ตอนนี้ประเทศไทยเราเดินทางเข้าสู่ฤดูหนาวเต็มตัวกันแล้วค่ะ นอกจากอากาศหนาวที่ทุกคนรอคอยกันมาทั้งปีแล้วนั้น สิ่งที่มาพร้อมกับลมหนาวนั่นคืออากาศที่แห้งลง การพัดพาของระดับฝุ่นที่มากขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นอีกจุดเริ่มต้นสำคัญของการเกิด ‘ไฟป่า’ ชั้นดีด้วยเช่นกันค่ะ เรียกได้ว่าเป็นอีกปัญหาที่วนกลับมาทุกฤดูหนาว – ฤดูร้อนของภาคเหนือเลยก็ว่าได้ แสนสิริจึงอยากให้ทุกคนหันมาสนใจ และช่วยกันแก้ไขปัญหา ผลกระทบ และวงจรที่ซ่อนอยู่จากการเผาป่าให้หมดไป และเป็นแบบยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
วันนี้แสนสิริ อยากชวนทุกคนมาทำความเข้าใจเรื่องไฟป่า ทั้งการย้อนดูสถิติไฟป่าย้อนหลัง 10 ปี ทำความเข้าใจต้นตอรากปัญหาของไฟป่า ที่นำภัยอื่นมาสู่ธรรมชาติ ทั้งต้นไม้และหน้าดินที่พังจากการเผาไหม้ ที่เป็นอีกสาเหตุสำคัญนำไปสู่การเกิดอุทกภัยในฤดูฝนได้ง่ายขึ้น สงสัยกันไหมคะว่า เกิดจากไฟป่าทำไมทำให้เกิดน้ำท่วมได้ แสนสิริพร้อมพาทุกคนไปไขข้อข้องใจด้วยกัน รวมถึงวิธีแก้วงจรไฟป่าแบบยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมกับทำความรู้จัก ‘ต้นกาแฟ’ อนาคตป่าพืชมีค่า พืชเกษตรกรรมสำคัญของภาคเหนือ ที่นอกจากจะช่วยทำรายได้ให้ชุมชนแล้ว ยังช่วยคืนความอุดมสมบูรณ์ให้ผืนป่าและธรรมชาติอีกด้วย จะมีข้อมูลน่าสนใจอะไรอีกบ้าง ไปติดตามอ่านด้วยกันเลยค่ะ!
แสนสิริตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสร้างจุดเปลี่ยนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เราหวังว่าแนวคิดนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญต่อการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของไทยในอนาคต และเพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืนในองค์กร เพราะทุกโครงการใหม่ของแสนสิริ เราสร้างความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก รวมถึงหวังว่าทุกภาคส่วนจะเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลผืนป่าและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ธรรมชาติกลับมาสมบูรณ์และยั่งยืนอีกครั้ง


ถิติจากสำนักป้องกัน ปราบปราม และควบคุมไฟป่า ระบุว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ.2558 – 2567) ประเทศไทยมีพื้นที่ถูกไฟไหม้รวมกว่า 1.36 ล้านไร่ หรือราว 2,188 ตารางกิโลเมตร
พื้นที่ขนาดเท่ากับจังหวัดนครปฐมทั้งจังหวัด มีพื้นที่ถูกเผาไหม้พุ่งสูงกว่าเกือบ 4 แสนไร่ โดยเพิ่มขึ้นสูงถึง 6 เท่าในรอบทศวรรษ
จุดเปลี่ยนที่น่าสนใจคือแนวโน้มในรอบ 5 ปีหลัง ไฟป่ากลับมา “พุ่งสูงอีกครั้ง” โดยเฉพาะปี 2567 ที่ตัวเลขทะลุ 399,000 ไร่ ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดในรอบทศวรรษ ไฟป่าไม่เพียงทำลายต้นไม้และสัตว์ป่า แต่ยังสร้างผลกระทบเชิงซ้อ ทั้ง มลพิษทางอากาศ (PM 2.5), ความไม่มั่นคงด้านสุขภาพ, และ การทำให้ชั้นบรรยากาศปนเปื้อน🌫️
