ปกติแล้วช่วงซัมเมอร์ทุกคนจะไปเที่ยวไหนกันบ้างคะ ขอเดาเลยว่าช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาใครหลายคนต้องได้ไปเที่ยวทะเลกันมาบ้างแน่นอน เพราะประเทศไทยเรามีทะเลสวย ๆ อยู่หลายจังหวัดเลยค่ะ ยิ่งทะเลทางใต้ก็เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยว Dream Destination ของชาวต่างชาติเลยค่ะ
แต่ทุกคนรู้ไหมคะว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากอากาศที่ร้อนขึ้นส่งผลให้น้ำทะเลก็ร้อนขึ้นตามไปด้วย สัตว์น้ำต่าง ๆ และปะการังก็ได้รับผมกระทบกันไม่น้อย เพราะทะเลก็เปรียบเหมือนบ้านหลังขนาดใหญ่ของอีกหลายชีวิต
วันนี้แสนสิริ รวบรวมข้อมูลสถานการณ์ทะเลและชายฝั่งของไทย จากทั้งในอดีตและปัจจุบัน รวมถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ทะเลไทยยังต้องเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ผลกระทบที่ตามมาหากเราไม่ร่วมกันอนุรักษ์ทะเลในช่วงที่ยังทำได้ และแนวทางอนุรักษ์ทะเลที่ใครหลายคนอาจจะยังมองข้ามวิธีเหล่านี้ไปมาฝากกันค่ะ แต่บอกเลยว่ายังเป็นสิ่งที่ทะเลและมนุษย์ยังต้องช่วยกันแก้ปัญหาและเผชิญหน้าอยู่ทุกปีค่ะ จะมีอะไรน่าสนใจบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ!
ที่แสนสิริเอง เราสนับสนุนการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เราคอยตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสร้างจุดเปลี่ยนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนอยู่เสมอ เพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืนในองค์กร และทุกโครงการใหม่ของแสนสิริ เพราะสำหรับแสนสิริ “บ้าน” ไม่ใช่แค่เพียงสิ่งปลูกสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่ยังหมายถึงธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ต้องได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดเช่นกันค่ะ
อ่านข้อมูล Sansiri Sustainability เพิ่มเติมที่นี่ คลิก! https://siri.ly/W5rDCX1
จากแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติสู่ยุคทะเลเดือด ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งไทยต้องเผชิญหน้ากับการคุกคามจากปัจจัยไหนบ้าง?
พ.ศ. 2504 ผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุม
ประเทศไทยมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1 ที่กระตุ้นให้เกิดการจับสัตว์น้ำเพิ่มมากขึ้น ทั้งเพื่อเป็นอาหารของมนุษย์ ใช้ผลิตเป็นอาหารของสัตว์ และยังเป็นจุดเริ่มต้น
‘อวนลาก’ เข้ามาใช้ในประเทศไทย ทำให้เกดิการหายไปของปลาขนาดใหญ่ ตัวอย่างเช่น สิ่งที่จับได้มากในอ่าวไทยในปัจจุบันจะพบปลาหมึกและปลากะตักเป็นจำนวนมาก ซึ่งถือเป็นเรื่องความผิดปกติของระบบนิเวศ ที่แสดงให้เห็นว่าปลาขนาดใหญ่ที่คอยกินปลากะตักลดน้อยลง และมีแนวโน้มทำให้ทรัพยากรสัตว์น้ำลดปริมาณลงเรื่อย ๆ
