ทำไมเชียงใหม่ถึงมีสมญานามมากมาย ว่าเป็นเมืองศิลปินบ้าง เมืองแห่งวิถี slow life บ้าง เมืองแห่งงานฝีมือ เมืองแห่งธรรมชาติมากมายไปหมด ซึ่งลึกๆ แล้ว อาจเพราะเชียงใหม่เป็นเมืองที่เอาความสะเปะสะปะมาอยู่รวมกัน จนเกิดเป็นเอกลักษณ์ แล้วส่งผลมาถึงคนที่อยู่ แม้กระทั่งนักท่องเที่ยวยังสัมผัสได้ถึง “ความเป็นเชียงใหม่” ไม่ว่าจะเป็นจังหวะการใช้ชีวิต สังคมที่เป็นกันเอง ค่าครองชีพแสนสบายกระเป๋า การเดินทางก็ไม่ได้คับคั่งตลอดเวลา ย่านการค้าร้านรวงหลอมรวมไปกับทัศนียภาพตัวเมืองเก่า cafe แบบ modern อยู่ข้างวัด ร้าน all day breakfast อยู่ในย่านตลาดสด ถึงจะใช้ชีวิตกันเนิบๆ ก็เปลี่ยนแปลงสิ่งเกิดใหม่ตลอดเวลา สีสันนานาวัฒนธรรมสลับสับเปลี่ยนกันไปแต่ไม่แปลกแยก หากจะนิยาม คงเหมือนอาหารเหนือฟิวชั่น แถมกลิ่นอายเหล่านี้ นับวันยิ่งเย้ายวนดึงดูดให้คนทั่วทุกสารทิศต้องมาแวะชิมให้ได้ จนบางครั้งติดใจ ยกอาหารจานนี้ให้เป็นจานหลัก ตั้งรกรากเริ่มชีวิตใหม่ที่นี่ก็มีไม่น้อย

อีกหนึ่งสิ่งที่ทรงเสน่ห์ของเมืองนี้ก็คือ “ธรรมชาติ” เพราะเรายังสามารถพบเห็นแปลงนาข้าว หรือทิวทัศน์เทือกเขาโอบล้อม เพียงขับรถ 15-20 นาทีเท่านั้นจากตัวเมือง ถือเป็นทำเลทองของบรรดาที่พักอาศัย และอีกหนึ่งย่านที่น่าสนใจในตอนนี้ ก็คือ “สันผีเสื้อ” เพราะ นอกจากจะเดินทางสะดวกเนื่องจากใกล้วงแหวนรอบที่ 2 และ 3 ตัดผ่านซุปเปอร์ไฮเวย์ ยังง่ายต่อการเข้าถึงสถานที่ราชการ ห้างสรรพสินค้า เข้าตัวเมืองหรือจะเดินทางไปอำเภอรอบนอก อย่างสันกำแพง แม่ริม หางดง ก็ไม่ใช่เรื่องยาก ซึ่งนอกจากจะใกล้เมืองแล้ว ยังคงความเป็นธรรมชาติ อากาศสะอาด เงียบสงบ ยังคงมีความเป็นชุมชนท้องถิ่นสูงมากอีกด้วย แต่เมื่อคิดจะมาอยู่ทั้งที ลองมาเดินช้าๆตามจังหวะ กิน เที่ยว ของชาวเมืองเชียงใหม่กันดูบ้าง ว่านอกจากบ้าน และที่ทำงานแล้ว เขาแอบไปใช้เวลาที่ไหนกันบ้าง

มีนา – Rice Based Cuisine
ไม่ห่างจากตัวเมืองนัก บ้านไม้ทรงไทยโบราณท่ามกลางสวนร่มรื่น ตั้งอย่างเหนียมอายในตำบลสันกลาง อ.สันกำแพง ที่ตั้งร้านอาหารเล็กๆชื่อ มีนา (Meena Rice Based Cuisine) ผลิตเมนูเพื่อสุขภาพด้วยวัตถุดิบตามฤดูกาล บริเวณร้านมีแปลงนาสำหรับปลูกข้าวออแกนิค เพื่อเสิร์ฟเป็นอาหารจานหลักของที่นี่ และแน่นอน เอกลักษณ์ของที่นี่ย่อมหนีไม่พ้น “ข้าว”

