EVERY BLOOMING
HAS A STORY
เพราะดอกไม้...มีความหมาย
กว่าที่คิด

ทุกเรื่องราวดีๆ มีเบื้องหลังซ่อนอยู่ ที่คุณเองอาจจะยังไม่รู้

ในปีนี้แสนสิริเฉลิมฉลองการต่อสู้เรื่องสมรสเท่าเทียมผ่านคอนเซ็ปต์ “HOPE BLOOMS, LOVE WINS”  เพราะครั้งนี้ความหวังได้ก่อตัวขึ้น และเริ่มเบ่งบานดั่งดอกไม้ที่พร้อมจะเฉิดฉาย เหมือนกับดอกไม้ที่เราได้เลือกมาใช้ในดีไซน์ของชิ้นงานในครั้งนี้ แต่ดอกไม้เหล่านี้ไม่ใช่มีเพียงแต่ความสวยงาม หากแต่บ่งบอกและซ่อนเร้นไว้ด้วยความหมายที่เกี่ยวโยงกับ LGBTQIA+ ด้วย เราลองมาดูกันว่าดอกไม้แต่ละดอกมีความหมายว่าอย่างไร

เพราะทุกดอก มีเรื่องราวอยู่ในนั้น

EVERY BLOOMING HAS A STORY

EVERY BLOOMING HAS A STORY

เริ่มกันที่ดอกคาร์เนชันสีเขียว ดอกไม้ดอกนี้เป็นสัญลักษณ์แทนความรักระหว่างเพศเดียวกัน ซึ่งจะสื่อความถึงเกย์ (Gay) ที่เป็นแบบนั้นเพราะมีจุดเริ่มต้นมาจากนักกวีระดับโลกในอดีตที่มีชื่อว่า “ออสการ์ ไวล์ด” เขาคนนี้มักจะติดดอกคาร์เนชันสีเขียวไว้บนปกเสื้อ และด้วยผลงานนวนิยายเรื่อง The picture of Dorian Gray ของเค้าเป็นที่โด่งดัง ซึ่งมีตัวละครรักร่วมเพศอยู่ในเรื่อง ทำให้สิ่งนี้เป็นหนึ่งในสิ่งที่ผู้คนในสมัยนั้นตั้งข้อสงสัยจนนำไปสู่การฟ้องร้องตัวออสการ์ ซึ่งเรื่องรักร่วมเพศในยุคนั้นยังไม่ได้รับการยอมรับเท่าไร

ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าเหตุผลหรือความหมายที่ออสการ์ติดดอกคาร์เนชันสีเขียวไว้บนปกเสื้อคืออะไรกันแน่ แต่ก็ถูกตีความว่าเค้าสนใจเพศเดียวกันในช่วงเวลานั้น

ในปัจจุบันดอกคาร์เนชันสีเขียวกลายเป็นอีกหนึ่งวิธีแสดงออกทางสัญลักษณ์ในการแสดงถึงคนรักเพศเดียวกัน บางครั้งก็ถูกหยิบมาใช้โดยดาราระดับโลกหรือการกลัดดอกไม้กับสูทในการออกงานสังคมนั่นเอง

EVERY BLOOMING HAS A STORY

ดอกแพนซีหรืออีกชื่อหนึ่งว่าดอกหน้าแมว เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมแดร็กควีน ไปจนถึงสัญลักษณ์ต่อต้านความเกลียดกลัวคนรักเพศเดียวกัน (Homophobia)

ในส่วนของความเกี่ยวข้องกับแดร็กควีน ต้องย้อนไปที่สหรัฐอเมริกาในช่วงปี 1950-1960 ก่อนเกิดเหตุการณ์ปราบปรามกลุ่ม LGBTQIA+ ครั้งใหญ่ที่บาร์ ‘สโตนวอลล์ อินน์’ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของ pride month ในเวลาต่อมา

