การโดนว่าด้วยคำพูดที่รุนแรงทำให้เกิดความเครียด วิตกกังวล รู้สึกว่าตัวเองทำไม่ดีหรือไม่มีค่า หรือมีบาดแผลในใจโดยไม่รู้ตัว บางทีคำพูดเหล่านั้นอาจจะทำให้ใครบางคนเป็นโรคซึมเศร้าไปเลยก็ได้หรือบางคนอาจจะเป็นโรค PTSD (โรคซึมเศร้าหลังเจอเหตุการณ์กระทบจิตใจอย่างรุนแรง) หลังจากโดนว่าด้วยถ้อยคำที่รุนแรง สิ่งเหล่านี้คือภัยเงียบที่หลายคนอาจจะมองข้ามไปซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพใจ ของผู้ถูกกระทำโดยไม่รู้ตัว หากปล่อยทิ้งไว้ อาจจะส่งผลกระทบในด้านอื่นๆ ตามมาก็เป็นได้ค่ะ

เกิดภาวะหมดไฟ (burnout)

ทุกคนรู้ไหมว่าข้อมูลจากเว็บไซต์ eurofound ระบุว่าผู้ที่โดนทำร้ายด้วยคำพูดที่รุนแรงในที่ทำงานอาจจะทำให้รู้สึกหมดไฟได้ถึง 3 เท่า เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้โดนทำร้ายด้วยคำพูดที่รุนแรงในที่ทำงาน ซึ่งส่งผลกระทบให้เกิดการขาดสมาธิในการทำงาน ขาดงานบ่อยครั้ง และทำให้อาจทำงานไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควร และยังพบอีกว่าคนที่ถูกทำร้ายด้วยคำพูดที่รุนแรง ในที่ทำงานอาจทำให้เกิดความวิตกกังวลหรืออาการซึมเศร้ามากกว่าถึง 2 เท่า เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้โดนทำร้ายด้วยคำพูดที่รุนแรงในที่ทำงานค่ะ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า คำพูดมีอิทธิพลต่อสภาพจิตใจและทำให้เกิดอาการหมดไฟในการทำงานได้ค่ะ  

เพราะคำพูดที่ดี เปิดประตูหัวใจ และเปลี่ยนชีวิตคนได้

ทุกคนว่าไหมคะว่าคำพูดที่ดีและนุ่มนวลสามารถเป็นแสงสว่างในชีวิตให้ใครบางคนได้ ในวันที่เขามืดมน เป็นแรงบันดาลใจ เป็นกำลังใจปลุกพลังให้เขากลับมาใช้ชีวิตได้อย่างสดใสอีกครั้ง หรือแม้แต่ทำให้ใครบางคนมีความมั่นใจ มีพลังในการเดินหน้าทำสิ่งต่างๆต่อไปและมีความสุขในการใช้ชีวิตทุกๆ วัน หรือในบางครั้งคำพูดก็อาจจะเยียวยาแผลใจที่เกิดขึ้นในอดีตได้เหมือนกัน

คำพูดจึงเป็นสิ่งที่ทรงพลัง และเป็นอาวุธที่ติดตัวทุกคนมาตั้งแต่เกิด หากเราใช้คำพูดในด้านดี คำพูดนั้นอาจจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนคนหนึ่งไปเลยก็ได้ คำพูดจึงเหมือนเหรียญที่มี 2 ด้าน อยู่ที่ว่าเราจะพลิกด้านไหนขึ้นมาใช้งาน แต่เราควรเลือกด้านที่นำมาใช้แล้วเกิดประโยชน์กับตัวเองและคนอื่นมากที่สุด เราจึงเชื่อว่าคำพูดมีคุณค่าและเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ที่สามารถเปิดประตูหัวใจ และเปลี่ยนแปลงชีวิตใครบางคนได้ค่ะ

4 วิธี พูดแบบนุ่มนวล เพื่อเปิดประตูสู่หัวใจคนฟัง เปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้น 

พูดตามข้อเท็จจริง การพูดหรือสื่อสารตามหลักข้อเท็จจริง ไม่แต่งแต้ม พูดตามความจริง 

สร้างคุณประโยชน์ให้กับผู้ฟัง ผู้ฟังได้รับประโยชน์จากการสื่อสารของเราอย่างแท้จริง

พูดจาด้วยถ้อยคำที่เหมาะสมและถูกกาลเทศะ สิ่งที่พูดออกไปจะต้องพูดในเวลาและสถานที่ที่เหมาะสม ไม่ทำร้ายจิตใจผู้ฟัง จนสร้างบาดแผลในใจ และดูว่าสถานที่นั้นหรือเวลานั้นเป็นเวลาที่ควรจะพูดออกไปหรือไม่ค่ะ

