Chubby Nida
ศิลปินผู้ก้าวข้ามความแตกต่าง
สู่เส้นทางแห่งความสุข

หลายคนคงได้เห็นภาพงานกราฟิกน่ารักๆ ภายใต้แคมเปญ Live Equally ของเราไปแล้ว นั่นคือผลงานของ ‘Chubby Nida’ ศิลปินผู้ก้าวข้ามความแตกต่าง ผ่านหลากหลายคำวิจารณ์ จนได้เจอทางที่เป็น The Best Version ของตัวเอง

วันนี้เราจึงอยากพาทุกคนไปทำความรู้จักกับเธอ พร้อมเผยเหตุผลที่ทำไมแสนสิริ เลือกที่จะร่วมงานกับเธอเพื่อถ่ายทอดแนวคิด HOW YOU LIVE MATTERS เติมเต็มทุกความต่าง กว่าเธอจะพบทางที่ใช่ และยืดหยัดบนสังคมนี้ได้ ‘เธอ’ ต้องแลกอะไร ค้นหาตัวตนนานแค่ไหน ก้าวข้ามผ่านอุปสรรถที่ถาโถมยังไง มาสัมผัสประสบการณ์ของเธอ พร้อมดื่มด่ำศิลปะผสานแนวคิดดีๆ ที่ (อาจ) เปลี่ยนให้เราเป็น Best Version อยู่ร่วมกันกับคนในสังคมอย่างเท่าเทียม

Chubby Nida กับสิ่งพบเจอในตอนที่ยังเด็กว่า..เพื่อนไม่ให้เล่นด้วย เพราะเรา ‘ไม่เหมือนคนอื่น’

เป็นความจริงอันน่าตกใจ ที่กลายเป็นเรื่องธรรมดาในสังคมชั่วขณะนี้ ที่ว่า..หากใครไม่ได้มีรูปลักษณ์ตามสแตนดาร์ดและความคาดหวังของสังคม ก็จะถูกมองว่า ไม่ได้เป็น ‘ส่วนหนึ่ง’ ของสังคม

แม้กระทั่งเด็กตัวเล็กๆ ชั้นป.1 อย่างเธอ ที่ควรจะเติบโตอย่างสดใส ก็กลายเป็นคนที่ไม่มีเพื่อนเล่น เพราะแค่ไม่เหมือนเพื่อนคนอื่น จวบจนวัยเฟรชชี่เข้ามหาลัยฯ หัวใจดวงน้อยๆ ก็ยังบอบช้ำ เธอเล่าเหตุการณ์ที่ติดอยู่ในใจให้ฟังว่า “นั่งเก้าอี้ดูคอนเสิร์ตอยู่ดีๆ ลุกขึ้นแป้บเดียว รุ่นพี่ผู้ชายก็เอาเก้าอี้เรา ไปนั่งกับเพื่อนผู้หญิงที่สวยๆ” และสิ่งที่ทำให้นอยด์กว่าเดิม ก็คงเป็นคำพูดของเพื่อนสนิทที่บอกกับเธอว่า “เรื่องบางเรื่อง ไม่ต้องคิดมากขนาดนั้นก็ได้” ยิ่งทำให้เป็นปมในใจมากกว่าเดิม

แต่หลังจากวันร้ายๆ เหล่านี้ ก็ยังมีแสงสว่างเกิดขึ้น เพราะช่วงที่ได้มีโอกาสไปเรียนอังกฤษนี่แหละ เป็นโอกาสที่พลิกชีวิตของเธอสุดๆ เธอได้ค้นพบโลกอีกใบ ที่ห่างไกลจากคำว่า ‘แสตนดาร์ด’ ของสังคมไทย ที่นั่น…ทุกคนต่างใช้ชีวิตของตัวเอง ทำให้เธอได้สัมผัสคำว่า ‘ความเท่าเทียม’ เป็นครั้งแรก ไม่ว่าใครจะเป็นยังไง Chubby หรือไม่ ทุกคนล้วนแล้วแต่ได้รับโอกาสที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและมั่นใจ ในแบบของตัวเอง ซึ่งจุดนี้เอง..ที่ทำให้เธอเริ่มค้นพบ ‘ทางแห่งความสุข’