เมนูข้าว 5 สี ที่ถูกอัดเป็นก้อนสามเหลี่ยมทรงข้าวปั้น แบ่งเลเยอร์จัดเรียงสีอย่างพิถีพิถัน ข้าวแต่ละสีประกอบไปด้วย ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวกล้องแดง ข้าวหอมมะลิ ข้าวดอกคำฝอย และข้าวอัญชัน ซึ่งเราสามารถเลือกได้ว่าจะทานกี่ชนิดหรือทั้งหมดก็ได้ ส่วนเมนูแนะนำอื่นๆจะเน้นส่วนผสมของข้าวเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็น ยำข้าวสาลี ลาบข้าวโอ๊ต กาแฟข้าวหอม ข้าวกล้องปั่นนมสด หรือจะเป็นอาหารไทย อย่างห่อหมก มัสมันไก่ ก็มีให้เลือกทานอีกมากมาย บรรยากาศที่แสนเป็นกันเอง จะมาทานกับครอบครัวก็อบอุ่นดี หรือจะมาทานคนเดียวก็สบายๆ

GRAPH TABLE – all day breakfast
มูลเมืองซอย 6 ซอยเล็กๆ ที่ตั้งขนาบข้างไปกับตลาดสมเพชร ตลาดสดในตัวเมืองเชียงใหม่ที่แสนจอแจ แต่เมื่อเดินเข้าซอยมาเล็กน้อย ก็จะพบกับอีกบรรยากาศที่แตกต่างอย่างชัดเจน ร้าน Graph Table เป็นหนึ่งในร้านที่แฝงตัวอยู่ในห้องแถวขนาดหนึ่งคูหา แต่ด้วยสไตล์การแต่งร้านที่โดดเด่นจึงสะดุดตาผู้ที่ผ่านไปผ่านมาแถวนั้นได้ง่าย ร้านนี้ถือเป็นการต่อยอดธุรกิจเดิมจากร้าน Graph Cafe ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีอยู่ก่อนแล้วและขึ้นชื่อในเรื่องกาแฟพอสมควรเลยทีเดียว

Graph Table เป็นร้านที่เกิดจากความรักในการทำอาหารของเจ้าของร้าน ดังนั้นเรื่องการคัดเลือกวัตถุดิบและความพิถีพิถันในการปรุงจึงถือเป็นจุดเด่นของร้านนี้ โดยเมนูหลักจะมีทั้งแบบ all day breakfast อย่าง Egg Benedict ทานพร้อมแฮม หรือเครื่องเคียงต่างๆ อีกมากมาย และยังมีเมนูเด็ดประจำร้านอย่าง พิซซ่า และ พาสต้า ที่ทางร้านนวดแป้งกันเองแบบสดใหม่วันต่อวัน ทานคู่กาแฟร้อนๆ สักแก้ว นั่งทอดน่องดูนักท่องเที่ยวเดินผ่านไปมา อาจทำให้เพลินจนเวลาผ่านไปแบบไม่รู้ตัว
ท่าแพ East & Dibdee Cafe by dibble binder – Cafe, Art Space, Live Music
Dibdee Studio คาเฟ่เล็กๆของกลุ่มผู้รักการเย็บสมุด ที่มาบุกเบิกตึกเก่าที่ถูกทิ้งร้างบนถนนท่าแพ ย่านที่ยังคงกลิ่นอายของวัฒนธรรมเชียงใหม่อย่างชัดเจน ตึกรามบ้านช่องส่วนใหญ่ที่ยังคงมีกลิ่นอายยุคบ้านตึกสมัยก่อน ถูกนำมาปรับปรุง และแปลงโฉมให้กลายมาเป็นร้านกึ่งคาเฟ่กึ่งสตูดิโอ เป็นทั้งที่ทำงานเย็บสมุดและงานฝีมือต่างๆ ดำเนินกิจการไปพร้อมกับเปิดพื้นที่ให้คนเข้ามานั่งชิวจิบกาแฟ อ่านหนังสือ ส่วนหน้าร้านถูกจัดเป็นช็อปขายของแฮนด์เมดเล็กๆ บรรยากาศน่ารักๆ
ต่อมาพื้นที่แห่งนี้ถูกเพิ่มชีวิตชีวา โดยเหล่านักดนตรีและสต๊าฟร้าน North Gate Jazz Co-op ที่เข้ามาปรับปรุงและพัฒนาจากพื้นที่รกร้างที่ก่อสร้างไม่เสร็จ ให้กลายเป็นพื้นที่ศูนย์กลางการจัดแสดงแบ่งปันงานศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นด้านดนตรีและภาพยนตร์ จนถึงงานแสดงภาพศิลป์ ซึ่งมีทั้งจากศิลปินไทยและต่างชาติ ถือเป็น Art Hub ที่สามารถมาเสพศิลปะกันได้ทุกวัน รายละเอียดงานแต่ละสัปดาห์จะถูกแจ้งผ่านเฟสบุ๊ค Thapae East – Venue for the Creative Arts หากสนใจหรืออยากแสดงผลงาน ก็เพียงแค่นัดวันเวลา และเเจ้งรายละเอียดของงานไว้ในกล่องข้อความได้เลย

