จากนักท่องเที่ยว...
สู่การเป็นผู้ประสบภัย
ณ สนามบินดูไบ

บ้านไม่ใช่เป็นเพียงที่อยู่อาศัย แต่เป็นที่ที่ทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย ทุกคนคิดถึง “บ้าน” ที่สุดตอนไหน? ไม่เคยมีครั้งไหนที่ฉันรู้สึกคิดถึง “บ้าน” เท่าครั้งนี้มาก่อน  ฉันรู้ซึ้งถึงคำว่า ” คิดถึงบ้าน” เป็นเช่นไร เมื่อวันที่ฉันกลายเป็นผู้ประสบภัยที่สนามบินดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์  

DubaiCR. picture BBC NEWS (Getty Images)

บางทีสิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกับเราได้เสมอ ใครจะคิดว่าประเทศที่อยู่ใกล้ทะเลทราย และได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ฝนตกน้อยมาก จะฝนตกหนัก พายุเข้าทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ในรอบ 75 ปี เมื่อวันที่ 16 เมษายนที่ผ่านมา และภัยพิบัติที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ทำให้ฉันกลายเป็นหนึ่งในผู้ประสบภัย 

ในวันที่น้ำท่วมสนามบินดูไบ เป็นคืนวันที่ฉันต้องเดินทางกลับจากประเทศอิตาลี หลังจากเดินทางไปพักผ่อนกับครอบครัวในช่วงวันหยุดสงกรานต์ ฉันบินกับสายการบิน Emirates ทำให้ต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่ประเทศดูไบ แต่แล้วอีเมลก็เด้งขึ้นมา หลังจากที่เก็บของกำลังจะไปสนามบิน ว่าไฟลท์จะดีเลย์ 4 ชั่วโมง ตอนนั้นฉันเห็นข่าวน้ำท่วมฉันก็ไม่คิดอะไรมากมาย เพราะคิดว่าเรายังเดินทางกลับได้ แสดงว่าทางสนามบินดูไบคงจัดการน้ำออกจากสนามบินเรียบร้อยแล้ว แต่ใครจะคิดว่าเหตุการณ์ต่อจากนี้ จะทำให้ฉันจดจำไปตลอดชีวิต

เมื่อฉันเดินทางถึงประเทศดูไบ เครื่องบินที่ฉันนั่งบินวนอยู่ 2 ชั่วโมง ลงจอดไม่ได้ 

พอลงมาจากเครื่องบิน เจ้าหน้าที่สนามบินเอาวิวแชร์มารับฉัน เนื่องจากฉันเป็นคนพิการ เดินไม่ค่อยสะดวก และใครที่เคยไปสนามบินดูไบคงจะรู้ว่าจาก Terminal หนึ่ง ไปยังอีก Terminal หนึ่งมันไกลแค่ไหนถึงขนาดต้องนั่งรถไฟใต้ดิน เจ้าหน้าที่บอกกับเราว่าอีก 10 นาที ไฟล์ทบินที่จะไปกรุงเทพฯ จะออก ให้ฉันกับครอบครัวรีบวิ่ง (แต่ฉันนั่งวีลแชร์นะ)  สิ่งที่เราเห็นขณะเดินไป Gate คือภาพของผู้คนนั่งตามพื้นอยู่เต็มสนามบิน เพราะไม่มีที่นั่ง ผู้คนที่เดินจะชนกัน เพราะคนเยอะจนแทบไม่มีที่เดิน ผู้คนวิ่งกรูกันลากกระเป๋า เพื่อให้ทันไฟล์ทบิน ตอนนั้นฉันคิดว่า” โห มันต้องขนาดนี้เลยหรอ” พอไปถึง Gate เจ้าหน้าที่ก็บอกไฟล์ทดีเลย์และฉันคิดว่าคนอื่นที่วิ่งก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน 