เธอค้นพบว่า เราสามารถมีความสุขได้ ไม่ต้องแคร์ใคร และไม่ผิดที่ใครจะมีรูปร่างแบบไหน เราก็สามารถ express ความเป็นตัวของตัวเองได้ จากความมั่นใจที่เพิ่มขึ้น ก็ทำให้เธอค้นพบหลายๆ สิ่ง รวมถึง ‘ชื่อ’ และ ‘ลายเส้น’ ที่ยังคงเอกลักษณ์จนถึงทุกวันนี้

เธอภูมิใจกับชื่อ Chubby Nida มาก เพราะมันทั้งบ่งบอกคาแร็กเตอร์อันแสนน่ารักของเธอ และยังสื่อถึงลายเส้นที่เน้นเอกลักษณ์ความนุ่มนิ่ม ของตัวการ์ตูนแสนจ้ำม่ำเอาไว้ด้วย

ความเจ็บปวดตั้งแต่เด็กจนโต หล่อหลอมให้เธอเป็นเธอได้อย่างสมบูรณ์แบบ แม้ในสังคมที่รายล้อมไปด้วยแนวคิดที่ไม่เฮลตี้ แต่เธอนี่แหละ..คือความเฮลตี้ ที่สังคมรอคอย

“ตั้งแต่จำความได้ ก็ไม่เคยเปลี่ยนความฝัน อยากเป็นศิลปินมาตั้งแต่เด็ก” คำพูดของ Chubby Nida ที่ทำให้เห็นว่า อะไรก็มาฉุดรั้งความฝันไว้ไม่ได้!

จากการค้นพบตัวตน ข้ามผ่านเรื่องราวมากมาย เธอก็ได้พบพื้นที่แห่งความสุขเล็กๆ ที่ชื่อว่า ‘ศิลปะ’ เธอเล่าว่า ทุกชิ้นงาน ทำให้ได้ตกตะกอนความคิดตัวเอง ว่าในช่วงเวลานั้นๆ รู้สึกอะไร ก็จะ Express ความรู้สึกออกไป บนผืนผ้าใบอย่างเต็มที่

แต่กว่าจะพิชิตเส้นทางศิลปินได้อย่างสวยงาม ประสบการณ์ที่ผ่านมา ก็ยังคอยหลอกหลอนอยู่ไม่น้อย เธอคิดถึงขั้นว่า ‘ใส่ชุดแบบนี้ได้มั้ย?’ หรือจะทำอะไร ก็ต้องคอยแคร์สายตาคนอื่น ซึ่งมันก็มีผลกระทบต่อชิ้นงานบ้าง แต่ท้ายที่สุดแล้ว..เธอก็ค่อยๆ พยายามเรียนรู้ เติบโต และอยู่กับแนวคิดฝังลึกในสังคมได้อย่างเข้าใจ

พูดถึงเรื่องผลงาน เธอนิยามงานของตัวเองว่า ‘เป็นสิ่งที่ทำให้คนที่พบเจอเรื่องราวมาเหมือนกันไม่รู้สึกโดดเดี่ยว’ ทำให้สังคมรู้ว่า ยังมีอีกหนึ่งพื้นที่ ที่คอยเข้าใจ โดยงานของเธอ จะเน้นสื่อสารความรู้สึกที่ตกค้างในบางจังหวะออกไป หากใครที่รู้สึกเหมือนกัน ก็รู้สึกได้ว่า พวกเค้าไม่ได้โดดเดี่ยวอยู่คนเดียว ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ มี Follower แอบส่งข้อความที่ทำให้ใจฟูมาหาเธอว่า “งานของเราไปช่วยเค้า get through the dark time” จับมือให้ผ่านช่วงเวลาอันมืดมิด พาชีวิตเดินไปต่อได้ ถือว่าประสบความสำเร็จไปอีกก้าวเลยในฐานะศิลปิน

