Brokeback Mountain
หุบเขาแห่งความปวดร้าว
จุดเริ่มต้นความเท่าเทียมของ LGBTQ+

ผ่านมา 17 ปีแล้ว ที่โลกได้รู้จักกับภาพยนต์ LGBTQ+ ระดับตำนานอย่าง
‘Brokeback Mountain’

gay, lgbtq, brokeback mountain, movie

แม้นานแค่ไหนก็ยังครองตำแหน่งหนังที่นำเสนอประเด็นความหลากหลายทางเพศได้ดีที่สุดเรื่องหนึ่ง ภาพยนต์ที่ได้พาเราไปพบกับเรื่องราวความรักของคาวบอยหนุ่ม 2 คน ที่ทั้งงดงามแต่ก็เจ็บปวดจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่

นอกจากจะกวาดรางวัลไปมากมาย อีกความสำเร็จของ Brokeback Mountain คือการจุดประเด็นให้ผู้คนในสังคมหันมาเข้าใจและพูดถึงสิทธิของ LGBTQ+ มากขึ้น ถึงแม้บางกลุ่มที่มีอคติต่อ LGBTQ+ กลับใช้มาล้อเลียนเกย์ หรือโจมตีหนังอย่างรุนแรง ทำให้เราเห็นได้ว่าในสังคมยังคงมีคนที่ไม่เปิดใจในเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย

เราขอชวนมาย้อนรอยเรื่องราวของ Brokeback Mountain รวมทั้งทบทวนประเด็นความเท่าเทียมในสังคมตอนนี้ ว่ายังมีอะไรที่เราควรช่วยกันผลักดันอีกบ้าง

*หมายเหตุ : บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนในภาพยนตร์

หนังดีกับประเด็นที่ถูกมองว่า ‘มาก่อนกาล’

gay, lgbtq, brokeback mountain, movie

Brokeback Mountain นำเสนอชีวิตของเกย์ภายใต้อาชีพที่ดูเป็นชายอย่าง คาวบอย และยังพูดถึงหลายประเด็นที่ถือว่าล้ำสมัยในยุคนั้น จนหลายคนมองว่าเป็น ‘หนังที่มาก่อนกาล’

ภาพยนต์เรื่องนี้พาเราไปรู้จักกับ ‘แจ็ก’ และ ‘เอนนิส’ คาวบอย 2 คนที่มาทำงานเฝ้าฝูงแกะด้วยกันในหุบเขา Brokeback Mountain จนตกหลุมรักกัน แต่มันไม่สามารถลงเอยแบบ Happy Ending ได้เหมือนหนังรักทั่วไป ทั้งสองต่างรู้ดีว่าความรักครั้งนี้เป็นไปไม่ได้ เพราะสุดท้ายแล้วต้องแยกย้ายกันไปแต่งงานกับผู้หญิงตามที่สังคมคาดหวัง

ตลอดทั้งเรื่อง เราจะเห็นว่าทั้งคู่ยังคงคิดถึงกัน และยังพยายามกลับมาเจอกันถึงแม้จะแต่งงานไปแล้ว ประเด็นการถูกกดดันให้แต่งงานกับผู้หญิงถือเป็นปัญหาของเกย์ทั่วโลกมาโดยตลอด โดยเฉพาะประเทศที่เคร่งศาสนา แต่ปัญหานี้กลับไม่ค่อยถูกพูดถึงในยุคนั้น อย่าง Humsafar Trust องค์กรสนับสนุน LGBTQ+ ในประเทศอินเดีย เปิดเผยว่า กว่า 75% ของเกย์ในอินเดียถูกครอบครัวบังคับให้แต่งงานกับผู้หญิง และคาดหวังให้เปลี่ยนเป็นชายตรงเพศหลังแต่งงาน

หลี่ อัน, ang lee, gay, lgbtq, brokeback mountain, movie

“I wish I knew how to quit you.”
(ฉันหวังว่าฉันจะรู้วิธีเลิกรักนาย)

ภาพยนต์เรื่องนี้ย้ำกับสังคมอย่างหนักแน่นว่าเราบังคับให้ใครเปลี่ยนเพศไม่ได้ อย่างประโยคที่แจ็กพูดกับเอนนิสซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับจะย้ำเตือนให้คนดูเข้าใจว่าความรักที่เกิดขึ้นนี้เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ มันไม่ใช่อารมณ์ชั่ววูบ แต่เป็นความรักที่คนสองคนมีให้กันอย่างแท้จริงแม้ว่าจะอยู่ในเพศสภาพใดก็ตาม