พ.ศ. 2530 ยุคของกุ้งกุลาดำ
เป็นยุคที่ป่าชายเลนถูกทำลายอย่างเร็วที่สุด จากการแย่งยึดพื้นที่ครอบครองป่าเพื่อใช้เป็นแหล่งเลี้ยงกุ้งกุลาดำ จากนั้นไม่นานการเลี้ยงกุ้งก็ต้องชงักลงเพราะประสบปัญหาส่งออกไม่ทัน กุ้งล้นตลาด ทำให้กุ้งราคาตก จนฟาร์มกุ้งประสบปัญหาขาดทุนและปิดตัวไปเป็นวงกว้าง
พ.ศ. 2532 ปัญหาการท่องเที่ยว
เกิดกระแสการท่องเที่ยวทะเล นำมาซึ่งการพัฒนาบนพื้นที่เกาะต่างๆ ผลของการเปลี่ยนแปลงพื้นทำให้เกิดตะกอนของดินไหลลงสู่ทะเลทำให้น้ำทะเลขุ่นข้น และตะกอนได้ไหลลงไปทับถมบนแนวปะการังทำให้ปะการังตาย รวมถึงยังมีปัญหาการขุดลอกล่องน้ำบริเวณชายฝั่งที่เป็นถิ่นอาศัยของปะการัง เพื่อให้เรือสามารถเข้าใกล้ฝั่งได้มากขึ้น และยังมีการทำลายปะการังของกลุ่มนักท่องเที่ยวและไกด์ เช่น การขีดเขียน การหัก การยืนเหยียบปะการัง
พ.ศ. 2554 ทะเลกลายเป็นถังขยะ
ขยะจำนวนมหาศาลในแหล่งต่างๆ จากเหตุการณ์อุทกภัย ถูกมวลน้ำพัดไหลลงสู่ทะเล และหลายปีต่อมาเรามักพบเห็นเหตุการณ์คลื่นได้พัดเอาขยะที่กองอยู่ใต้ทะเลย้อนคืนกลับมาบนชายหาดหลายแห่ง อีกด้านหนึ่งด้วยปริมาณขยะที่เพิ่มมากขึ้น อาทิ ขยะพลาสติก ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ส่งผลกระทบถึงทะเลไทย โดยเฉพาะช่วงการระบาดของโควิด-19 ซึ่งพบว่าขยะพลาสติกกลับมามีปริมาณเพิ่มมากขึ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะขยะพลาสติกจากบนบกสามารถเดินทางสู่ทะเลได้ผ่านแม่น้ำลำคลองสายต่าง ๆ ที่มีปลายทางถึงทะเล
พ.ศ. 2567 การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ส่งผลให้อุณหภูมิน้ำทะเลเพิ่มสูงจนปะการังในหลายพื้นที่เกิดการฟอกขาว หากอุณหภูมิสูงต่อเนื่องยาวนาน ปะการังก็มีโอกาสตายได้ ทำใหส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศเป็นวงกว้าง
ขอบคุณข้อมูลจาก เอกวิทย์ เตระดิษฐ์ มูลนิธิสืบนาคะเสถียร
สรุปข้อมูลสถานการณ์ทะเลไทยในปัจจุบัน
ป่าชายเลน ป่าชายหาด และป่าพรุ (พรุชายฝั่ง)
ประเทศไทยมีพื้นที่ป่าชายเลนเพิ่มขึ้นทุกปี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2556 เนื่องจากภาครัฐมีมาตรการป้องกันบุกรุกการทำลายป่าตลอดจนการฟื้นฟูพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม ทำให้ปัจจุบันมีพื้นที่ป่าชายเลนคงสภาพกว่า 1.7 ล้านไร่ โดยพบพันธุ์ไม้เด่น คือ โกงกางใบเล็ก โกงกางใบใหญ่, ตะบูนขาว และ ตะบูนดำ โดยในป่าชายเลนบริเวณอ่าวไทย มีผลผลิตมวลชีวภาพรวมเฉลี่ย 33.40 ต้นต่อไร่ และมีปริมาณดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เฉลี่ย 57.61 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ เทียบเท่าต่อไร่ ป่าชายหาด จำนวน 4.7 หมื่นไร่ และป่าพรุ จำนวน 3.7 หมื่นไร่
แนวปะการัง
