จักรวาลคู่ขนานของหนังทั้ง 5 เรื่อง ในวันที่ทุกคนยอมรับความแตกต่าง

เคยลองคิดกันไหมคะ ถ้าเกิดว่าคนเราสามารถยอมรับความแตกต่างของกันและกันได้ โลกนี้จะเป็นอย่างไร? 

เนื่องจากวันนี้ คือ “วันยอมรับความแตกต่างสากล” (International Day for Tolerance) ซึ่งตรงกับทุกวันที่ 16 พฤศจิกายนของทุกปี กำหนดโดยองค์การสหประชาชาติ เพื่อให้ผู้คนตระหนักและเคารพในความแตกต่างและหลากหลายของเพื่อนมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา สีผิว เพศ เชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม

“โอบรับทุกความแตกต่างต่างอย่างเท่าเทียม”

สิทธิเสรีภาพและความเสมอภาค การเปิดกว้างและยอมรับในความแตกต่างหลากหลายของมนุษย์ เป็นสิ่งที่ “แสนสิริ” ผลักดันและให้ความสำคัญจนเกิดเป็นแคมเปญต่างๆ มากมาย เพื่อขับเคลื่อนสังคมอย่างมีคุณภาพ อาทิ Live Equally (เราเท่ากัน), Zero Dropout (เด็กทุกคนต้องได้เรียน), No One Left Behind (แสนสิริไม่ทอดทิ้งใคร) และอีกมากมาย

ตั้งแต่อดีตจนถึงอนาคต เราจะยังคงสานต่อเจตนารมณ์และส่งมอบ DNA ที่ไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาสร้างบ้านและสร้างสังคมให้มีคุณภาพและน่าอยู่ รวมถึงการส่งต่อแนวคิดดีๆ อย่างการเคารพสิทธิของผู้อื่น และการช่วยเหลือให้ทุกคนได้มีชีวิตที่ดีอย่างเท่าเทียมกัน พร้อมสร้างสรรค์สังคมอย่างยั่งยืน

CODA เมื่อความบกพร่องของร่างกายไม่เป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิต

Coda, วันแห่งการยอมรับความแตกต่างสากล

รูบี้ เป็นเพียงเด็กคนหนึ่งที่มีความฝันและมีพรสวรรค์ในการร้องเพลง แต่บทบาทที่เธอได้รับคือ การต้องเป็น “ผู้ใหญ่” ในขณะที่เธอเป็นเด็กคนหนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อเธอเป็นคนเดียวในครอบครัวที่ได้ยินเสียงปกติ ทำให้ต้องคอยช่วยเหลือในการเป็นตัวกลางการสื่อสารและการทำประมงของครอบครัว

จะเป็นอย่างไรถ้าในวันที่ทุกคนสามารถยอมรับในความบกพร่องของร่างกาย พร้อมให้โอกาสและสิทธิในการทำงาน ให้ความสำคัญกับการออกแบบสภาพแวดล้อมในชีวิตประจำวันให้ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างเท่าเทียม 

รูบี้ก็จะได้ใช้ชีวิตอย่างเด็กทั่วไป ไม่ถูกบูลลี่ และคว้าโอกาสในการทำตามความฝันได้ทันที โดยไม่ต้องพะวงเรื่องครอบครัว

Green Book หากความต่างของสีผิว ไม่มีอคติมาเป็นเส้นแบ่ง

Green Book, วันแห่งการยอมรับความแตกต่างสากล

ในหนังแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของโทนี่ ซึ่งก็เป็นหนึ่งในคนที่อคติกับคนผิวดำ แต่ก็จำเป็นต้องไปขับรถให้ ดอน เชอร์ลีย์ นักดนตรีผิวดำ อย่างจำใจ แม้ว่าสุดท้ายมิตรภาพระหว่างทางจะทำให้ทั้งสองเข้าใจกันมากขึ้น

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเหยียดสีผิวหรือเชื้อชาติอย่างรุนแรงในอเมริกาก็ยังคงรุนแรงและมีอยู่มาจนถึงปัจจุบัน

