ตลอดระยะเวลาเกือบสองปี ที่คนไทยต้องประสบกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ยากลำบาก ซึ่งมีสาเหตุมาจากโรคระบาดที่แพร่กระจายไปทุกพื้นที่ กว่าหลายปีที่ผ่านมาเช่นกันที่แสนสิริได้ลงมือช่วยเหลือดูแลกลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบทั่วประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธกิจที่จะช่วยให้ประเทศของเราฝ่าวิกฤตนี้ไปได้พร้อมกัน
แม้เราจะไม่ได้มีการประกาศช่องทางการช่วยเหลืออย่างเป็นทางการ แต่พื้นที่โซเชียลมีเดียของเราก็เต็มไปด้วยข้อความที่ส่งเข้ามาจากพี่น้องที่เดือดร้อน และเมื่อถึงจุดหนึ่งเราก็ได้ทบทวนกันภายในและเกิดข้อสรุปว่าถึงเวลาที่เราจะต้องจัดทำโครงการเพื่อการช่วยเหลือขึ้นอย่างเป็นทางการ “No One Left Behind แสนสิริไม่ทอดทิ้งใคร” จึงเกิดขึ้นมาด้วยจุดประสงค์ดังกล่าว
“ในวิกฤติเช่นนี้จะต้องไม่มีใครถูกลืม” คือความตั้งมั่นของเราในการช่วยเหลือผู้คนทุกกลุ่มที่กำลังเดือดร้อนอยู่ในขณะนี้ ทั้งกลุ่มคู่ค้าและพาร์ตเนอร์ของเรา กลุ่มลูกค้าลูกบ้าน กลุ่มผู้ถือหุ้น รวมถึงผู้คนในสังคมด้วย วันนี้เราจึงได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณชลีรัตน์ ต่อจรัส ผู้อำนวยการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์และองค์กร บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ถึงความเหลือภายใต้โครงการ No One Left Behind แสนสิริไม่ทอดทิ้งใคร เพื่อรวบรวมกิจกรรมที่แสนสิริได้ลงมือทำมาเล่าให้ทุกคนฟัง ไม่ใช่เพื่อการป่าวประกาศผลงานของพวกเราออกไป แต่เพื่อเป็นการชี้ช่องทางการช่วยเหลือและส่องไฟไปยังกลุ่มคนที่กำลังประสบปัญหาให้พวกเขาไม่ถูกทอดทิ้งท่ามกลางวิกฤติการณ์ครั้งนี้
ช่วยเหลือสองต่อจากเกษตร สู่แคมป์คนงานและชุมชน
คนกลุ่มหนึ่งที่แสนสิริได้ให้ความดูแลมาโดยตลอดนับตั้งแต่เกิดวิกฤติ นั่นก็คือ ‘คนงานก่อสร้าง’ เนื่องจากคนกลุ่มนี้ต้องหยุดการทำงานเนื่องจากมาตรการของรัฐ ทำให้เกิดการขาดรายได้และส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ แสนสิริจึงเข้าไปให้ความช่วยเหลือโดยมอบข้าวสารและอาหารให้กับแคมป์คนงานในหลายๆ พื้นที่
“การช่วยเหลือสองต่อคือแทนที่เราจะซื้อข้าวสารอาหารแห้งจากร้านค้าใหญ่ๆ เราก็เลือกไปซื้อกับเกษตรกรรายย่อยที่เดือดร้อนเพื่อเป็นการช่วยเหลือในต่อแรก จากนั้นเราก็จะนำไปแจกจ่ายให้กับคนที่มีความต้องการเป็นต่อที่สอง
“เช่นเดียวสำหรับร้านขายของชำ แสนสิริจะเลือกร้านที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกับกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือ เช่น อยู่ใกล้กับแคมป์คนงานของเรา โดยมีการส่งทีมลงไปสำรวจและช่วยอุดหนุนร้านของชำในพื้นที่นั้นๆ เพื่อส่งต่อให้กับคนในแคมป์”
