ในงาน Global Luxury Property Market 2017 ที่เพิ่งผ่านไป ได้มีการเปิดเผยผลสำรวจทั้งจากเอเจนซี่ไทยและต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็น Global Property Guide, Knight Frank, Numbeo และ PLUS Property ที่วิเคราะห์ออกมาสอดคล้องกันถึงการเติบโตของอสังหาริมทรัพย์ระดับซูเปอร์ลักชัวรีไทย ที่สามารถดึงดูดกลุ่มลูกค้าได้จากทั่วโลก เนื่องจากประเทศไทยมีความพร้อมอย่างรอบด้าน ทั้งในแง่ทำเลที่เป็นศูนย์กลางของอาเซียน ความพร้อมในระบบสาธารณูปโภค ความพร้อมในการเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการบริการทางการแพทย์และโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลจาก globalpropertyguide.com ที่แสดงให้เห็นว่าประเทศตลาดอสังหาริมทรัพย์สำคัญของโลก อย่างสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และในแถบเอเชีย อย่างสิงคโปร์ ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง ต่างมีราคาอสังหาริมทรัพย์สูงกว่าไทยมาก ในอัตราเฉลี่ยตั้งแต่ 2 – 6 เท่า ดังนั้นประเทศไทยจึงให้ความคุ้มค่ามากกว่าแน่นอนในแง่การลงทุน
ความคุ้มค่าในการลงทุน
การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ใน Prime Area เป็นอีกทางเลือกในการลงทุนของบุคคลในระดับ Ultra-High Net worth Individual (UHNWI) หรือบุคคลธรรมดาที่มีสินทรัพย์สุทธิในระดับสูง ซึ่งเดิมนักลงทุนต่างชาติหรือแม้แต่ในประเทศไทยกลุ่มนี้ จะสนใจลงทุนในเมืองที่มีชื่อเสียงต่าง ๆ ของโลก เพราะมีอัตรา Capital Appreciation ในแง่ของราคาของอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เปรียบเทียบจากภาพการเติบโตด้านราคาของห้อง Penthouse ในเมืองสำคัญต่างๆ ระหว่างปี 2011-2016
เปรียบเทียบราคาห้องเพนท์เฮาส์ที่ราคาสูงที่สุดในปีค.ศ. 2011 และ 2016
จะเห็นว่าระยะเวลาเพียง 5 ปี อสังหาริมทรัพย์ในนิวยอร์ก ที่ราคาสูงสุด มีราคาเพิ่มขึ้นถึง 41% เช่นเดียวกับในทำเลทองอย่าง The Peak ฮ่องกง ที่ราคาเพิ่มขึ้นถึง 71% และในลอนดอนเพิ่มขึ้น 68% แต่ที่น่าสนใจคือ ในวันนี้ประเทศไทยได้กลายเป็นหนึ่งประเทศที่นักลงทุนชาวต่างชาติสนใจ เห็นได้จากห้อง Penthouse ที่มีราคาสูงสุดในโครงการ 98 WIRELESS ที่มีราคาขายอยู่ที่ 666,666 บาท/ ตารางเมตร นั้นเป็นราคาที่สูงขึ้นจากปี 2011 มากถึง 65%
ปัจจัยด้านทำเลมีผลต่อราคา
ปัจจัยสำคัญในการเติบโตของอสังหาริมทรัพย์ระดับบนที่มีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง คือ ทำเลใจกลางเมืองหรือย่านที่เรียกว่าเป็นทำเลทองที่เหลือพื้นที่ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์น้อยลงเรื่อยๆ ยกตัวอย่างโครงการซูเปอร์ลักชัวรี บนทำเลทองอย่าง 98 WIRELESS โครงการแฟล็กชิพคอนโดมิเนียมจากแสนสิริได้ชื่อว่าเป็นโครงการที่ดีที่สุดในประเทศไทยและตะวันออกเฉียงใต้ บนถนนวิทยุใจกลางกรุงเทพฯ
ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นที่ดิน Freehold ผืนสุดท้าย กรรมสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของที่สามารถซื้อขาดได้นี้คือความพิเศษที่ทำให้ 98 WIRELESS ได้รับความสนใจจากลูกค้าระดับบนเป็นอย่างมาก นอกจากนี้เมื่อลองเปรียบเทียบราคาต่อพื้นที่ของอสังหาริมทรัพย์ระดับซูเปอร์ลักชัวรีในไทย ยังเห็นได้ว่ามีราคาต่ำกว่าในเมืองสำคัญอื่น ๆ ทั้งในเอเชียและทั่วโลก ยกตัวอย่างในราคา 70 ล้านบาท จะได้พื้นที่ขนาด 121 ตร.ม. ซึ่งเปรียบเทียบกับเมืองอื่นๆ ที่มูลค่าจำนวนเดียวกันนี้ จะสามารถซื้อห้องที่มีขนาดพื้นที่เล็กกว่า
เทรนด์อสังหาริมทรัพย์ในภาพรวม
ในช่วง 2 – 3 ปี ที่ผ่านมา ราคาคอนโดมิเนียมในกรุงเทพมหานครระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ที่ราคาสูงกว่า 300,000 บาท/ ตารางเมตร มีราคาเพิ่มขึ้นถึง 10% โดยถือว่ามีราคาเพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบกับคอนโดมิเนียมในเซ้กเม้นท์อื่นๆ ที่บวกมากสุดแค่ 2% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทำเลทองย่านเพลินจิต หลังสวน ชิดลม โดยส่วนหนึ่งเพราะเป็นทำเลที่ผู้ซื้อต่างชาติคุ้นเคยเป็นอย่างดี โดยหากเริ่มพัฒนาโครงการต่างๆ โดยใช้มาตรฐานแบบเดียวกับ 98 WIRELESS
ในวันนี้ ประเมินว่าควรตั้งราคาขายอย่างน้อย 700,000 บาท / ตารางเมตร เนื่องจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นทั้งปัจจัยราคาที่ดินที่บนถนนวิทยุที่เพิ่มจาก 1.5 เป็น 2.5 ล้านบาท / ตารางวา บวกต้นทุนด้านค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน รวมทั้งวัสดุและงานศิลปะที่ถูกเลือกสรรบางอย่างที่ไม่สามารถหาได้จากที่ไหน ซึ่งเมื่อดูเปรียบเทียบกับราคาขายเฉลี่ยของปัจจุบันที่ 580,000 บาท / ตารางเมตร แล้วนักลงทุนในอสังหาริมทรัพย์น่าจะได้รับผลกำไรจาก Capital Appreciation แน่นอน