แม้ว่าเส้นทางศิลปินดูเหมือนจะไปได้ด้วยดี แต่ก็มีบางที ที่เธอไม่มีความสุข เพราะมัวแต่คิดถึงการพิชิต Goal อยากไปถึงจุดที่ทุกคนมองเห็น อุปสรรคทางความคิดแบบนี้แหละ ที่มาคอยขัดขวางความสุขของเธออยู่บ่อยๆ แต่ท้ายที่สุดแล้ว…เธอก็เข้าใจได้ว่าระหว่างทางไปถึงความสำเร็จ ความสุขเล็กๆ ก็เกิดขึ้นได้ทุกวัน แค่ได้แสดงตัวตนผ่านงานที่รัก เจอลูกค้าที่ดี หรือมีคนมาให้กำลังใจ แค่นี้ก็เพียงพอให้ก้าวต่อไปแล้ว

แคมเปญที่เกิดมาเพื่อเรา “มันไม่ใช่แค่เรื่องของเพศ แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนเท่าเทียมเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็สมควรที่จะได้ใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง” 

จากผลงานอันน่าประทับใจ ทำให้เราเห็นว่า Chubby Nida คือศิลปินที่จะมาสื่อสารทุกความคิด ผ่านศิลปะออกไปได้อย่างดีที่สุด ซึ่งเธอเอง ก็ตกหลุมรักและ
อยากร่วมงานตั้งแต่ได้ยินชื่อแคมเปญ

‘Live Equally’ แคมเปญที่ส่งเสริมเรื่องความเท่าเทียมที่ไม่ได้พูดแค่เรื่องเพศอีกต่อไป แต่ตั้งใจให้สังคมมอบ ‘โอกาส’ กับทุกคนที่ยังขาด…ได้เลือกใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการ โอกาสที่จะเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่ และโอกาสที่จะได้ค้นพบทางแห่งความสุข เพราะเราไม่ได้มองแค่ในกรอบของรูปลักษณ์ เพศวิถี อายุ สรีระ หรืออะไรก็แล้วแต่ เรามองเพียงว่า เป็นคุณแบบไหนก็ได้นี่แหละ ดีที่สุดแล้ว หากยิ่งได้รับโอกาสและความเท่าเทียมในด้านต่างๆ มากขึ้น เราเชื่อว่าทุกคนจะสามารถมี Best Version ของตัวเอง

ซึ่งผลงานที่เธอได้ทำร่วมกับแสนสิริ ก็จะเป็นการนำเสนอภาพของสังคมในหลากหลายมิติ หลายมุมมอง ที่ผู้คนไม่ได้ถูกตีกรอบตามอัตลักษณ์ทางสังคมใดๆ แต่จะ Explore ว่า คนในสังคม ควรได้รับ ‘โอกาส’ แบบไหน ที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เช่น คนพิการที่ทำงานได้อย่างแข็งขัน หรือคู่รักเพศเดียวกันที่ได้แต่งงานอย่างถูกต้องตามกฏหมายและอบอวลไปด้วยมวลความสุข เพื่อสะท้อนว่าทุกคนควรได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่ถูกหลงลืม

จากทุกเรื่องราวในชีวิต เธอก็ได้ตกตะกอนความคิด ว่าทุกชีวิตที่แตกต่างสิ่งสำคัญที่ควรได้รับเหมือนกัน ก็คือ ‘โอกาสที่จะได้มีความสุข’

คำตอบส่งท้าย ที่ฮีลใจของทุกคนจาก Chubby Nida ‘ความเท่าเทียม’ ในมุมมองของเธอคือ “ทุกคนมีตัวตนที่แตกต่างกัน ตามประสบการณ์ที่มีมา กระทั่งตัวเธอเอง ยังแตกต่างและไม่เหมือนใคร ซึ่งมันทำให้คิดได้ว่า ไม่จำเป็นว่าคนๆ นั้น จะต้องเป็นคนในแบบที่เราคุ้นเคย นิสัยยังไง รูปร่างแบบไหน ดีหรือไม่ดี แต่สิ่งที่เราควรมีให้ทุกคนอย่างเท่ากัน คือ ‘ความเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน’ แค่เคารพเค้าในฐานะที่เป็นมนุษย์คนนึงเหมือนกัน และให้โอกาสเค้าใช้ชีวิตอย่างมีความสุขด้วยก็พอ”