นอกจากการแจกจ่ายพืชผลทางการเกษตรให้กับแคมป์ก่อสร้างแล้ว เรายังปันบางส่วนเพื่อส่งต่อให้กับลูกบ้านและชุมชนที่อยู่ใกล้เคียงกับโครงการของเราอีกด้วย
ส่งกำลังใจด้วยมื้ออาหาร ให้เจ้าหน้าที่ด่านหน้า
ทีมแพทย์คือด่านหน้าที่สำคัญที่สุดในเวลานี้ ที่ผ่านมาแสนสิริได้มีการช่วยบริจาครถขนส่งผู้ป่วย ชุด PPE สร้างห้อง ICU สร้างห้องน้ำ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่างๆ ให้กับระบบสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนให้ด่านหน้าของเรามีความพร้อมในการจัดการกับปัญหาให้มากที่สุด แต่นอกเหนือจากเรื่องของอุปกรณ์และความพร้อม ‘กำลังใจ’ ก็เป็นเรื่องสำคัญที่จะขาดไปไม่ได้เลย โครงการ No One Left Behind ได้มีการส่งข้าว-น้ำ-ขนมไปสู่โรงพยาบาล จุดให้บริการทางการแพทย์ หรือแม้แต่จุดตรวจเฉพาะกิจในสถานที่ต่างๆ เพื่อเป็นกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ให้กับทีมแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ด่านหน้าทุกคน
“เรากระจายส่งอาหารให้กับทีมแพทย์หลายๆ แห่ง โดยไม่ได้เจาะจงว่าต้องเป็นที่ใดที่หนึ่ง บางทีเราทราบว่ามีคนใส่ชุด PPE ลงพื้นที่มาฉีดวัคซีนเราก็จะส่งของไปให้แล้ว ซึ่งอาหารหรือขนมที่เราซื้อมาส่วนใหญ่มาจากร้านค้าขนาดเล็กและร้านค้าของลูกบ้านที่ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน”
Sansiri Family : SMEs, Food Truck จับมือลูกบ้านข้ามผ่านทุกอุปสรรค
อย่างที่ทุกคนทราบดีว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมามาตรการล็อกดาวน์ต่างๆ ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจร้านอาหารและ SMEs เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะด้วยการเคอร์ฟิว การจำกัดการนั่งรับประทานอาหาร รวมไปถึงการสั่งห้ามเปิดสถานประกอบการบางรูปแบบ
“ลูกบ้านหลายคนของแสนสิริเป็นเจ้าของกิจการที่ได้รับผลกระทบ พอลูกบ้านเราเดือดร้อน เราก็เลยต้องหาทางช่วยเหลืออย่างเร็วที่สุด จุดเริ่มต้นของการช่วยเหลือมาจากการที่มีลูกบ้านของเราได้ติดต่อเข้ามาว่าเขามีร้านขายไก่ทอดเล็กๆ ที่ตอนนี้ขายไม่ได้เลย จะเป็นไปได้ไหมถ้าเขาขอเข้ามาขายในโครงการ จากนั้นเราก็เลยนำวิธีการนี้มาต่อยอดจนเป็นเกิดไอเดียมหกรรมฟู้ด ทรัคขึ้นมา ซึ่งมีการจัดคาราวานเวียนไปขายตามโครงการต่างๆ ของเรากว่ายี่สิบแห่ง โดยมีแพลตฟอร์มที่เป็นพาร์ตเนอร์ของเราอย่าง WeChef เข้ามาร่วมสนับสนุนด้วย”