การรับมือหรือวิธีการดับไฟป่าในปัจจุบัน มีเทคโนโลยีในการป้องกันสูงขึ้น แต่ปัญหาไฟป่ามีสาเหตุที่ซับซ้อนและมักมีปริมาณไฟป่าที่สูงขึ้นทุกปี📈 ดังนั้นการตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาไฟป่าจึงมีส่วนที่จะช่วยให้เกิดการป้องกันมากยิ่งขึ้น ช่วยเพิ่มความระมัดระวังในการประกอบกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับไฟในป่าให้มากขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดไฟป่า ซึ่งอาจส่งผลนำไปสู่ปัญหาหมอกควันที่เป็นพิษ ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ และทำลายความสมดุลของระบบนิเวศวิทยาในที่สุด
ขอบคุณข้อมูลจาก ส่วนควบคุมไฟป่า สำนักป้องกัน ปราบปราม และควบคุมไฟป่า, thaipbs และ มูลนิธิสืบนาคะเสถียร

ต้นตอรากปัญหาของไฟป่านำภัยอื่นมาสู่ธรรมชาติ เพราะไฟป่า เกิดได้ทั้งจากฝีมือมนุษย์ และปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ โดยมีเงื่อนไขหลักคือ “ร้อน” และ “แห้ง” จึงทำให้ไฟป่าส่วนใหญ่เกิดช่วงปลายฤดูหนาวถึงฤดูร้อน และหมดช่วงฤดูฝน🌧️
แสนสิริพาทำความเข้าใจ “สามเหลี่ยมไฟ” (Fire Triangle) 3 องค์ประกอบหลักที่ทำให้เกิดการลุกไหม้ของไฟในป่า เพราะหากขาดองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งไปแล้ว ไฟป่าจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้
ไฟแรก : เชื้อเพลิง (Fuel)
คืออินทรียสารทุกชนิดที่มีคุณสมบัติติดไฟได้ง่าย เช่น หญ้าแห้ง วัชพืช กิ่งไม้ ต้นไม้ ตอไม้ ดินอินทรีย์ และชั้นถ่านหินใต้ผิวดิน นอกจากนี้เชื้อเพลิงยังรวมถึงวัสดุไวต่อไฟ อย่างบ้านเรือน โรงนา สิ่งปลูกสร้างต่างๆ
ไฟที่สอง : อากาศ (Air)
อากาศคือแหล่งสะสมออกซิเจนชั้นดี ซึ่งออกซิเจนเป็นตัวทำปฏิกิริยาสำคัญก่อให้เกิดกระบวนการเผาไหม้ ความรุนแรงของการเผาไหม้นั้นขึ้นอยู่กับปริมาณออกซิเจนในป่า ที่แปรผันตามทิศการเคลื่อนไหวและความเร็วลมนั่นเอง
ไฟที่สาม : แหล่งความร้อน (Heat Source)
คือตัวจุดประกายไฟที่ทำให้เกิดไฟป่า มีทั้งแหล่งความร้อนธรรมชาติ เช่น ฟ้าผ่า การผลัดใบหรือเสียดสีของใบไม้ กิ่งไม้ หรือการระเบิดของภูเขาไฟ ในขณะที่แหล่งความร้อนจากมนุษย์มาจากกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดไฟ เช่น เผาหญ้า เผาขยะ การทิ้งก้นบุหรี่ หรือการตั้งแคมป์
3 องค์ประกอบนี้คือตัวแปรสำคัญที่ทำให้เกิดสามเหลี่ยมไฟ นำไปสู่การเกิดไฟลุกลามได้ แต่จากสถิติไฟป่าที่ตรวจพบในปัจจุบันมักมาจากกิจกรรมของมนุษย์เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการลอบวางเพลิง การเผาขยะ หรือกิจกรรมเพื่อการเกษตร อย่างการเผาวัชพืช เผาเพื่อหาของป่า จนอาจทำให้เชื้อไฟถูกกระแสลมพัดกระจายไปตกยังพื้นที่ป่าใกล้เคียง นำมาสู่ไฟป่าที่ลุกลามจนยากจะควบคุม