ถ้าในโลกนี้ไม่มีการแบ่งแยกและการเหยียดสีผิว หนังสือกรีนบุ๊ค ก็อาจจะเป็นเพียงไกด์บุ๊คสำหรับท่องเที่ยวทั่วไปที่ไม่ได้แบ่งแยกว่าคนผิวดำต้องพักแต่ที่นี่เท่านั้น ถึงจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมและอยู่ได้อย่างปลอดภัย

Wonder อ๊อกกี้จะได้ถอดหมวกและใช้ชีวิตอย่างสบายใจ

Wonder, วันแห่งการยอมรับความแตกต่างสากล

“อ๊อกกี้” เด็กน้อยเกิดมาพร้อมกับโรคที่ตัวเขาไม่สามารถเลือกได้ว่าไม่อยากจะป่วยที่ทำให้รูปลักษณ์ใบหน้าของเขา แตกต่างจากคนอื่น และจับจ้องเมื่อออกจากบ้าน ทำให้เขาต้องใส่หมวกมนุษย์อวกาศไว้ตลอด

แต่เมื่อต้องไปโรงเรียนและต้องถอดหมวกออกก็ทำให้เขาถูกเพ่งเล็ง มองว่าเป็นตัวประหลาด และถูกกลั่นแกล้งจากเพื่อนร่วมชั้น

ถ้าคนมองข้ามเรื่องรูปลักษณ์ ยอมรับในความแตกต่างได้ อ๊อกกี้ อาจจะได้ใช้ชีวิตแบบเด็กคนอื่นๆ ได้อย่างสบายใจ โดยไม่ต้องกังวล และสวมหมวกมนุษย์อวกาศไว้ตลอดเวลา

The Intern ในวันที่เพศและวัยไม่ใช่ตัวกำหนดบทบาทและหน้าที่อีกต่อไป

The Intern, วันแห่งการยอมรับความแตกต่างสากล

หนังเล่าเรื่องราวของบทบาทและหน้าที่ของผู้หญิง รวมถึงความแตกต่างของช่วงวัย ผ่านตัวละครอย่าง จูลส์ และ เบน เจ้านายและเด็กฝึกงานต่างเจเนอเรชันที่ต้องมาร่วมงานกัน 

“เบน” ได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า “ไม่มีใครแก่เกินจะเรียนรู้” ส่วน “จูลส์” หญิงสาวที่พิสูจน์ตัวเองจนธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ

หากกลับกันในโลกที่ทุกอย่างเท่าเทียม เบน กับ จูลส์ คงจะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักและอยากทำโดยไม่ต้องเจอบทพิสูจน์จากอคติในบทบาทของ “ผู้หญิง” และ “คนสูงอายุ”

The Man Who Knew Infinity
ความแตกต่างอาจเป็นสมการที่รามานุจันแก้ได้ไวกว่าโจทย์คณิตศาสตร์

The Man Who Knew Infinity

หนังที่สร้างจากเรื่องจริงของนักคณิตศาสตร์ชาวอินเดีย ซึ่งได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกราชสมาคมแห่งลอนดอนและสมาชิกวิทยาลัยทรินิตี้ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ “ศรีนิวาสะ รามานุจัน”

แม้ว่าเขาจะเป็นอัจฉริยะและมีศักยภาพด้านคณิตศาสตร์มากมายแค่ไหน รวมถึงการได้ตอบรับจากศาสตร์จารย์ จี เอช ฮาร์ดี้ จนได้เข้ามหาวิทยาลัยเคมบริดจ์แล้ว แต่ก็ต้องพิสูจน์ตัวเองอีกมากมายตลอดทั้งชีวิต เพียงเพราะเชื้อชาติ ชนชั้น และฐานะ ที่เกือบพรากโอกาสในการเป็นนักคณิตศาสตร์ไปในหลายครั้ง