พบว่าแนวปะการังทั่วประเทศมีพื้นที่รวม 149,182 ไร่ สถานภาพแนวปะการังส่วนใหญ่ 55% มีความสมบูรณ์ดี แม้จะเกิดการฟอกขาวในบางพื้นที่เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ส่งผลให้อุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้น จากการช่วยเหลือของทั้งภาครัฐและเอกชนในการอนุรักษ์คุ้มครอง ลดจำนวนนักท่องเที่ยวลงในบางพื้นที่ ช่วยให้แนวปะการังมีการฟื้นตัวเองได้ตามธรรมชาติได้ดียิ่งขึ้น
หญ้าทะเล
ประเทศไทยมีพื้นที่ที่มีศักยภาพเป็นแหล่งหญ้าทะเล 1.60 แสนๆร่ มีหญ้าทะเล 12 ชนิด พบพื้นที่หญ้าทะเลรวม 1.02 แสนไร่ ลดลงจากปีก่อน ๆ จากภัยคุกคามที่มีผลกระทบต่อสถานภาพหญ้าทะเล คือ ตะกอน จากการขุดลอกร่องน้ำ การพัฒนาชายฝั่ง การสัญจรทางน้ำ และ การเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล ที่เป็นกระบวนการตามธรรมชาติ
สัตว์ทะเลหายาก
พบว่ามีกลุ่มที่สถานการณ์ดีขึ้น ได้แก่ เต่าทะเล มีการขึ้นมาวางไข่รวม 799 รัง ส่วนของสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนม พบพะยูน 282 ตัว โลมาและวาฬประจำถิ่น 2,997 ตัว ชนิดที่มีมากที่สุด คือ โลมาอิรวดี, โลมาหัวบาตรหลังเรียบ, โลมาหลังโหนก, โลมาปากขวด และวาฬบรูด้า ส่วนกลุ่มปลากระดูกอ่อน พบปลาฉลามวาฬ 53 ตัว ปลากระเบนแมนต้า 20 ตัว นอกจากนี้ยังพบสถิติการเกยตื้นของสัตว์ทะเลหายาก พบว่า 761 ตัว ส่วนมากมีสาเหตุมาจากการป่วยตายและว่ายน้ำติดเครื่องมือประมง
ขยะทะเล
ขยะที่พบในทะเลไทยมากที่สุด ได้แก่ ขวดพลาสติกเครื่องดื่ม จากการศึกษาผลกระทบขยะทะเลต่อสัตว์ทะเลหายาก พบว่าสัตว์ทะเลหายากได้รับผลกระทบจากขยะรวม 174 ตัว เป็นกลุ่มเต่า 161 ตัว โลมาและวาฬ 4 ตัว และพะยูน 9 ตัว โดยขยะที่ส่งผลกระทบคือ เศษอวน, เศษเชือก และพลาสติกอ่อน ส่วนใหญ่สัตว์ทะเลได้รับผลกระทบจากการกินขยะทะเลเช่นกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และ สำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
รวมปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ทะเลไทยยังเผชิญตอนนี้
การคุมเข้ม IUU Fishing
คุมเข้มการทำประมงผิดกฎหมาย เพราะสหภาพยุโรปเคยออก “ใบเหลือง” ให้ไทย จากปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU Fishing) เช่น พบการลากอวนผิดฤดูกาล ไม่มีใบอนุญาตถูกต้อง ขาดระบบติดตามเรือปัญหาแรงงานผิดกฎหมายในภาคประมง ซึ่งการออกใบเหลืองส่งผลกระทบต่อการส่งออกสัตว์น้ำไปตลาดยุโรปและสหรัฐฯ ทำให้ไทยยังต้องรักษามาตรฐานการจัดการประมง ตามที่ให้คำมั่นกับ EU ไว้ เพื่อไม่ให้ถูกตรวจสอบหรือลงโทษซ้ำอีก
การคุ้มครองพะยูนและแหล่งหญ้าทะเล
พะยูนยังคงเผชิญกับภัยคุกคามจากการติดเครื่องมือประมง และการทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยจากมนุษย์ ซึ่งทำให้ความพยายามในการฟื้นฟูยังคงต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ในปี 2568 กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) เดินหน้าโครงการ “ฟื้นฟูหญ้าทะเล” ซึ่งเป็นแหล่งอาหารสำคัญของพะยูน วางเป้าหมายฟื้นฟูหญ้าทะเลในพื้นที่เสื่อมโทรม เช่น ตรัง กระบี่ พังงา และชุมพร รวมถึงการทำแนวเขตอนุรักษ์แบบชุมชนมีส่วนร่วม
