เพราะความอ่อนโยนไม่ใช่ความอ่อนแอ
แต่เป็นสิ่งที่ช่วยปลอบประโลมหัวใจของมนุษย์

ความอ่อนโยน คือ สิ่งที่ช่วยโอบกอดและปลอบประโลมหัวใจ
ให้กลับมามีจิตใจที่เข้มแข็งอีกครั้ง

หากพูดถึง “ความอ่อนโยน” เราเชื่อว่าหลายๆ คนมีความอ่อนโยนซ่อนอยู่ในตัวเองและความอ่อนโยน คือ คุณสมบัติพิเศษที่แสดงถึงความเมตตา ความใจดีและความอ่อนไหวที่อยู่ในตัวของมนุษย์ หลายคนมักซ่อนความอ่อนโยนไว้ในก้นบึ้งที่ลึกที่สุดของหัวใจ 

เพราะคิดว่าการแสดงความอ่อนโยนจะทำให้เราเป็นคนที่อ่อนแอ แต่แท้จริงแล้วความอ่อนโยน เป็นสิ่งที่ช่วยโอบกอดและปลอบประโลมหัวใจ ไม่ว่าจะเจอเรื่องเศร้า เรื่องทุกข์ใจขนาดไหน เมื่อเราได้สัมผัสความอ่อนโยนของใครบางคน ความทุกข์ความเศร้าในใจจะเบาบางลง และช่วยให้เรากลับมามีจิตใจที่เข้มแข็งอีกครั้งค่ะ

นี่คือเหตุผลที่ทำไมคนที่มีจิตใจอ่อนโยนไม่ได้แปลว่าพวกเขาเป็นคนที่อ่อนแอ แต่ความอ่อนโยน คือ “พลังที่ยิ่งใหญ่” ที่สร้างความเข้มแข็งให้มนุษย์ในรูปแบบหนึ่ง และความอ่อนโยนไม่จำเป็นต้องเป็นคุณสมบัติของเพศหญิง แต่เราเชื่อว่าไม่ว่าคุณจะเป็นเพศอะไร เพศชายหรือคนที่มีความหลากหลายทางเพศก็เป็นคุณสมบัติที่สามารถอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคนได้ 

วันนี้ Mental Life by Chanisara จะพาทุกคนไปเข้าใจความหมายของความอ่อนโยนอย่างลึกซึ้งว่าทำไมความอ่อนโยนถึงเป็นสิ่งปลอบประโลมหัวใจของมนุษย์ รวมถึงมาทำความเข้าใจว่าทำไมคนที่อ่อนโยนไม่ได้แปลว่าเป็นคนที่อ่อนแอ อีกทั้งมาบอกวิธีปลุกความอ่อนโยนภายในจิตใจของทุกคนออกมากันค่ะ

gentleness

ความอ่อนโยน คือ สิ่งปลอบประโลมหัวใจ

ความอ่อนโยน คือ การแสดงออกด้วยคำพูดที่นุ่มนวล แสดงออกถึงความจริงใจที่มีต่อผู้อื่น สายตาที่บ่งบอกถึงความเข้าใจ การรับฟังผู้อื่นโดยไม่ตัดสิน หรือการกอดปลอบโยนผู้อื่นด้วยหัวใจ และเราเชื่อว่าหากใครได้สัมผัสถึงความอ่อนโยน จะทำให้เขารู้สึกดีขึ้น คลายความทุกข์ ความเศร้า ความเจ็บปวดที่มีอยู่ในจิตใจ

ความอ่อนโยนจะส่งผ่านทางคำพูดและการกระทำ ซึ่งจะทำให้คนที่อยู่รอบข้างคนที่อ่อนโยนรู้สึกอบอุ่นหัวใจและปลอดภัย คนที่สัมผัสได้ถึงความอ่อนโยน เขาจะรู้สึกว่า เขาไม่ได้อยู่เพียงลำพัง ยังมีคนที่พร้อมจะเข้าใจคอยอยู่เคียงข้าง ทำให้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวและรู้สึกว่าตัวเองยังมีคุณค่า รวมถึงทำให้ผู้ที่ได้รับความอ่อนโยนกลับมามีพลังและมีจิตใจเข้มแข็งอีกครั้งนั่นเองค่ะ