ความเจ็บปวดในชีวิตของแจ็กและเอนนิสที่เราเห็น ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยสักนิด ในปี 2005 ที่ออกฉาย เป็นยุคที่แทบไม่มีประเทศไหนให้คู่รักเพศเดียวกันจดทะเบียนสมรสได้เลย LGBTQ+ จำนวนมากยังต้องเจออคติในที่ทำงาน ถูกรังเกียจ หรือถึงขั้นถูกทำร้ายจนถึงแก่ชีวิต ทำให้หลายคนเลือกที่จะยอมซ่อนตัวตนเอาไว้ Brokeback Mountain ได้นำความเจ็บปวดที่แสนอึดอัดเหล่านี้มาเปิดเผยให้โลกรู้ และบอกกับชาว LGBTQ+ ว่าพวกเขาไม่ได้กำลังต่อสู้อยู่เพียงลำพัง

การแสดงออกจากสังคม ทั้งชื่นชมและต่อต้าน

gay, lgbtq, brokeback mountain, movie

Brokeback Mountain ประสบความสำเร็จอย่างสวยงามตั้งแต่ออกฉาย กวาดรางวัลไปนับไม่ถ้วน ด้วยงานภาพตระการตา การแสดงที่ถ่ายทอดอารมณ์ได้ลึกซึ้ง เพลงประกอบที่ชวนให้อินไปกับเรื่อง และที่สำคัญคือประเด็นความไม่เท่าเทียมที่ LGBTQ+ ต้องเจอ

ในทางตรงกันข้าม กลุ่มที่มีอคติกลับนำภาพและประโยคจากหนังไปทำเป็นมีมเพื่อล้อเลียนกลุ่ม LGBTQ+ ในโลกออนไลน์ ลามไปถึงขั้นเหมารวมและล้อว่าคนที่ชอบเรื่องนี้ต้องเป็นเกย์ โดยใช้คำเหยียดเพศอย่าง ‘คาวบอยสายเหลือง’ หรือใช้คำ ‘โบรคแบ็ค’ เป็นคำแสลงเพื่อเหยียดเกย์

gay, lgbtq, brokeback mountain, movie
ตัวอย่าง meme จากฟากตะวันตกในยุคก่อน ที่หยิบหนังมาล้อเลียนอย่างสนุกสนาน

นอกจากนี้ ช่วงที่ภาพยนต์ออกฉายยังมีกระแสต่อต้านจากกลุ่มอนุรักษ์นิยม โดยให้เหตุผลว่าเรื่องนี้จะทำให้คนเป็นเกย์มากขึ้น รวมถึงมีโบสถ์หลายแห่งออกมาประณามว่าเป็นหนังที่ผิดศีลธรรม จนโรงภาพยนต์บางแห่งถึงขั้นสั่งงดฉาย เพราะกลัวกระแสโจมตีจากกลุ่มคนเคร่งศาสนา

แม้แต่นักแสดงนำ Jake Gyllenhaal’ และ ‘Heath Ledger’ ยังเผยว่า ในช่วงที่ฉายอยู่ พวกเขาต้องเจอกับมุกเหยียดเพศอยู่บ่อยๆ แม้แต่บนเวทีระดับโลกอย่าง Oscar ยังเสนอให้พวกเขาเล่นมุกเหยียดเพศบนเวที แต่นักแสดงทั้งสองยืนยันว่าขอเลือกที่จะเคารพในความแตกต่างทางเพศ

“เราทำภาพยนต์เรื่องนี้เพื่อโชว์ว่า LGTBQ+ มีความรักที่ลึกซึ้งและบริสุทธิ์ไม่ต่างจากชายหญิงเลย ผมว่าคนที่รังเกียจความรักของพวกเขาได้ลงนั้นน่าละอายมาก”

Heath Ledger แสดงจุดยืนอย่างชัดเจน และถึงแม้ในวันนี้เขาจะจากไปแล้ว แต่ Jake Gyllenhaal ยังพูดถึงทัศนคติที่น่าชื่นชมนี้อยู่เสมอ และมีความเชื่อว่าผลงานเรื่องนี้ได้เปิดทางให้กับความเท่าเทียมทางเพศ และหวังว่าวงการภาพยนต์จะมีพื้นที่สำหรับความหลากหลายมากขึ้น