นอกจากการจัดคาราวานฟู้ด ทรัคแล้ว แสนสิริยังดูแลกลุ่มลูกบ้านที่เป็นผู้ประกอบการ โดยดึงเอาร้านค้าต่างๆ รวมถึง SMEs หลากหลายกลุ่ม เข้ามาอยู่ในแพลตฟอร์ม Sansiri Family ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มตลาดออนไลน์ที่รวบรวมสมาชิกในทุกโครงการของแสนสิริเอาไว้ (จำนวน 2 – 3 แสนคน)
“ในช่วงที่ผ่านมาก็มีลูกบ้านเอาร้านตัวเองมาฝากขึ้นแพลตฟอร์มอยู่เรื่อยๆ ซึ่งนอกจากการที่เราช่วยโปรโมตลงในเฟซบุ๊กอยู่ตลอดแล้ว เรายังประสานไปขอความช่วยเหลือจากพาร์ทเนอร์ที่มีประเภทธุรกิจตรงกับของลูกบ้านด้วย เช่น NocNoc ที่เปิดพื้นที่ให้ลูกบ้านที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์หรืออุปกรณ์การช่างสามารถนำเอาสินค้าไปลงในแพลตฟอร์มของเขาได้ หรือบางส่วนถ้าหากเป็นสินค้าที่ตรงกับความต้องการของแสนสิริเอง เราก็จะช่วยอุดหนุนเขาด้วยเช่นกัน”
คนละครึ่ง 60 วัน ช่วยชุมชนฝ่าวิกฤต
ปัจจุบันโครงการ No One Left Behind ได้ทำหน้าที่เป็น ‘ตัวตั้งตัวตี’ ในการทำงานภาคสังคม ซึ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมาเราพบว่ายังมีคนอีกหลายกลุ่มที่พร้อมยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือไปกับพวกเรา เราจึงได้ริเริ่มโครงการต่อยอดในชื่อ ‘คนละครึ่ง 60 วัน ช่วยชุมชนฝ่าวิกฤติ’ เพื่อชักชวนพาร์ตเนอร์ของเราที่มีความพร้อมมาช่วยเหลือสังคมได้มากขึ้น โดยมีกำหนดระยะเวลาของโครงการคือ 60 วัน นับตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นไป
“โครงการคนละครึ่ง 60 วัน ช่วยชุมชนฝ่าวิกฤติ คือโครงการที่เราจะจับมือกับพาร์ตเนอร์กันคนละครึ่งเพื่อช่วยเหลือสังคม ยกตัวอย่างเช่น เรามีพาร์ตเนอร์เป็นแพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าทางการเกษตร เราก็ไปคุยกับเขาว่าถ้าเราซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มของคุณจำนวนหนึ่งตัน คุณจะต้องช่วยซื้อด้วยอีกหนึ่งตัน เพื่อช่วยสนับสนุนเกษตรกรเป็นต่อแรก จากนั้นคือการนำสินค้าไปมอบให้กับชุมชนที่เดือดร้อนเป็นต่อที่สอง”
การสร้างการมีส่วนร่วมของพาร์ตเนอร์ครั้งนี้นอกจากจะเป็นการเพิ่ม ‘มือ’ ที่เข้ามาช่วยสนับสนุนกลุ่มคนที่มีความเดือดร้อนแล้ว ยังเป็นการเชื่อมสะพานระหว่างผู้ที่มีกำลังในการช่วยเหลือกับผู้ที่เดือดร้อนโดยตรง ซึ่งในอนาคตสะพานแห่งนี้จะกลายเป็นช่องทางสำคัญในการช่วยเหลือผู้คนที่ยั่งยืน เพราะสะพานแห่งนี้จะไม่ได้มีแค่แสนสิริเพียงคนเดียว แต่มีมืออีกมากมายที่พร้อมให้การช่วยเหลือและสนับสนุนคนที่กำลังตกอยู่ในวิกฤตการณ์ครั้งนี้
“ในวิกฤติเช่นนี้จะต้องไม่มีใครถูกลืม คือความตั้งมั่นของเราในการช่วยเหลือผู้คนทุกกลุ่มที่กำลังเดือดร้อนอยู่ในขณะนี้ ทั้งกลุ่มคู่ค้าและพาร์ตเนอร์ของเรา กลุ่มลูกค้าลูกบ้าน กลุ่มผู้ถือหุ้น รวมถึงผู้คนในสังคมด้วย”