เจ้าหน้าที่ให้ฉันเข้าไปนั่งรอใน assisted lounge สำหรับคนพิการ เด็ก และคนแก่ จากนั้นก็มีเมลล์เด้งขึ้นให้ไปรับอาหารฟรี ในมื้อแรกที่มาถึง พี่ฉันก็เดินไปเอาแม็คโดนัลที่เขาแจกฟรี รอคิวประมาณ 3 ชั่วโมง หลังจากนั้นไฟล์ทก็ดีเลย์ออกไปเรื่อย ๆ ครั้ง 1-2 ชั่วโมง จนสุดท้ายส่งอีเมลมาบอกว่า cancel ในที่สุด ในเวลาประมาณ 22:00 น เอาแล้วต้องทำไงละที่นี้! หลังจากนั้นพี่จึงไปต่อแถวหน้า Counter ของสายการบินเพื่อที่จะ Booking Fight กลับประเทศไทยใหม่แต่ผู้คนต่อแถวมากมายมหาศาล จึงไปกดที่ตู้ Booking ไฟล์ทเอง พร้อมกับอีเมลใหม่ที่แจ้งว่าให้รอไฟล์ทใหม่อีก 24 ชั่วโมง โดยที่ยังไม่ได้คอนเฟิร์มตั๋วเครื่องบินและไม่มีที่พักให้ ตอนนั้นถึงได้รู้ตัวว่า “วันนี้คงไม่ได้กลับแล้วล่ะ ก็คงต้องนอนมันตรงนี้แหละ”

แต่ฉันนอนไม่หลับ เพราะผู้โดยสารที่อยู่แถวนั้นเสียงดังโวยวายแทบจะตลอดเวลาและเสียงจากเจ้าหน้าที่ที่มาเรียกชื่อผู้โดยสารที่นั่งอยู่ตรงบริเวณนั้นตลอดทั้งคืน เพราะเจ้าหน้าที่เคยบอกว่าหากมีไฟล์ทบินเขาจะมาเรียก ฉันจึงรอให้เขาเรียกชื่อเราบ้างเผื่อเราจะได้กลับบ้าน  แต่ฉันรอไปเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้เรียกชื่อฉันสักที ฉันจึงคิดว่าไปเข้าห้องน้ำแล้วจะมานอน 

ในกลางดึกคืนนั้น ฉันจึงเดินไปห้องน้ำคนเดียวไปเห็นผู้ชายต่างชาติคนหนึ่ง หมดสติอยู่ในห้องน้ำ สภาพไม่ค่อยโอเคเท่าไรนัก ฉันกลัวมาก ภาพติดตา บวกกับตอนนั้นเจ้าหน้าที่กำลังมาช่วยพอดี ฉันยืนช็อกไป 10 วิ ถ้าถามว่าเราเห็นได้ยังไง ต้องบอกว่าห้องเป็นห้องน้ำสำหรับคนพิการที่ฉันต้องเดินผ่าน เพื่อไปยืนรอเข้าห้องน้ำ ฉันจึงตัดสินใจเดินออกมาเพื่อที่ให้เจ้าหน้าที่ช่วยคนป่วยได้สะดวก 

หลังจากนั้นฉันเดินมาดูตารางไฟล์ทบิน แล้วเห็นว่ามีไฟล์ทบินไปกรุงเทพฯ ตอนตีสี่ ฉันเลยไปถามเจ้าหน้าที่ สักพักเขาเอาพาสปอร์ตกับตั๋วเครื่องบินของฉันไปหายไปนานมาก จนฉันต้องไปตาม แต่ก็ไม่ได้คำตอบกลับมา ทุกๆ ครั้งที่เจ้าหน้าที่เขาเดินมาถามฉันว่า “ยูจะบินไปที่ไหนนะ” เราก็ตอบว่า กรุงเทพฯ  แต่เขาไม่ได้ทำอะไร ตอนนั้นฉันไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเขาจะถามทำไม ฉันก็เลยถามเขาว่า ฉันจะได้ไฟล์ทบินเมื่อไหร่ คำตอบที่ได้คือ I don’t know  but I’ll try my best. จนฉันต้องรอต่อไปเรื่อยๆ ยังไม่มีจุดหมาย ตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะได้กลับบ้านตอนไหน 

จนกระทั่งถึงเช้าวันที่ 18 เมษายน ขณะที่ฉันพึ่งงีบหลับไปได้ 10 นาที เจ้าหน้าที่ก็เรียกชื่อฉัน ฉันยกมือทั้งๆ ที่ยังไม่ลืมตาด้วยซ้ำ แต่แล้วฉันก็ต้องผิดหวัง เมื่อเขาไม่ได้ให้ไฟล์ทฉันบินกลับ แต่บอกให้ฉันเดินไปที่จุดโน่นจุดนี้เหมือนจะทำเรื่อง booking ไฟล์ทบินให้ แต่สุดท้ายฉันกลับมารู้ว่าเขาไม่ได้ทำอะไรให้ฉันเลย และก็ให้ฉันไปนั่งรออีกครั้ง ตอนนั้นฉันกำลังจะเป็นลมเข้าไปทุกที เพราะไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อวานจนถึงเที่ยงวันนี้ ตั้งแต่มาถึงคือแจกอาหารมื้อเดียว ฉันจึงเดินไปร้านอาหารเพื่อกินข้าว

 แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อมีชายผิวดำคนหนึ่ง เดินเข้ามาในร้าน ในตอนแรก ผู้ชายคนนั้นไปก่อกวนแม่และเด็กโต๊ะๆ ข้าง แม่ของเด็กคนนั้นไล่และเอาจะกระเป๋าตี จากนั้นเขาก็พุ่งเป้ามาที่โต๊ะฉัน จากนั้นผู้ชายคนนั้นจะมาแย่งชามข้าวที่ซื้อมาของพี่ฉันไป และตอนนั้นก็มีแค่ฉันกับป้าที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ ป้าฉันร้องห้ามแต่เขาไม่ฟัง ฉันตกใจมากจากนั้น ฉันกรี๊ดออกมาเสียงดังมาก ตอนนั้นคนที่นั่งอยู่ในร้าน หันมามองฉันเป็นตาเดียว ผู้ชายคนนั้นไม่ยุ่งกับชามข้าวของพี่ฉันอีกต่อไป เพราะตกใจเสียงฉัน และพอทุกคนเห็นฉันกรี๊ดก็ช่วยไล่ผู้ชายคนนั้นออกจากร้านไป ตอนนั้นฉันถึงกับกินข้าวไม่ลงเลยทีเดียวเชียว

DubaiCR. picture X : Solomon King

หลังจากนั้นฉันก็ต้องไปที่เคาร์เตอร์ของสายการเพื่อ booking ไฟล์ทใหม่ ทั้งพี่ แม่ และป้าไปยืนต่อแถวกันหมด เพราะมีหลายแถวเผื่อว่าใครจะได้คิวก่อน ส่วนฉันนั่งเฝ้าของอยู่ที่พื้น ผู้คนคนต่อแถวกันไม่เป็นระเบียบ พอถึงคิวของพี่ฉัน พนักงานก็เลิกงานกลับบ้านเฉยเลย แต่พี่ฉันก็ยังยืนรออยู่ตรงนั้น 1 ชั่วโมงกว่าพนักงานคนใหม่จะมา กว่าจะได้ booking ตั๋วใหม่ ก็ใช้เวลายืนรอประมาณ 6 ชั่วโมง แต่ check in ได้แค่ 2 คน เท่านั้น อีก 2 คนยังเป็น waiting list อยู่อาจจะไม่ได้กลับพร้อมกัน และให้กลับมาใหม่อีกครั้งตอน 5 ทุ่ม ในที่สุดพวกเราก็ได้ไฟล์ทกลับพร้อมกัน แต่ไฟล์ทก็เลื่อนไปเช้าของวันที่ 19 เมษายน และเลื่อนอีกประมาณ 3-4 ครั้งกว่าจะได้ขึ้นเครื่องบินกลับสู่ประเทศที่เป็นบ้านของเรา แต่เรากลับมาแต่ตัวเท่านั้น เพราะกระเป๋าไม่ได้กลับมาด้วย ผ่านไป 1 สัปดาห์ พวกเราถึงได้กระเป๋าแต่ก็มาไม่พร้อมกัน บางใบเกิดความเสียหาย และมีรอยแงะเปิดอีก ดังนั้นการซื้อประกันภัยที่ครอบคลุมความเสียหายในการเดินทางสำคัญมาก อย่าชะล่าใจว่ามันจะไม่เกิดอะไรขึ้นกับเรา เพราะสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นกับเราได้เสมอ 

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ฉันได้ย้อนคิดว่า เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดอาจจะเกิดขึ้นกับเราได้เสมอ เราต้องมีสติ ค่อยๆ คิดแก้ไขปัญหา และรู้จักเอาตัวรอดให้ได้ และเรายังเชื่ออีกว่าทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะดีหรือร้ายจะซ่อนบทเรียนอันล้ำค่าไว้ให้เราเสมอ