โดยทฤษฎีทางประสาทวิทยาที่ชื่อว่า “Polyvagal Theory” ของ “Stephen Porges” ชาวอเมริกัน (ทฤษฎีนี้ได้ถูกใช้อย่างแพร่หลายในวงการจิตวิทยา) ได้อธิบายว่า เมื่อเรามีความทุกข์ใจ ถ้าเราได้รับความอ่อนโยนเราจะรู้สึกปลอดภัย เพราะเส้นประสาทที่มีชื่อว่าเวกัส (Vagus nerve) จะไปทำให้สมองรับรู้ว่าปลอดภัย ซึ่งทำให้ความรู้สึกเครียด ความเศร้าลดลง จิตใจสงบขึ้น และไม่จมอยู่กับความทุกข์นั่นเองค่ะ เช่น หากเรากำลังทุกข์ใจกับเรื่องบางเรื่อง แล้วมีคนมากอดหรือจับมือเรา โดยที่ไม่ได้พูดอะไรเราก็จะรู้สึกดีขึ้นใช่ไหมล่ะคะ เพราะนั่นคือสมองกำลังส่งสัญญาณว่า เรากำลังรู้สึกปลอดภัยนั่นเองค่ะ 

บางครั้งความอ่อนโยนอาจจะไม่ใช่เพียงคำพูดที่แสดงออกมาแต่หมายถึงการกระทำที่ทำให้ผู้ที่ได้รับรู้สึกอบอุ่นหัวใจ ปลอดภัย และคลายความทุกข์ลง สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นคือเหตุผลว่าทำไมความอ่อนโยนถึงมีพลังอันยิ่งใหญ่ที่ปลอบประโลมหัวใจของมนุษย์ค่ะ

“อ่อนโยน” ไม่ได้แปลว่า “อ่อนแอ”

หลายคนอาจจะคิดว่า หากเราอ่อนโยน เราจะเป็นคนอ่อนแอรึเปล่านะ? ความอ่อนโยนไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่เป็นการแสดงความรู้สึกที่มีความซอฟท์ ละมุนอบอุ่นหัวใจ ทำให้ได้รับพลังที่เต็มเปี่ยม เมื่อได้รับพลังที่เต็มเปี่ยม เราจะมีสติในการแก้ไขปัญหา สามารถรับฟังอย่างตั้งใจและเข้าใจ ทำให้โอบรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้มากขึ้นกว่าเดิม 

หลายคนมักมีมุมมองที่ว่า คนที่อ่อนโยนหรือแสดงความรู้สึกออกมา เป็นคนที่อ่อนแอ แต่บางครั้งการแสดงความรู้สึกออกมาก็ไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไปนะ การแสดงความรู้สึกออกมา ในมุมของเราคิดว่า คือ การปลดปล่อยเราออกจากความทุกข์ ความเศร้า ความไม่สบายใจที่เกาะกุมอยู่ภายในจิตใจ เพื่อให้เรากลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง ความอ่อนโยนจึงมีความเข้มแข็งในตัวเอง ถือว่าเป็นความกล้าหาญที่เกิดขึ้นภายในจิตใจอย่างลึกซึ้ง ความอ่อนโยนจึงไม่ใช่ความอ่อนแออย่างที่หลายคนเข้าใจค่ะ

คนในสังคมมักจะมองว่าผู้ชายไม่สามารถที่จะอ่อนโยนหรืออ่อนแอได้ ความอ่อนโยนเป็นคุณสมบัติของเพศหญิงเท่านั้น และแท้จริงแล้วไม่ว่าเราจะเป็นเพศอะไร เพศชายเพศหญิงหรือผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ เราก็สามารถที่จะอ่อนโยนได้ เพราะความอ่อนโยนคือเกราะป้องกันที่เข้มแข็งที่จะโอบอุ้มหัวใจของตัวเองและผู้อื่นให้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้นั่นเองค่ะ