 Fern Forest Cafe
ถึงแม้จะอยู่ในตัวเมืองชั้นใน และเมื่อไม่นานมานี้ Fern Forest Cafe ได้ย้ายไปเปิดหน้าร้านแห่งใหม่ ห่างจากที่เดิมไปเล็กน้อย ซึ่งเดิมทีเปิดในพื้นที่บ้านของตัวเอง แต่ร้านเค้กยุคบุกเบิกของเชียงใหม่ร้านนี้ ยังสามารถดึงเอาความวินเทจร่วมสมัย ผสมผสานกับสวนเฟิร์นอันเป็นเอกลักษณ์ได้อย่างลงตัว แม้ว่าอากาศจะร้อนแค่ไหน ความร่มรื่นของบรรดาเฟิร์นก็ช่วยบรรเทาความร้อนได้เป็นอย่างดี

เพราะเป็นร้านที่อายุอานามไม่น้อย ลูกค้าที่นี่จึงมีทุกกลุ่ม ตั้งแต่คนท้องถิ่นที่มาแบบครอบครัว มานั่งคุยงาน หนุ่มสาวมาแวะทานเค้ก หรือแม้กระทั่งนักท่องเที่ยวก็มีไม่น้อย ด้วยเพราะรสชาติที่เสมอต้นเสมอปลาย โดยเฉพาะ เค้กมะพร้าว ที่หวานกลมกล่อม หอมกะทิอ่อนๆ เนื้อเค้กเนียนละเอียดที่พร้อมละลายไปในปาก และบาน็อฟฟี่หอมหวาน สองเมนูยอดฮิตลอดกาล ทำให้เฟิร์นฟอเรสยังคงเป็นร้านที่เวลาจะทานเค้ก ชาวเชียงใหม่ก็จะนึกถึงเสมอ

ตลาดเชียงใหม่อาหารปลอดภัย “จริงใจ มาร์เก็ต” (JJ Market)
ทุกเช้าวันอาทิตย์ นอกจากเป็นวันพักผ่อนอยู่บ้านแล้ว อีกที่หนึ่งที่เหล่านักรักสุขภาพมักไปรวมตัวกัน ก็คือ ตลาดอาหารปลอดภัย ใน จริงใจ มาร์เก็ต เพราะที่นี่เป็นอีกหนึ่งในโครงการของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อผลักดันให้เชียงใหม่เป็นจังหวัดแห่งพืชอาหารปลอดภัย ทำให้มีการตรวจสารพิษในวัตถุดิบอย่างสม่ำเสมอ และค่อนข้างเชื่อถือได้