ซึ่งวิธีสังเกตไฟป่าที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หรือไฟป่าฝีมือของมนุษย์นั้น ถ้าดูตามหลักวิทยาศาสตร์ก็ง่ายนิดเดียว โดยไฟที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มักจะเกิดช่วงบ่าย มีลักษณะการเกิดเป็นหย่อม ๆ ขณะที่ไฟป่าที่เกิดจากด้วยฝีมือมนุษย์ จะเกิดหลายแห่งพร้อมกันอย่างไม่เลือกช่วงเวลา และมีลักษณะการลุกลามเป็นทางยาว
ขอบคุณข้อมูลจาก NATIONAL GEOGRAPHIC ASIA และ thaipbs

ชวนไขข้อสงสัย เกิดจากไฟ ทำไมกลายเป็นน้ำ (ท่วม) เพราะ ‘ไฟป่า’ ไม่ได้เผาแค่พื้นดิน แต่ยังนำไปสู่การล่มสลายของระบบนิเวศใต้ผืนดิน
เมื่อพูดถึงไฟป่า ผลกระทบที่เราเห็นส่วนมาก มักจะเป็นการสูญเสียพื้นที่ป่า สัตว์ป่า หรือที่อยู่อาศัย แต่จริงๆ แล้วการเกิดไฟป่ายังสร้างผลกระทบไปยังระบบนิเวศใต้ผืนดินอีกด้วย ซึ่งก็มีความสำคัญต่อความวัฏจักรความยั่งยืนในผืนป่าธรรมชาติ ทำให้ประสิทธิภาพในการกักเก็บน้ำต่ำลง นำไปสู่การไหลท่วมฉับพลัน โดยเกิดเป็นกระบวนการ ดังนี้
การเกิดไฟป่าเผาทำลายพืชและป่าไม้ การเผาไม้ทำลายรากพืชที่ช่วยยึดดิน ลดการปกคลุมหน้าดิน ทำให้ดินเปลือย นำไปสู่การเกิดสารไม่ชอบน้ำ (Waxy Compounds) เนื่องจาก ไขพืช (Waxes), กรดไขมัน (Fatty acids), ไฮโดรคาร์บอน (Hydrocarbons) สารเหล่านี้กลายเป็นก๊าซจากความร้อน แทรกลงในดิน และแข็งตัวเป็น “Waxy Layer” ทำให้ดินไม่สามารถดูดซึมน้ำได้ดีเหมือนเดิม พืชที่เกิดใหม่บริเวณถูกเผา ไม่สามารถยึดเกาะหน้าดินได้ เพราะดินเสื่อมโทรมและไม่มีโครงสร้างต้านทานการไหลของน้ำฝนที่ตกมา เมื่อฝนตกลงมาน้ำฝนไม่สามารถซึมลงดินได้ แต่น้ำจะไหลผ่านเหนือผิวดินลงที่ต่ำอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก I CAN และ ศูนย์วิชาการเพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาหมอกควันภาคเหนือ มช

วิธีแก้วงจรไฟป่าแบบยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม
ดูแลพื้นที่ริมแนวชายป่า เก็บกวาดพื้นที่ให้โล่งเตียน โดยไม่ให้มีใบไม้แห้ง กิ่งไม้แห้ง หรือหญ้าแห้งกองสุม เพราะหากเกิดไฟไหม้จะเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ทำให้ไฟปะทุและลุกลามอย่างรวดเร็ว
สร้างแนวกันไฟล้อมรอบพื้นที่ ด้วยการขุดร่องดินหรือสร้างคันดินกั้นเพื่อตัดทอนความต่อเนื่องของเชื้อเพลิง เพื่อสกัดไม่ให้ไฟลุกลามไปยังพื้นที่อื่น หมั่นเก็บกวาดและกำจัดเชื้อเพลิงจำพวกใบไม้ กิ่งไม้แห้งและหญ้าที่ทับถมบนแนวกันไฟ และระวังมิให้ต้นไม้ล้มพาดขวางแนวกันไฟ หากเกิดไฟไหม้ไฟจะลุกลามผ่านข้ามแนวกันไฟไปได้