ซึ่งหากมองย้อนไปถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เธอได้สัมผัสมา จะเห็นว่า เธอเองก็เคยถูกมองข้ามและไม่ได้รับโอกาสหลายๆ ด้านเช่นกัน ดังนั้น เราสามารถเปลี่ยนสังคม ให้เป็นสังคมแห่งความเสมอภาคและเท่าเทียมได้ เพียงแค่เริ่มต้นปรับทัศนคติใหม่ ไม่ไปสร้างความเจ็บปวดและบาดแผลทิ้งไว้ให้ใคร สนับสนุนการเป็น Best Version ของทุกคนให้ได้มากที่สุด

และนอกจากนี้ การได้ทำแคมเปญ ‘Live Equally’ ก็ถือเป็นการส่งเสริมความเท่าเทียมในแบบฉบับเธอได้อีกทางหนึ่ง เธอมองว่า ประเทศเราอาจไม่ได้มีพื้นที่หรือโอกาสสำหรับคนทุกเพศทุกวัยขนาดนั้น

ดังนั้น เธอจึงหวังว่า ศิลปะในแบบฉบับของเธอ จะเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่คอยอยู่เคียงข้าง ซัพพอร์ตทุกคน ไม่ว่าใครจะเป็นแบบไหน เธอก็พร้อมเคารพในความแตกต่างอย่างเท่าเทียม และอยากให้ทุกๆ คน ได้มีโอกาสใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองชอบ ที่ตัวเองเลือก อย่างดีและมีความสุขที่สุด

CONTRIBUTOR

Related Articles

Ready Set Marry

เมื่อรัก คือ รักบนความเท่าเทียม ชีส & รถเมล์

หากลองคิดดูจากผู้คนนับล้านคนจะมีสักกี่คนที่เกิดวัน เดือน ปี เดียวกัน แล้วได้โคจรมาเจอกัน มากกว่านั้นคือได้กลายเป็น “คู่รัก” กัน เช่นเดียวกับคู่ของ “ชีส” – ณัฐฐิยา สงวนศักดิ์ และ “รถเมล์” – ชัญญานุช มะลิมาตร ที่ร่วมกันถักทอเรื่องราวความรักต่างๆ ร่วมกันมาจนจะเข้าปีที่

Ready Set Marry

เมื่อรัก…คือ การให้ความสำคัญ กับคนที่อยู่เคียงข้าง ลูกไม้ & มาย

แสนสิริ ขอชวนทุกคนมาร่วมกันนับถอยหลังสู่วันที่ประเทศไทยจะมี “สมรสเท่าเทียม” อย่างเป็นทางการ โดยคู่รักทุกคู่จะสามารถจดทะเบียนเป็น “คู่สมรส” และได้รับสิทธิตามกฎหมายอย่างเท่าเทียมพร้อมกันในวันที่ 22 มกราคม 2568 ผ่านแคมเปญ Ready, Set, Marry! เริ่มจากคู่รักสายแฟชั่น ‘ลูกไม้’ อินทิรา หอมเทียนทอง และ ‘มาย’

ส่งต่อโอกาสทางการศึกษาผ่านโครงการ ZERO DROPOUT

Zero Dropout  เพราะ “การศึกษา” เปรียบเสมือนใบเบิกทางต่อยอดสู่อนาคต แต่กลับมีข้อจำกัดหลายประการ อาทิ รายได้ในครอบครัวไม่เพียงพอ สภาพแวดล้อมไม่เอื้อต่อการศึกษา เด็กบางคนต้องช่วยที่บ้านทำงานจนเรียนไม่ทัน หรือขาดเอกสารในการยืนยันตัวตน ทำให้ “เด็ก” หลายคนหลุดออกจากระบบการศึกษาและพลาดโอกาสในการทำตามความฝันและพัฒนาสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น    โครงการ “Zero Dropout เด็กทุกคนต้องได้เรียน” เป็นสิ่งที่แสนสิริมีความมุ่งมั่นตั้งใจริเริ่มขึ้นเพื่อสร้างความเสมอภาค ลดความเหลื่อมล้ำ