Related Articles

half-year-resolution

Half-year resolution : บทเรียนชีวิตที่ได้จากครึ่งปีแรก

เราอาจไม่ได้ประสบความสำเร็จตั้งแต่ครั้งแรกที่ลงมือทำ แต่ถ้าเราพยายามทำต่อไปด้วยหัวใจที่ไม่ยอมแพ้  เราจะเดินถึงเป้าหมายได้ในที่สุด เผลอแป๊ปเดียวพวกเราทุกคนเดินทางผ่านมาครึ่งปีแล้ว ตอนต้นปีมีใครตั้งเป้าหมายอะไรไว้กันบ้างคะ? บางคนอาจเดินถึงเป้าหมาย บางคนกำลังเดินทางไปสู่เป้าหมายที่วาดไว้ แต่เราเชื่อว่า บางคนรู้สึกว่าเป้าหมายที่ตั้งไปในช่วงต้นปีอาจไม่ได้สำเร็จอย่างที่เราคาดหวังไว้หรือเป้าหมายที่เราตั้งไว้อาจเลือนรางเต็มที แต่ไม่เป็นไรเลย เพราะชีวิตคนเราสามารถเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ  ทุกคนรู้ไหมคะการตั้งเป้าหมายใหม่อาจไม่ได้หมายความว่าต้องเริ่มจากศูนย์เสมอไป แต่เราอาจจะนำสิ่งที่เราทำและอาจจะไม่ประสบความสำเร็จ มาทบทวน พัฒนาและปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้เราเดินไปสู่เป้าหมายที่เราวางไว้ เพราะเราเชื่อว่าความสำเร็จอาจจะไม่ได้เกิดจากครั้งแรกที่ลงมือทำ แต่ถ้าหากเราพยายามต่อไปเรื่อยๆ ด้วยหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ เราจะเดินถึงเป้าหมายในที่สุดค่ะ คนเราทุกคนกว่าที่จะประสบความสำเร็จกับสิ่งที่เราตั้งเป้าหมายไว้

 ความจริง VS ความเชื่อเกี่ยวกับน้ำผลไม้ปั่นสมูทตี้ที่คนชอบกินสมูทตี้ต้องรู้ 

ไม่ต้องเลิก กินน้ำปั่น อย่างใครเขา งดเท่าที่เรานั้น จะงดไหว น้ำปั่นเราไม่ต้องหวานเท่าของใคร อย่ากินจนทำลายสุขภาพเท่านั้นพอ  “น้ำผลไม้ปั่น” หรือ ที่ใครหลายคนเรียกว่า “สมูทตี้” เป็นเครื่องดื่มที่หลายคนชอบกินมาตั้งแต่เด็กๆ ด้วยภาพลักษณ์ที่มีสีสันสดใสและเป็นผลไม้ที่ได้มาจากธรรมชาติ ทำให้ถูกมองว่าปลอดภัยและไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย มีคนมากมายชอบกินน้ำปั่นสมูทตี้ เพราะคิดว่า อร่อยและดีต่อสุขภาพด้วย ทำให้เป็นเครื่องดื่มยอดฮิตของกลุ่มวัยรุ่น วัยทำงาน คนรักสุขภาพ

gentleness

เพราะความอ่อนโยนไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่เป็นสิ่งที่ช่วยปลอบประโลมหัวใจของมนุษย์

ความอ่อนโยน คือ สิ่งที่ช่วยโอบกอดและปลอบประโลมหัวใจ ให้กลับมามีจิตใจที่เข้มแข็งอีกครั้ง หากพูดถึง “ความอ่อนโยน” เราเชื่อว่าหลายๆ คนมีความอ่อนโยนซ่อนอยู่ในตัวเองและความอ่อนโยน คือ คุณสมบัติพิเศษที่แสดงถึงความเมตตา ความใจดีและความอ่อนไหวที่อยู่ในตัวของมนุษย์ หลายคนมักซ่อนความอ่อนโยนไว้ในก้นบึ้งที่ลึกที่สุดของหัวใจ  เพราะคิดว่าการแสดงความอ่อนโยนจะทำให้เราเป็นคนที่อ่อนแอ แต่แท้จริงแล้วความอ่อนโยน เป็นสิ่งที่ช่วยโอบกอดและปลอบประโลมหัวใจ ไม่ว่าจะเจอเรื่องเศร้า เรื่องทุกข์ใจขนาดไหน เมื่อเราได้สัมผัสความอ่อนโยนของใครบางคน ความทุกข์ความเศร้าในใจจะเบาบางลง และช่วยให้เรากลับมามีจิตใจที่เข้มแข็งอีกครั้งค่ะ