วัฒนธรรมการสร้างความบินเทิงด้วยแดร็กควีน (Drag Queen) เป็นที่นิยมมากตามคลับใต้ดินหรือบาร์เกย์ในยุคนั้น ซึ่งรูปแบบการแสดงที่รู้จักกันในชื่อ “Pansy Caze” นั้นได้อินสไปร์มาจาก “ดอกแพนซี” นั่นเอง

ในแง่ของความหมาย ดอกแพนซีมีความหมายสื่อถึง ความรักแบบเสน่หา ความเห็นอกเห็นใจ และการมีอิสระทางความคิด

EVERY BLOOMING HAS A STORY

ในช่วงศตวรรษที่ 20 ดอกไวโอเลตได้ถูกเชื่อมโยงเข้ากับความรักความสัมพันธ์แบบหญิงรักหญิง ที่เป็นแบบนี้เพราะได้รับอิทธิพลมาจากตำนานเก่าแก่ของ “แซฟโฟ (Suppho)” กวีหญิงในยุคกรีกโบราณ ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องรักร่วมเพศ

“แซฟโฟ (Suppho)” คือกวีหญิงที่อาศัยอยู่บนเกาะเลบอส ประเทศกรีก บทกวีของแซฟโฟลึกซึ้งกินใจ แต่ในบางช่วงของบทกวีจะมีการพรรณาถึงผู้หญิงสวมหรีดดอกไวโอเลต ที่ในเวลาต่อมาถูกตีความว่าเป็นการแสดงความลุ่มหลงในหญิงสาวคนรัก แต่ก็เป็นเพียงการตีความเท่านั้นเพราะงานเขียนของแซฟโฟไม่มีน้ำหนักพอที่สามารถบ่งบอกเพศวิถีของเธอได้

อย่างไรก็ตามในช่วงศตวรรษที่ 20 แซฟโฟ และดอกไวโอเลตก็ได้กลายเป็นสิ่งที่เป็นตัวแทน และได้ถูกหยิบมาใช้เป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจของกลุ่มเกย์และเลสเบี้ยนในเวลาต่อมา ซึ่งกลุ่มหญิงรักหญิงก็มักจะแสดงออกด้วยการติดดอกไวโอเลตที่ปกเสื้อหรือเข็มขัด ไปจนถึงการสวมใส่เสื้อผ้าสีม่วงด้วย

EVERY BLOOMING HAS A STORY

เรื่องราวของดอกลาเวนเดอร์ ต้องย้อนไปในช่วงศตวรรษที่ 19 ซึ่งจะมีคำว่า Lavender lads’ มีความหมายว่า “หนุ่มลาเวนเดอร์” เป็นคำที่ใช้กล่าวถึงผู้ที่มีพฤติกรรมรักเพศเดียวกัน ที่ในสมัยนั้นถูกมองว่าผิดศีลธรรม

นอกจากนี้ยังมีคำว่า “Streak of Lavender” โดยคำนี้จะใช้เรียก “ผู้ชายที่มีบุคลิกคล้ายเคียงผู้หญิง” ไม่ว่าจะเป็นคำไหนแต่คำว่า Lavender ก็ถูกนำมาสื่อสารในเชิงการเหยียดเพศเป็นส่วนใหญ่ แต่ในยุคปัจจุบันมีการรณรงค์ไม่ใช่คำเหล่านี้แล้ว ในตอนนี้ดอกลาเวนเดอร์เองกลายเป็นตัวแทนของการสื่อความหมายถึง ความจงรักภักดี ความสง่างาม และความบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นความหมายที่ดี และลึกซึ้งเกินกว่าจะเป็นคำดูถูกไปแล้ว

EVERY BLOOMING HAS A STORY

ดอกกุหลาบ ดอกไม้ยอดฮิตที่คนเรานิยมใช้เพื่อแสดงความรักกันนั้น ในอีกมุมหนึ่งก็ยังหมายถึงสัญลักษณ์แทนกลุ่มคนข้ามเพศ (Trans-People) ด้วย