คำพูดและท่าทางต้องบ่งบอกถึงการมีเจตนาที่ดี 

นอกจากจะใช้คำพูดที่นิ่มนวลแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดผู้พูดต้องมีเจตนาเชิงบวกกับผู้ฟังอย่างแท้จริงนั่นเองค่ะ 

คำพูดเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและทรงพลังนะคะ เพราะฉะนั้นเราต้องใช้คำพูดอย่างมีคุณค่าและให้เกิดประโยชน์กับตัวเองและผู้อื่นให้มากที่สุดค่ะ 


Source

https://www.verywellmind.com/ 

https://www.youtube.com/watch?v=hH8dAh2ORaE&t=15s 

https://www.eurofound.europa.eu/en/commentary-and-analysis/all-content/violence-workplace-women-and-frontline-workers-face-higher-risks

https://www.starfishlabz.com/blog/ 

Related Articles

5 เรื่องเกี่ยวกับกลโกง ลวง ให้ รัก ที่ทุกคนควรรู้เท่าทัน

ปัจจุบันการหลอกลวงผ่านโลกออนไลน์มีหลายรูปแบบทำให้คนที่โดนหลอกสูญเสียทรัพย์สินและของมีค่ามากมายมหาศาล หนึ่งในรูปแบบของการหลอกลวงนั้นคือ “Romance Scam” หรือ “การลวงให้รัก” ทุกคนรู้ไหมคะว่า การลวงให้รักนั้นถือเป็นการหลอกลวงรูปแบบหนึ่งผ่านทางโลกออนไลน์ที่สร้างความเสียหายอันดับต้นๆ ของไทยเลยนะ เพราะทุกวันนี้มีคนจำนวนไม่น้อยที่หาเพื่อนคุย หรือหาคนรักผ่านทางโลกออนไลน์ ทำให้มิจฉาชีพใช้จุดนี้เป็นช่องโหว่เพื่อหลอกเงินจากคนที่เป็นโสดและอยากตามหารักแท้  และที่สำคัญไปกว่านั้น การหลอกลวงเหล่านี้ มิจฉาชีพไม่ได้ทำเพียงคนเดียว แต่ทำเป็นขบวนการเฉกเช่นแก๊งคอลเซนเตอร์ การหลอกลวงให้รักไม่ใช่แค่หลอกลวงให้เสียทรัพย์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการหลอกลวงที่เข้าไปเล่นกับความรู้สึกในใจคน ทำให้บางคนเสียความรู้สึก เศร้าใจและเกิดบาดแผลในใจ

Breathwork

รู้ไหม…แค่ปรับลมหายใจให้สมดุลเพื่อสุขภาพจิตที่ดีขึ้น

รู้ไหม…แค่ปรับลมหายใจให้สมดุล เป็นการเปิดประตูสู่การชะลอวัย  สร้างความสงบ ฝึกสติ เพื่อสุขภาพจิตที่ดีขึ้น ในทุกๆ 1 นาทีเราทุกคนหายใจ ประมาณ 12 ถึง 20 ครั้ง ลมหายใจสำคัญกับเราทุกคนใช่ไหมล่ะคะ เพราะถ้าเราไม่หายใจ เราก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้ แล้วทุกคนเคยนั่งสมาธิหรือฝึกลมหายใจเข้า-ออกกันบ้างไหมคะ ทุกคนรู้ไหมว่าการฝึกหายใจไม่ได้ทำให้เราสงบ มีสติหรือมีสมาธิเพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการปรับสมดุลร่างกายและจิตใจเพื่อให้มีสุขภาพจิตและสุขภาพกายที่ดีอีกด้วย 

depression

ซึมเศร้า…หายได้ ด้วยการคอยอยู่เคียงข้าง รับฟัง และโอบกอดหัวใจ

ซึมเศร้า…หายได้ ด้วยการคอยอยู่เคียงข้าง รับฟัง และโอบกอดหัวใจ เพราะนี่ไม่ใช่การคิดไปเอง แต่เป็นโรคที่ต้องได้รับการรักษา  ทำความเข้าใจ ในปี 2025 คงไม่มีใครไม่รู้จักโรคซึมเศร้า เพราะปัจจุบันมีผู้คนทั่วโลกจำนวนมากที่กำลังเผชิญกับการป่วยเป็นโรคซึมเศร้าทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก ระบุว่า มีผู้คนประมาณหนึ่งพันล้านคนทั่วโลกกำลังเผชิญปัญหาสุขภาพจิตและโรคซึมเศร้าเป็นปัญหาสุขภาพจิตอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งปัจจุบันมีผู้คนประมาณ 332 ล้านคนที่กำลังประสบปัญหาโรคซึมเศร้าอยู่ และจำนวนดังกล่าวมีผู้หญิงที่เป็นโรคซึมเศร้ามากกว่าผู้ชายด้วยค่ะ  ในขณะที่ในประเทศไทย