ประเด็นสังคมที่ยิ่งใหญ่ จุดประกายได้จากหนังหนึ่งเรื่อง

หลี่ อัน, ang lee, gay, lgbtq, brokeback mountain, movie
ฮีธ เลดเจอร์ (ซ้าย) ดาราระดับตำนานผู้ล่วงลับ และ หลี่ อัน (ขวา) ผู้กำกับอเมริกัน-ไต้หวัน เจ้าของตุ๊กตาทองคำหลายรางวัล

จากกระแสเหยียดเพศที่ต่อต้านบางส่วนในอดีต สู่วงการภาพยนตร์ที่โอบรับความเท่าเทียมมากขึ้นในวันนี้ ผู้ชมจำนวนมากชื่นชม Brokeback Mountain ที่กล้านำเสนอประเด็นนี้ในวันที่สังคมยังไม่ยอมรับความหลากหลายทางเพศ ซึ่งจากจุดนั้นได้จุดประกายให้เกิดภาพยนต์ LGBTQ+ ดีๆ ตามมาอีกหลายเรื่อง

มีชาว LGBTQ+ หลายคนที่เปิดใจว่าพวกเขารักตัวเองมากขึ้นหลังจากได้ดู Brokeback Mountain และไม่อยากปิดบังตัวตนอีกต่อไป ‘Craig Johnson’ ผู้กำกับและนักเขียนบทชาวอเมริกัน ก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาเล่าว่าหนังเรื่องนี้ทำให้เขากล้าเปิดเผยว่าเป็นเกย์ กล้าที่จะมีความสุขที่เป็นตัวเองมากขึ้น ตอกย้ำว่าภาพยนต์เรื่องนี้มีผลต่อความคิดของผู้คนอย่างมาก

แม้กระทั่งในไต้หวัน ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ หลี่ อัน (หรือ อัน หลี่) ผู้กำกับเอง ก็เกิดมูฟเมนต์ที่ยิ่งใหญ่จาก Brokeback Mountain เช่นกัน คำว่า “dun bui” ซึ่งเป็นภาษาจีนของคำว่า Brokeback ถูกบัญญัติขึ้นโดยกลุ่ม LGBTQ+ ในไต้หวัน และได้นำไปใช้เป็นคำแทนกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ เพื่อเรียกร้องความเท่าเทียม นักกิจกรรมชาวไต้หวันมองว่าภาพยนต์เรื่องนี้ช่วยฉีกอคติทางเพศ และยังนำเสนอชีวิตของชาว LGBTQ+ ออกมาได้สมจริงและลึกซึ้ง

ดูหนังแล้วลองถอยหลัง ออกมาดูสังคม

แสนสิริ, live equally
Sansiri Live Equally

เมื่อเทียบกับ 17 ปีที่แล้ว ในทุกวันนี้ เราได้เห็นสื่อต่างๆ นำเสนอความหลากหลายทางเพศมากขึ้น แต่ยังมีอีกหลายประเด็นที่ต้องผลักดันเพื่อให้เกิดความเสมอภาค อย่าง “การสมรสเท่าเทียม” ที่เป็นประเด็นพูดถึงในวงกว้างของประเทศไทย ณ ช่วงเวลานี้

และถ้าเรามองว่าสิ่งที่ตัวละครทั้ง 2 คนต้องเผชิญเป็นเรื่องน่าเศร้า ยิ่งไม่ควรปล่อยให้มันเกิดขึ้นกับใครในสังคมไม่ว่าเพศสภาพไหนก็ตาม กลุ่ม LGBTQ+ ควรได้รับสิทธิ์ที่จะสมรส และได้สร้างครอบครัวกับคนที่รักโดยมีสิทธิ์ทางกฎหมายเหมือนกับชายหญิง