“โปรดมอบกุหลาบแก่เราขณะยังมีชีวิต” (Give us our roses while we’re still here) คือประโยคที่ใช้ระลึกถึงกลุ่มคนข้ามเพศที่ต้องจบชีวิตลงจากกระแสความเกลียดชัง ในทุกวันที่ 31 มีนาคมของทุกปี ซึ่งถือเป็นวันสนับสนุนสิทธิของกลุ่มคนข้ามเพศสากล หรือ International Transgender Day of Visibility

ที่มาที่ไปของประโยคดังกล่าวมาจากศิลปินสองคนคือ B Parker และ Micah Bazant โดยพวกเขาใส่ไว้เป็นส่วนหนึ่งของผลงานภาพวาด “Forward Together” โดยในภายหลังได้นำมาใช้ต่อกันอย่างมากมายในทรานส์คอมมูนิตี้นั่นเอง

ส่วนความหมายของดอกกุหลาบก็คือ ความรัก ความสง่างาม ความอ่อนเยาว์ ความยินดี และความเสน่หา

CONTRIBUTOR

Related Articles

the power of love

“พลังของความรัก” จะทำให้เราจับมือกันก้าวผ่านทุกอุปสรรค และเปลี่ยนแปลงชีวิตไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้

“พลังของความรัก” จะทำให้เราจับมือกันก้าวผ่านทุกอุปสรรค และเปลี่ยนแปลงชีวิตไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้ ทุกคนเชื่อในพลังแห่งความรักไหมคะ ความรักสามารถเปลี่ยนแปลงใครคนหนึ่งให้เป็นคนที่ดีขึ้นได้ แต่ความรักไม่ได้มีเวทมนตร์พิเศษอะไรหรอกค่ะ เพียงแค่ความรักเป็นแรงผลักดันที่ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ใครบางคน อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีกว่าเดิมเพื่อใครอีก คน ทำให้รู้สึกว่าตัวเองคู่ควรกับความรัก ความสัมพันธ์นั้น นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมความรักถึงทรงพลัง ความรักยังมีพลังทำให้มนุษย์เราสามารถจับมือก้าวผ่านทุกอุปสรรคที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ซึ่งเกิดขึ้นจากกลไกลทางจิตวิทยา การสนับสนุนของคู่รัก และวัฒนธรรมในบริบทของสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นคู่รักชายหญิง หรือคู่รักที่มีความหลากหลายทางเพศ  หากย้อนกลับไปในสมัยอดีต ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความรักของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศนั้น

Ready Set Marry

เมื่อรัก คือ รักบนความเท่าเทียม ชีส & รถเมล์

หากลองคิดดูจากผู้คนนับล้านคนจะมีสักกี่คนที่เกิดวัน เดือน ปี เดียวกัน แล้วได้โคจรมาเจอกัน มากกว่านั้นคือได้กลายเป็น “คู่รัก” กัน เช่นเดียวกับคู่ของ “ชีส” – ณัฐฐิยา สงวนศักดิ์ และ “รถเมล์” – ชัญญานุช มะลิมาตร ที่ร่วมกันถักทอเรื่องราวความรักต่างๆ ร่วมกันมาจนจะเข้าปีที่

Ready Set Marry

เมื่อรัก…คือ การให้ความสำคัญ กับคนที่อยู่เคียงข้าง ลูกไม้ & มาย

แสนสิริ ขอชวนทุกคนมาร่วมกันนับถอยหลังสู่วันที่ประเทศไทยจะมี “สมรสเท่าเทียม” อย่างเป็นทางการ โดยคู่รักทุกคู่จะสามารถจดทะเบียนเป็น “คู่สมรส” และได้รับสิทธิตามกฎหมายอย่างเท่าเทียมพร้อมกันในวันที่ 22 มกราคม 2568 ผ่านแคมเปญ Ready, Set, Marry! เริ่มจากคู่รักสายแฟชั่น ‘ลูกไม้’ อินทิรา หอมเทียนทอง และ ‘มาย’