พ่อค้าแม่ค้าที่ทำการเกษตรปลอดสาร เขาจะนำผลิตภัณฑ์สดใหม่จากสวน ไร่ นา มาวางขายกัน มีทั้งผักท้องถิ่นและผักเศรษฐกิจทั่วไป ผลไม้สด ข้าวสารนานาพันธุ์ ไปจนถึงอาหารเจ เต้าหู้ ก็มีให้สามารถจับจ่ายได้ที่นี่ตั้งแต่ช่วงเช้า แต่ของสดของดีไม่เคยรอใคร ดังนั้นจริงใจมาร์เก็ตจึงคึกคักสุดๆ ตั้งแต่ช่วงตลาดเปิด นอกจากนั้นยังมีโซนอาหารปรุงสุกให้ช็อปและคลอเคล้าไปกับเสียงดนตรีโฟล์คสบายๆ เพิ่มความสดใสให้กับยามเช้าวันอาทิตย์

บ้าน “ข้างวัด” – Community & Art Space
ความเป็นชุมชน ถือเป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ที่น่ารักของเชียงใหม่ แต่หากจะกล่าวถึงชุมชนที่นอกจากจะอบอุ่นเข้มเเข็งแล้วยังเต็มไปด้วยความสร้างสรรค์ คงต้องยกให้ ชุมชน บ้าน “ข้างวัด” ภายใต้แนวคิดถ้อยทีถ้อยอาศัยของชุมชนเล็กๆ ที่ต้องการคงไว้ซึ่งวิถีชีวิตเรียบง่ายแบบเกื้อกูลกัน บ้านไม้หลังเล็กๆ ที่ผ่านการออกแบบและจัดสรรพื้นที่อย่างร่วมสมัย เรียงรายอิงแอบกันในบรรยากาศสบายๆ
ที่ชุมชนบ้านข้างวัดมี “ลานมหรสพ” ขนาดกำลังดีสำหรับโอกาสพิเศษ เช่น ฉายหนังกลางแปลง งานดนตรีเล็กๆ หรือการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ตั้งแต่ระดับชนเผ่าไปจนถึงนานาชาติ นอกจากนี้ บ้านแต่ละหลังยังเปิดเป็นกิจการขนาดกะทัดรัด ไม่ว่าจะเป็นห้องสมุด “มาหาสมุด” ที่สร้างจากความรักของนักสะสมหนังสือและจัดตั้งเป็นห้องสมุดสาธารณะ เปิดพื้นที่ให้หนอนหนังสือทั้งหลายได้เข้าถึงหนังสือระดับวรรณกรรมชั้นเยี่ยมแบบฟรีๆ มีสตูดิโอ พื้นที่สอนศิลปะให้กับบุคคลทั่วไป มีร้านกาแฟรสชาติเยี่ยม The Old Chiangmai ของบาริสต้ารุ่นใหญ่ และยังมี Bookoo Studio โชว์รูมของแต่งบ้านของคุณบิ๊ก ณัฐวุฒิ รักษ์ประสิทธิ์ ผู้ริเริ่มโครงการบ้านข้างวัดและยังรับสอนงานเซรามิกอีกด้วย แต่ละร้านในชุมชนบ้านข้างวัดล้วนแล้วแต่มีคอนเซ็ปต์น่าสนใจ ใครอยากสัมผัสวิถีชุมชนสร้างสรรค์ในบรรยากาศน่ารักๆ แนะนำให้ลองแวะเวียนไปกัน