ย้ำอีกครั้ง! นี่ปี 2022 แล้ว ทัศนคติการเหยียดหรือล้อเลียนเรื่องเพศควรหมดไป เพราะเราทุกคนล้วนมีคุณค่าเท่ากัน แสนสิริขอเป็นอีกหนึ่งกระบอกเสียง ที่พร้อมจะก้าวไปข้างหน้า เพื่อผลักดันความเท่าเทียม และต้องการเห็น “ทุกคนเท่ากัน” อย่างแท้จริง

gay, lgbtq, brokeback mountain, movie

Brokeback Mountain ชวนให้เข้าใจว่าคุณค่าความรักของ LGBTQ+ ไม่ได้น้อยไปกว่าความรักของคู่ครองในอุดมคติสังคมอย่าง ชาย-หญิงเลย ความรักสวยงามไม่ว่าจะเกิดกับใคร ไม่ควรถูกด้อยค่าเพียงเพราะการยึดติดในเพศสภาพ และเช่นเดียวกันก็ไม่ควรถูกตัดสินว่าเป็น “ความฉาบฉวย” แค่เพราะไม่เป็นไปตามที่สังคมคาดหวัง

ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะแสดงความรู้สึกอย่างแท้จริงโดยไม่ต้องปิดบัง และควรได้รับการยอมรับในทุกความแตกต่าง

การเคารพ ให้เกียรติ และปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียม
คือบรรทัดฐานทางสังคม ที่ควรจะเป็น

Image credits : imdb.com

CONTRIBUTOR

Related Articles

equal-marriage-law

เมื่อโลกนี้มี “กฎหมายสมรสเท่าเทียม”

 เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการผ่านร่างฯ กฎหมายสมรสเท่าเทียมของประเทศไทย ในระหว่างที่รอประกาศใช้อย่างเป็นทางการนั้น เรามาย้อนดูการเดินทางกว่า 20 ปี ก่อนที่ “กฎหมายสมรสเท่าเทียม” จะผลิดอกเบ่งบานไปทั่วโลกกันค่ะ  ย้อนรอยการต่อสู้เพื่อความรักที่เท่าเทียมอันยาวนาน อาจจะนานนับศตวรรษ หรือมากกว่านั้นก็เป็นได้ แต่เหตุการณ์ที่สร้างแรงกระเพื่อมให้กับสังคมครั้งใหญ่ก็คือ “เหตุจลาจลที่สโตนวอลล์ หรือ Stonewall Riots” ที่ทำให้เกิดการตั้งคำถามเกี่ยวกับการกดขี่การแสดงออกและอัตลักษณ์ทางเพศ หลังจากนั้นก็มีการต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิและการแสดงออกถึงตัวตนอย่างเสรีภาพอย่างเท่าเทียมมาเรื่อยๆ จนถึงวันที่มี

syndicated oan lgbtqia+

คู่รัก LGBTQIAN+ ต้องรู้! กู้ร่วมอย่างไร ให้ผ่านง่าย

เมื่อคู่รัก LGBTQIAN+ วางแผนอนาคตอยากใช้ชีวิตด้วยกัน หากต้องการมีบ้านในฝันเป็นของตัวเอง จะสามารถ “กู้ร่วม” กันได้ไหม? ตอบเลยว่า “ได้ค่ะ”  เพราะตอนนี้ก็มีธนาคารหลายแห่งให้สินเชื่อที่คู่รัก LGBTQIAN+ สามารถกู้ร่วมกันได้ตามเงื่อนไขเดียวกับ “คู่รักที่ยังไม่ได้สมรสกัน” โดยต้องมี “เอกสารรับรองการอยู่ร่วมกัน” ประกอบในการยื่นกู้ด้วยค่ะ วันนี้เราเองก็ได้รวมเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่จะช่วยให้การกู้ร่วมนั้นมีโอกาสผ่านการอนุมัติง่ายขึ้น มาฝากกันค่ะ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย เพราะเราอยากเห็น

Cyberbullying

Cyberbullying ภัยคุกคามต่อจิตใจที่ทุกคนไม่ควรมองข้าม 

บูลลี่ที่ไม่ใช่แค่แกล้ง การโพสต์ หรือ คอมเม้นต์โดยไม่คิด อาจจะเป็นแผลใจให้ใครบางคนไปตลอดชีวิตเลยก็ได้  ในทุกวันนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Social Media เข้ามามีบทบาทในการดำเนินชีวิตประจำวันของหลายคน ทุกวันนี้อาจจะพูดได้ว่า โลกถูกขับเคลื่อนด้วย Social Media ทำไมนะหรอ? จะเห็นได้ว่าไม่ว่าเราจะไปที่ไหน จะเดินไปบนถนน ขึ้นรถไฟฟ้า เดินไปในห้าง หรือแม้กระทั่งหันไปมองคนข้างๆ ก็จะเห็นคนก้มเล่นโทรศัพท์