ความอ่อนโยนที่แท้จริง คือ “ความเข้มแข็ง”

ทำไมความอ่อนโยนคือความเข้มแข็ง หลายคนคงสงสัยกันใช่ไหมคะ? เพราะความอ่อนโยน คือ ความแข็งแกร่งที่แท้จริง อาจใช้คำว่า “ความแข็งแกร่งที่อ่อนโยน” 

ความอ่อนโยนเกิดขึ้นจากการผสมผสานของ 2 อย่าง คือ การมีจิตใจที่มีความเมตตากรุณาต่อตัวเองและผู้อื่น ผสมผสานกับพลังที่เข้มแข็งภายในจิตใจของเรา เพราะหากว่าเรามีแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น มีความเข้มแข็งภายในจิตใจอย่างเดียว แต่ไม่มีความเมตตากรุณาก็อาจจะส่งผลกระทบต่อผู้อื่นได้ หรืออาจจะแสดงความก้าวร้าวออกมาได้นั่นเอง ที่กล่าวมาข้างต้นจึงสะท้อนให้เห็นว่าทำไมความอ่อนโยนถึงมีความเข้มแข็งในตัวเองอย่างแท้จริง 

How to ปลุกความอ่อนโยนภายในจิตใจออกมา

การเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เราว่าคือพื้นฐานที่สำคัญที่เราทุกคนจำเป็นจะต้องมีต่อเพื่อนมนุษย์  เพราะการเห็นอกเห็นใจผู้อื่นคือการเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย ว่าตอนนี้เขากำลังรู้สึกอย่างไร กำลังเจอเรื่องไม่สบายใจอะไรอยู่ 

ช่วยเหลือผู้อื่น ในที่นี้เราไม่ได้หมายถึง แค่การกระทำหรือการแสดงออกที่มีต่อผู้อื่น แต่เราหมายถึง การช่วยดูแลจิตใจของคนที่อยู่รอบข้างเราด้วย บางทีเขาอาจจะไม่สบายใจหรือต้องการคำแนะนำ เราอาจจะช่วยปลอบโยนด้วยคำพูดที่นิ่มนวล รับฟังเขาเพื่อที่จะทำให้อีกฝ่ายสบายใจ แต่การช่วยเหลือผู้อื่นต้องไม่ทำให้ตัวเองลำบากด้วยนะคะ 

ใช้คำพูดที่นิ่มนวลแต่เต็มไปด้วยพลัง เคยได้ยินไหมคะว่าคำพูดสามารถสร้างพลังให้กับคนเราได้และสามารถทำร้ายเราได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราต้องพูดด้วยถ้อยคำที่นิ่มนวล ระวังคำพูดไม่ให้ไปกระทบใจผู้อื่น ก่อนจะพูดออกไปต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน รวมถึง อาจใช้คำพูดที่ทำให้ใครบางคนกลับมามีพลังใจในการใช้ชีวิตอีกครั้งค่ะ 

ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลาย รับฟังมุมมองที่แตกต่างของผู้อื่นยังเข้าใจ วิเคราะห์พิจารณาความคิดเห็นของผู้อื่นอย่างถี่ถ้วนโดยไม่ตัดสิน เพราะเราเชื่อว่าคนเรามีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน และการมีความคิดเห็นที่แตกต่างไม่ใช่เรื่องผิดเราจึงควรรับฟังอย่างตั้งใจนั่นเองค่ะ

รู้จักให้อภัยผู้อื่น เพราะการให้อภัยผู้อื่นจะทำให้ความโกรธหรือความไม่สบายใจลดลง และทำให้เรามีความอ่อนโยนมากขึ้น

การใจดีกับตัวเอง การทำให้ตัวเองมีความสุขทั้งกายและใจ เราจะสามารถส่งต่อความสุขให้ผู้อื่นได้ และนั่นคือการกระทำที่แสดงถึงความอ่อนโยนที่เรามีต่อคนรอบข้าง