เลนปั่นจักรยาน เส้นทางหน้าศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ-ห้วยตึงเฒ่า – สนามกีฬา 700 ปี
เมื่อกระแสของจักรยานยังคงแรงไม่ตก ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ระยะทาง 4.7 กิโลเมตรบนถนนเส้นเลียบคันคลองชลประทานจึงถูกจัดให้เป็นเลนจักรยานพร้อมที่กั้น เพื่อความปลอดภัยและเพื่อป้องกันรถจักรยานยนต์ อีกทั้งยังมีลู่วิ่งสำหรับผู้ที่รักการออกกำลังกายด้วย เลนปั่นจักรยานเส้นทางนี้ยาวไปสิ้นสุดที่อ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่า ถือเป็นเส้นทางที่มีความปลอดภัยสูง ไม่ร้อนเกินไป เพราะมีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาระหว่างทางเป็นระยะ เหมาะกับการพาเด็กๆ มาปั่นจักรยานออกกำลังกันเป็นครอบครัว

สนามกีฬา 700 ปี ที่นอกจากจะเคยถูกใช้ในการจัดแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 18 แล้ว ยังเปรียบเหมือนสวนสาธารณะขนาดใหญ่ประจำเมืองอีกด้วย เพราะความร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่และความใกล้ภูเขา ทำให้อากาศที่นี่ปลอดโปร่งและเย็นสบายกว่าที่อื่นๆ ที่สำคัญคือพื้นที่ส่วนใหญ่ไม่เก็บค่าใช้บริการ ส่วนที่ต้องจ่าย อย่างเช่น สนามเทนนิส หรือ สระว่ายน้ำ ก็ถือว่าเก็บค่าบริการในราคาที่เป็นมิตรมากๆ นอกจากจะได้ปั่นจักรยานอย่างปลอดภัยแล้ว ยังสามารถวิ่ง เดิน ปิคนิค ทำกิจกรรมกับครอบครัวในวันสบายๆ ได้อีกด้วย

Mojo Cafe & Gallery – Live music
แสงสียามค่ำคืนกับดนตรีสด ถือเป็นอีกไฮไลท์หนึ่งของเชียงใหม่ เมืองที่เป็นแหล่งบ่มเพาะศิลปินมากมายในวงการอินดี้ และอีกไม่น้อยที่ได้ไปแหวกว่ายในกระแสหลัก Mojo Cafe & Gallery นับเป็นอีกแห่งหนึ่งที่คอดนตรีโดยเฉพาะสาย Jazz, Blues และ Soul ไม่ควรพลาด แม้บ้านไม้หลังเล็กริมแม่น้ำปิงแห่งนี้จะถูกขนาบ ด้วย Pub & Restaurant ชื่อดังของเชียงใหม่ แต่ Mojo ให้บรรยากาศที่แตกต่างออกไป เป็นเหมือนบ้านของคนที่หลงใหลในความสดใหม่ของดนตรี มารวมตัวสังสรรค์อย่างเป็นกันเอง จิบเครื่องดื่มเย็นๆ เพลิดเพลินไปกับดนตรีที่ไม่มีความตายตัวเสน่ห์ของ Mojo Cafe & Gallery คือศิลปินที่ขึ้นมาเล่นจะถูกสลับแนวกันไป อาจเปิดด้วยบลูส์ ต่อด้วยหมอลำ แล้วปิดด้วยร็อค ไม่ว่าจะเป็นเพลงเก่าระดับตำนาน หรือเพลงที่แต่งเองโดยเจ้าของร้านและสหายที่ผลัดกันขึ้นมาแจม สร้างความหลากหลายให้กับคอดนตรีที่มาฟัง แต่ของดีไม่ได้มีให้ฟังกันทุกวัน ร้านนี้เปิดแค่คืนพฤหัส ศุกร์ และเสาร์ เพียง 3 วันเท่านั้น สำรวจตารางการแสดงดนตรีสดของแต่ละสัปดาห์ได้ที่ facebook ของทางร้าน

อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย เชิงดอยสุเทพ
บริเวณทางขึ้นดอยสุเทพ ใกล้กับสวนสัตว์เชียงใหม่ เป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาไทยผู้เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวเชียงใหม่ ทั้งผู้คนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวต่างนิยมเดินทางมานมัสการอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย ก่อนเดินทางขึ้นไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพหรือขึ้นไปเที่ยวบนดอยสุเทพและดอยปุย