ความยั่งยืนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
แหล่งท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับทะเล เช่น หมู่เกาะอ่างทอง หรือเกาะหลีเป๊ะ กำลังได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ควรหันมารณรงค์และส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนช่วยรักษาธรรมชาติ ไม่สร้างผลกระทบและรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงไม่รบกวนสัตว์ทะเล
สภาพอากาศเปลี่ยน
สภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อทะเลไทยในหลายด้าน เช่น อุณหภูมิที่สูงขึ้นที่ทำให้เกิดปัญหาปะการังฟอกขาวและการเปลี่ยนแปลงในแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเล
ขอบคุณข้อมูลจาก Environman
ผลกระทบที่ตามมาหากปัญหาทางทะเลยังไม่ถูกแก้
มลพิษทางน้ำเสีย
มลพิษในมหาสมุทร ประกอบไปด้วย โลหะที่เป็นพิษ เคมีภัณฑ์ ปิโตรเลียม ของเสียจากเมืองและอุตสาหกรรม น้ำทิ้งจากการทำเกษตร และสิ่งปฏิกูล มากกว่า 80% เป็นของเสียที่มาจากบนบกลงสู่ทะเลทางแม่น้ำ น้ำไหลบ่า การปลดปล่อยจากชั้นบรรยากาศ หรือการทิ้งของเสียลงทะเลโดยตรง เช่น มลพิษจากโรงบำบัดน้ำเสีย โดยมลพิษในทะเลจะเข้มข้นที่สุดในพื้นที่ใกล้ชายฝั่ง ส่งผลให้เกิดการฟอกขาวของปะการังและโรคติดต่อในสัตว์น้ำ ทำให้สูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ
ภาวะกรดในทะเล
ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทร เช่น เมื่อมีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในน้ำทะเลมากขึ้นทำให้แคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO3) ที่ต้องใช้เป็นแร่ธาตุประกอบการสร้างเปลือกและโครงสร้างของสิ่งมีชีวิตในทะเล เช่น หอยนางรม หอยเม่น ปะการังน้ำตื้น ปะการังน้ำลึกลดลงไปด้วย จึงทำให้มีเปลือกและโครงสร้างที่อ่อนแอ ไม่สามารถเติบโตหรือซ่อมแซมตัวเองได้เต็มที่ และเสี่ยงต่อการสูณพันธุ์มากขึ้น และยังส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารของผู้คนคนทั่วโลกที่พึ่งพาโปรตีนจากอาหารทะเลเป็นหลัก
มลพิษจากขยะ
ประเทศไทยติดอันดับที่ 10 ของโลกที่มีขยะลงทะเลมากที่สุดในโลก ขยะทะเลสร้างอันตรายให้กับสิ่งมีชีวิต ทั้งจากการผูกมัดติดกับร่างกายของสัตว์ทะเล การกลืนกินขยะทะเล เพราะคิดว่าเป็นอาหาร ซึ่งขยะเหล่านี้ไม่สามารถย่อยได้หรือย่อยได้ยากมาก และถ้าขยะที่มีลักษณะแหลมคมสามารถเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินอาหารของสัตว์ได้ด้วยเช่นกัน สัตว์ทะเลหายากที่มีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ได้แก่ เต่าทะเล พะยูน โลมา และวาฬ