ถ้าในจักรวาลคู่ขนานที่ทุกคนยอมรับ ให้โอกาส และเคารพในความแตกต่างของกันและกัน รามานุจัน คงจะได้รับการศึกษาอย่างเหมาะสม และมีเวลามากพอที่จะสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ให้กับวงการคณิตศาสตร์ได้อีกมากมายในช่วงเวลาชีวิตที่นับว่าไม่ได้ยืนยาวมากนักของเขา

การยอมรับในความแตกต่างและสนับสนุนความเท่าเทียม  เป็นสิ่งที่แสนสิริผลักดันและให้ความสำคัญมาตลอด โดยให้โอกาสกับพนักงานในการแสดงศักยภาพและความคิดเห็นได้ทุกเพศทุกวัยอย่างเท่าเทียม  

นอกจากในองค์กรแล้ว เรายังผลักดันเรื่องของสิทธิเด็ก การศึกษา และการพัฒนาสังคม ช่วยเหลือกันในวันที่ยากลำบากโดยไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพื่อสานต่อเจตนารมณ์ในการมุ่งมั่นสร้างสังคมที่ดี มีคุณภาพ และความเสมอภาคอย่างยั่นยืน

CONTRIBUTOR

Related Articles

the power of love

“พลังของความรัก” จะทำให้เราจับมือกันก้าวผ่านทุกอุปสรรค และเปลี่ยนแปลงชีวิตไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้

“พลังของความรัก” จะทำให้เราจับมือกันก้าวผ่านทุกอุปสรรค และเปลี่ยนแปลงชีวิตไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้ ทุกคนเชื่อในพลังแห่งความรักไหมคะ ความรักสามารถเปลี่ยนแปลงใครคนหนึ่งให้เป็นคนที่ดีขึ้นได้ แต่ความรักไม่ได้มีเวทมนตร์พิเศษอะไรหรอกค่ะ เพียงแค่ความรักเป็นแรงผลักดันที่ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ใครบางคน อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีกว่าเดิมเพื่อใครอีก คน ทำให้รู้สึกว่าตัวเองคู่ควรกับความรัก ความสัมพันธ์นั้น นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมความรักถึงทรงพลัง ความรักยังมีพลังทำให้มนุษย์เราสามารถจับมือก้าวผ่านทุกอุปสรรคที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ซึ่งเกิดขึ้นจากกลไกลทางจิตวิทยา การสนับสนุนของคู่รัก และวัฒนธรรมในบริบทของสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นคู่รักชายหญิง หรือคู่รักที่มีความหลากหลายทางเพศ  หากย้อนกลับไปในสมัยอดีต ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความรักของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศนั้น

Ready Set Marry

เมื่อรัก คือ รักบนความเท่าเทียม ชีส & รถเมล์

หากลองคิดดูจากผู้คนนับล้านคนจะมีสักกี่คนที่เกิดวัน เดือน ปี เดียวกัน แล้วได้โคจรมาเจอกัน มากกว่านั้นคือได้กลายเป็น “คู่รัก” กัน เช่นเดียวกับคู่ของ “ชีส” – ณัฐฐิยา สงวนศักดิ์ และ “รถเมล์” – ชัญญานุช มะลิมาตร ที่ร่วมกันถักทอเรื่องราวความรักต่างๆ ร่วมกันมาจนจะเข้าปีที่

Ready Set Marry

เมื่อรัก…คือ การให้ความสำคัญ กับคนที่อยู่เคียงข้าง ลูกไม้ & มาย

แสนสิริ ขอชวนทุกคนมาร่วมกันนับถอยหลังสู่วันที่ประเทศไทยจะมี “สมรสเท่าเทียม” อย่างเป็นทางการ โดยคู่รักทุกคู่จะสามารถจดทะเบียนเป็น “คู่สมรส” และได้รับสิทธิตามกฎหมายอย่างเท่าเทียมพร้อมกันในวันที่ 22 มกราคม 2568 ผ่านแคมเปญ Ready, Set, Marry! เริ่มจากคู่รักสายแฟชั่น ‘ลูกไม้’ อินทิรา หอมเทียนทอง และ ‘มาย’