ลดการทำเกษตรแบบไร่เลื่อนลอยผิดวิธี สู่เกษตรแบบยั่งยืน ลดการทำเกษตรกรรมบนพื้นที่เดิมซ้ำๆ ด้วยการตัดและเผาป่า จนแร่ธาตุในดินถูกใช้ไปจนหมดก็ย้ายไปถากป่าเพื่อทำไร่เลื่อนลอยบนภูเขาลูกใหม่ ปรับเปลี่ยนเป็นระบบการเพาะปลูกเพื่ออนุรักษ์ดินและน้ำ เช่น การทำนาขั้นบันได, การใช้ระบบเกษตรทฤษฎีใหม่, เกษตรอินทรีย์, เกษตรผสมผสาน หรือวนเกษตร ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
หลีกเลี่ยงการประกอบกิจกรรมที่เป็นสาเหตุให้เกิดไฟป่า เช่น เผาขยะหรือสูบบุหรี่บริเวณริมข้างทาง เป็นต้น เพราะนอกจากจะมีโอกาสที่ไฟจะลุกลามเป็นไฟป่าแล้ว ยังทำให้ควันไฟปกคลุมเส้นทาง หากจำเป็นต้องจุดไฟหรือเผาขยะ ควรควบคุมอย่างใกล้ชิด ในการเตรียมพื้นที่เพาะปลูกให้ใช้วิธีไถกลบหรือนำไปทำปุ๋ยหมักแทนการเผา
การป้องกันไฟป่าถือเป็นสิ่งสำคัญและเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เราทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมถึงช่วยกันสอดส่องดูแล หากพบเห็นไฟป่าและผู้กระทำความผิด ควรรีบแจ้งเจ้าหน้าที่สายด่วนทันที หรือโทร 1362 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ขอบคุณข้อมูลจาก กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

ต้นกาแฟ สู่ ป่าพืชมีค่า ฮีโร่ของผืนป่า ธรรมชาติ และเกษตรชุมชน เนื่องจากการทำเกษตรเชิงเดี่ยวแบบดั้งเดิมสร้างปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น ดินเสื่อมโทรม การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และส่งผลกระทบต่อรายได้และสุขภาพของเกษตรกร
“เกษตรฟื้นฟู” (Regenerative Agriculture) จึงเป็นทางออกที่สำคัญ เช่น การทำวนเกษตร การปลูกพืชคลุมดินเพื่อบำรุงดิน และการลดการใช้สารเคมีสังเคราะห์ ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยให้ดินมีสุขภาพดี กักเก็บน้ำได้ดีขึ้น และเพิ่มความต้านทานต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ช่วยเพิ่มผลผลิตและสร้างความยั่งยืน
อุตสาหกรรมกาแฟของไทย มีความสำคัญและช่วยแก้ปัญหาการดูแลป่าให้ยั่งยืนได้ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ มีการปลูกกาแฟพันธุ์อาราบิกา ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนมาใช้มาตรฐานเกษตรฟื้นฟูได้ อีกทั้งการปลูกต้นกาแฟช่วยลดน้ำท่วมได้เพราะระบบรากที่แข็งแรงจะช่วยยึดหน้าดินและชะลอน้ำฝน นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันดินถล่มและเพิ่มสารอินทรีย์ในดิน ซึ่งจะช่วยรักษาคุณภาพดินในระยะยาว การปลูกในรูปแบบ “กาแฟใต้ร่มไม้” ก็ช่วยอนุรักษ์ป่าไม้และสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับชุมชนได้จริง ทำให้ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต และสร้างความยั่งยืนให้อุตสาหกรรมกาแฟไทยระยะยาว
ขอบคุณข้อมูลจาก มติชน, กรุงเพธุรกิจ และ มูลนิธิสืบนาคะเสถียร