การทำประมงเกินขนาด
ทำให้เรือประมงพาณิชย์ต้องขยายพื้นที่ในการจับปลาเพื่อชดเชยต่อประชากรปลาที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในแต่ละพื้นที่ การขยายพื้นที่นี้ส่งผลกระทบต่อความสมดุลของระบบนิเวศทางทะเลในหลาย ๆ ด้าน ความเสียหายที่พบได้บ่อยเกิดจากการจับปลาแบบลากอวนซึ่่งมักมีสัตว์หลงติดอวน (bycatch) อย่างเต่าทะเล โลมา หรือแม้กระทั่งฉลาม ซึ่งสิ่งมีชีวิตเหล่านี้อาจได้รับบาดเจ็บและตายได้
ผลกระทบเศรษฐกิจและสังคม
สร้างความเสียหายให้กับการเดินเรือ การประมง และสัตว์ทะเลจำนวนมาก รวมถึงนิเวศบริการทั้งในทะเลและชายฝั่ง ซึ่งส่งผลต่อรายได้ทั้งที่มาจากการประมง และการท่องเที่ยว ส่วนผลกระทบต่อสังคม รวมถึงผลกระทบต่อสุขภาพของคน เช่น การได้รับบาดเจ็บจากขยะบริเวณชายหาดและขยะทะเลพลาสติกขนาดเล็ก ที่สามารถเข้าไปปนเปื้อนในห่วงโซ่อาหารทั้งมนุษย์และสัตว์ทะเล
แนวทางอนุรักษ์ทะเลไทย ที่ไม่ควรมองข้าม
ใช้ครีมกันแดดที่เป็นมิตรต่อปะการัง
ปัจจุบันมีการรณรงค์การใช้ครีมกันแดดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพราะมีงานวิจัยบ่งชี้ว่าสารเคมีบางตัวของครีมกันแดด สามารถทำอันตรายต่อปะการังและสิ่งมีชีวิตได้ ดังนั้น ก่อนลงเล่นน้ำหรือดำน้ำ ควรเลือกใช้ผลิภัณฑ์กันแดดที่มีสารเคมีที่ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมด้วย
ไม่รับประทานสัตว์ทะเลหายาก
เช่น หูฉลาม เนื้อฉลาม ครีบปลากระเบน ปลานกแก้ว สัตว์หายากและเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์ ควรได้รับการอนุรักษ์เผ่าพันธุ์ไว้ นอกจากนี้บางสายพันธุ์ยังมีกฎหมายคุ้มครองด้วย อาจจะทำให้โดนจับข้อหาจับสัตว์หายากหรือบริโภคสัตว์หายากได้
ปฏิบัติตามกฎในพื้นที่อย่างเคร่งครัด
ในบางพื้นที่จะมีกฎและข้อห้าม ข้อควรปฏิบัติ กรุณาทำตามข้อปฏิบัตินั้น ๆอย่างเคร่งครัด เช่น บางเกาะห้ามนำพลาสติกเข้าเกาะเลย เพราะมีนโยบายมีขยะพลาสติกบนเกาะให้เป็น 0 ลดมลพิษจากขยะพลาสติกที่อาจไหลลงสู่ทะเลได้
ไม่ใช้ fin ในเขตปะการังน้ำตื้น
Fin หรือ ตีนกบ ที่หลายคนมักเข้าใจผิดและมักนำมาดำน้ำตื้นแบบ Snorkeling หรือ Skin Diving นั้น ไม่จำเป็นต้องใช้ตีนกบช่วย เพราะการใช้ตีนกบในบริเวณน้ำตื้น อาจไปเฉี่ยวชนหรือเตะปะการังใกล้เคียงให้แตกหักได้
ไม่สะสมเป็นของที่ระลึก
ปะการังและสิ่งมีชีวิตถือเป็นสิ่งที่เราต้องสงวนไว้เพื่อการอนุรักษ์และรักษาระบบนิเวศ ห้ามจับขึ้นมาหรือติดมือกลับบ้าน เพราะอาจทำให้ระบบนิเวศเสื่อมโทรมได้
ไม่ทิ้งขยะลงทะเล
การช่วยเหลือในการอนุรักษ์ธรรมชาติทางทะเลที่สุดคือ ไม่ทิ้งขยะลงทะเล หรือหากพบเจอก็ช่วยเก็บไปทิ้งไม่ปล่อยให้เป็นขยะในทะเล เพื่ออนุรักษ์ธรรมชาติทางทะเล การเก็บขยะหนึ่งชิ้น ช่วยชีวิตสัตว์ได้ 1 ชีวิต และจะช่วยชีวิตสัตว์ทะเลได้อีกหลายร้อยชีวิต
ขอบคุณข้อมูลจาก spring news