ชาวเชียงใหม่จำนวนมากนิยมตื่นแต่เช้ามารอทำบุญตักบาตรกันที่บริเวณนี้ เพราะจะมีพระภิกษุสามเณรเดินบิณฑบาตรเป็นแถวยาวนับร้อยรูป พระภิกษุจำนวนมากเหล่านี้เป็นพระเณรจากวัดศรีโสดา ซึ่งเป็นวัดที่ชาวเขานิยมมาบวชเรียน นอกจากนี้ หากไม่สะดวกเตรียมข้าวสารอาหารแห้งมาใส่บาตรเอง ก็สามารถซื้อหาได้ที่นั่นเลย เพราะพ่อค้าแม่ขายจะนำทั้งอาหารสดอาหารแห้งมาเป็นชุดพร้อมจำหน่าย ธรรมเนียมที่ควรทราบก่อนไป คือถึงจะเช้าแค่ไหนก็ควรแต่งกายให้สุภาพ เพราะอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย เชิงดอยสุเทพถือเป็นสถานที่ที่ชาวเชียงใหม่ให้ความเคารพกันอย่างมาก

Ponganes Espresso & Roastery
เชื่อว่าแผนของหลายคนเมื่อมาถึงเชียงใหม่ คือการทัวร์ร้านกาแฟ เพราะนอกจากเชียงใหม่จะขึ้นชื่อเรื่องร้านนั่งบรรยากาศสบายๆ ที่กระจายตัวอยู่ทั่วเมืองอย่างนับไม่ถ้วนแล้ว ยังถือเป็นเมืองที่มีร้านกาแฟขนาดเล็กที่มีคาแรคเตอร์ของตัวเองมากมายเช่นกัน และแห่งหนึ่งในนั้นคือ Ponganes Espresso ด้วยความพีถีพิถันตั้งแต่การคัดเลือกเมล็ด การชง บวกกับความเอาใจใส่ในทุกรายละเอียดที่เกี่ยวกับกาแฟ ทำให้เจ้าของร้านไปเสาะแสวงหาเมล็ดกาแฟมาจากหลากหลายแหล่ง ทั้งในประเทศเอง และต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น เอธิโอเปีย คอสตาริก้า ลาว หรือแม้กระทั่งเมล็ดระดับโลกอย่าง Geisha จากไร่ Hacienda La Esmeralda ที่ปานามา มาให้เหล่าคนรักกาแฟได้ลองดื่มกันที่นี่
อีกหนึ่งจุดเด่นของร้าน คือการคัดสรรเมล็ดกาแฟจากแหล่งต่างๆ นำมาเบลนด์ เพื่อให้ได้กลิ่นและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เป็น House Blend เฉพาะตัวของร้าน โดยหลักๆ จะมี 2 ตัว คือ Seasonal Blend ที่ใช้เมล็ดกาแฟของไทย และ Ocean Blend ที่นำเมล็ดกาแฟของต่างประเทศมาผสมด้วย ทุกกระบวนการที่ Ponganes Espresso ถูกทำขึ้นอย่างพิถีพิถันผ่านเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ที่มีความยอดเยี่ยมในระดับสากล ตั้งแต่เครื่องคั่วไปจนถึงเครื่องชง ถ้ามองหากาแฟดีๆ ในเชียงใหม่ แวะไปร้านนี้ ไม่มีผิดหวังแน่นอน

นี่อาจจะเป็นแค่เพียงสิ่งดีๆเพียงจุดเล็กๆในเชียงใหม่ แต่หากได้สัมผัสและรู้จักเชียงใหม่ในมุมมองคน ท้องถิ่นให้มากขึ้นรับรองว่าจะต้องหลงรักอย่างถอนตัวไม่ขึ้น

เครดิตข้อมูลและภาพ:

Written by Jiraubol Supawan | Cultured Creatures
Photography by Yolploy Ittipunkul and Phrawa Kaewrai

คุณอาจสนใจโครงการในจังหวัดเชียงใหม่ของแสนสิริ คลิก