ความอ่อนโยน ไม่ใช่ความอ่อนแอแต่คือความเข้มแข็งที่ปลอบประโลมหัวใจของตัวเองและผู้อื่น ให้กลับมาเข้มแข็งอีกครั้งนั่นเองค่ะ


Source

https://www.happinessisthailand.com/ 

https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC9131189/ 

https://banneroftruth.org/us/ 

Related Articles

lose friend

เพื่อน” ที่จริงใจ คือ ของขวัญล้ำค่าที่ควรมีอยู่ในชีวิต

เมื่อเราเติบโตขึ้น “เพื่อน” อาจจะหล่นหายไปบ้าง แต่ “เพื่อน” ที่จริงใจและคอยเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้เรา คือ ของขวัญล้ำค่าที่ควรมีอยู่ในชีวิต  เมื่อเราเติบโตขึ้นเพื่อนเราจะน้อยลง ทุกคนว่าจริงไหมคะ? ในชีวิตคนเราอาจจะต้องพบเจอคนมากมาย ในจุดเริ่มต้นของการมีเพื่อน คนในครอบครัวเป็นคนเลือกสังคมให้เรา เช่น การเลือกสังคมโรงเรียน หรือการพาเราไปเล่นกับลูกเพื่อน และหากใครมาเล่นกับเรา เราก็จะนับว่าเขาคือ “เพื่อน” ทำให้ตอนเด็กๆ

the power of love

“พลังของความรัก” จะทำให้เราจับมือกันก้าวผ่านทุกอุปสรรค และเปลี่ยนแปลงชีวิตไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้

“พลังของความรัก” จะทำให้เราจับมือกันก้าวผ่านทุกอุปสรรค และเปลี่ยนแปลงชีวิตไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้ ทุกคนเชื่อในพลังแห่งความรักไหมคะ ความรักสามารถเปลี่ยนแปลงใครคนหนึ่งให้เป็นคนที่ดีขึ้นได้ แต่ความรักไม่ได้มีเวทมนตร์พิเศษอะไรหรอกค่ะ เพียงแค่ความรักเป็นแรงผลักดันที่ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ใครบางคน อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีกว่าเดิมเพื่อใครอีก คน ทำให้รู้สึกว่าตัวเองคู่ควรกับความรัก ความสัมพันธ์นั้น นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมความรักถึงทรงพลัง ความรักยังมีพลังทำให้มนุษย์เราสามารถจับมือก้าวผ่านทุกอุปสรรคที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ซึ่งเกิดขึ้นจากกลไกลทางจิตวิทยา การสนับสนุนของคู่รัก และวัฒนธรรมในบริบทของสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นคู่รักชายหญิง หรือคู่รักที่มีความหลากหลายทางเพศ  หากย้อนกลับไปในสมัยอดีต ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความรักของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศนั้น

Presenteeism

ฟังเสียงร่างกายด้วยหัวใจ รู้จักกับภาวะ Presenteeism ฝืนทำงานทั้งที่ร่างกาย-จิตใจไม่ไหว

ใครเคยเป็นบ้างคะ ฝืนทำงานทั้งที่สภาพร่างกายหรือสภาพจิตใจไม่ไหว เพราะไม่อยากลาหยุด แต่การฝืนทำงานทั้งที่ยังป่วยอาจทำให้เราป่วยเพิ่มมากขึ้นและอาจจะทำให้เราทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร โดยในประเทศไทยมีคนมากกว่า 50% ยังไปทำงานทั้งที่ยังคงเผชิญอาการป่วยทางร่างกายไม่เพียงเท่านั้นยังพบว่า ผู้คนประมาณ 27.5% ยังคนฝืนทำงานทั้งที่มีปัญหาสุขภาพใจ นอกจากนี้มีการสำรวจพบว่ายังมีบางคนฝืนทำงานมากกว่า 5 ครั้งทั้งที่ป่วยภายใน 1 ปี อีกด้วยค่ะ  ทำไมหลายคนถึงทำเช่นนั้นอาจเป็นเพราะ อาจจะมองว่าเป็นภาระหน้าที่ที่เราต้องทำ งานนั้นไม่มีใครทำแทนเราได้ มีงานด่วน