พบจิตแพทย์ = การรักษา
พบนักจิตวิทยา = พูดคุย ปรับความคิด
ฟื้นฟูจิตใจให้กลับมาเข้มแข็ง
ทุกคนรู้ไหมคะว่าการหาหมอจิตแพทย์กับการไปหานักจิตวิทยาต่างกันอย่างไร ทุกคนคงรู้ว่าทั้งจิตแพทย์และนักจิตวิทยา เป็นคนที่ช่วยดูแลใจของเราทั้งคู่ ทุกวันนี้มีผู้คนจำนวนมากที่หันมาใส่ใจและให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตมากขึ้น ถึงแม้ว่ายังมีคนบางส่วนที่ยังเข้าใจว่าคนที่ไปหาจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา จะต้องเป็นคนที่ประสบปัญหาสุขภาพจิตค่อนข้างหนัก แต่แท้จริงแล้วการไปพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา ไม่ต้องประสบปัญหาด้านสุขภาพจิตก็สามารถไปพบได้ เช่น รู้สึกไม่สบายใจ กลุ้มใจ มีปัญหาทางด้านความรัก หรือ ครอบครัว ฯลฯ
ในประเทศไทยการพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา เพื่อปรึกษาเรื่องเหล่านี้ อาจจะไม่ใช่เรื่องแพร่หลายเหมือนในต่างประเทศ และถูกมองเป็นเรื่องไกลตัว ทำให้หลายคนไม่กล้าไปพบจิตแพทย์ นักจิตวิทยา หรือบางคนอาจจะไม่รู้ว่าตัวเองมีปัญหาทางด้านสุขภาพใจ เพราะการป่วยทางใจอาจไม่ได้แสดงอาการชัดเจนเหมือนป่วยทางกายนั่นเองค่ะ
หลายคนคงสงสัยว่าหากเราต้องการไปปรึกษาทางด้านสุขภาพจิตเราควรไปหาจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาดีนะ? คนที่จะไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพใจต้องถามตัวเองดูก่อนว่าตัวเองต้องการขอความช่วยเหลือแบบไหน หากสิ่งที่เราเป็นอยู่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของเรา ทำให้เราไม่สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติ ต้องหาวิธีจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องการการวินิจฉัยโรค หาสาเหตุของอาการ หรือรับยาเพื่อบรรเทาอาการควรไปหาจิตแพทย์ แต่ถ้าหากต้องการคนที่คอยให้คำปรึกษา พูดคุย ระบาย ปรับความคิดและพฤติกรรม ควรไปหานักจิตวิทยาให้คำปรึกษา เพื่อดูแลและโอบกอดจิตใจของตัวเองค่ะ
หากเปรียบเทียบจิตแพทย์และนักจิตวิทยาเหมือนการซ่อมแซมบ้านสักหลังหนึ่ง จิตแพทย์ ก็เปรียบได้กับสถาปนิก ที่คอยออกแบบซ่อมแซมบ้านที่มีโครงสร้างร้าว ให้มีความปลอดภัย และนักจิตวิทยาก็เปรียบกับมัณฑนากร ที่คอยออกแบบตกแต่งภายในให้บ้านน่าอยู่ มีพื้นที่ใช้สอยตามความต้องการของเรา เพื่อให้เราใช้ชีวิตในบ้านอย่างมีความสุข สนุกและสบายนั่นเองค่ะ
วันนี้ Mental Life by Chanisara จะชวนทุกคนมาทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างการไปพบจิตแพทย์และนักจิตวิทยาเพื่อดูแลและโอบกอดหัวใจของตัวเราเองกันค่ะ

จิตแพทย์ VS นักจิตวิทยา มีความแตกต่างกันยังไงนะ?
เราเชื่อว่าหลายคนคงสงสัยกันใช่ไหมคะ ว่าถ้าเรารู้สึกไม่สบายใจ หรือเจ็บป่วยทั้งใจเราควรไปพบใครระหว่างจิตแพทย์กับนักจิตวิทยา
อย่างแรกเลยเราต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่าต้องการความช่วยเหลืออะไรจากเขา หากรู้สึกว่าสิ่งที่เราเป็น กำลังรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของเรา ทำให้เราไม่สามารถเรียน ทำงาน หรือใช้ชีวิตได้อย่างปกติ เช่น รู้สึกเศร้ามาก ท้อแท้ใจ ไม่อยากออกไปทำงาน อยากร้องไห้ตลอดเวลา ต้องการรักษาให้หาย ต้องการคนที่วินิจฉัยโรค หรือหาคำตอบความรู้สึกที่เกิดขึ้น พฤติกรรมที่เกิดขึ้น เพื่อรักษา เยียวยาจิตใจของเรา หรือสงสัยว่าโรคที่เป็นถึงขนาดต้องกินยารักษาหรือเปล่า ก็ควรไปปรึกษาจิตแพทย์
เพราะจิตแพทย์ถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการวินิจฉัยโรค มีใบประกอบวิชาชีพแพทย์ และรักษาโรคทางใจของเราได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคซึมเศร้า ไบโพล่า แพนิก ฯลฯ รวมถึงการป้องกันความผิดปกติทางสุขภาพจิต วางแผนการรักษา การบำบัดอาการ การให้ยา ซึ่งการให้ยาเป็นหน้าที่ของจิตแพทย์เท่านั้น นักจิตวิทยาไม่สามารถสั่งยาได้
แต่ถ้าหากรู้สึกไม่สบายใจ ต้องการพื้นที่ระบาย ต้องการคนให้คำปรึกษา รู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจเรา ให้ไปหานักจิตวิทยา เพราะ นักจิตวิทยาจะเน้นการเข้าใจความรู้สึก และพฤติกรรม ปรับความคิด ปรับทัศนคติ เป็นพื้นที่ปลอดภัย รับฟัง และฟื้นฟูจิตใจของมนุษย์เรา
นักจิตวิทยาจะเน้นทำความเข้าใจพฤติกรรม เพื่อช่วยให้เรารับมือกับความท้าทายทางด้านความรู้สึก จิตใจ และการแสดงออก เพื่อให้รับมือกับอารมณ์และจิตใจของตัวเองได้ดีขึ้น เช่น หากมีเรื่องฝังใจในวัยเด็กรู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจ ทำให้เรารู้สึกไม่สบายใจ หรือไม่สามารถหลุดออกจากความรู้สึกนั้นได้สักที เราก็ควรจะปรึกษานักจิตวิทยามากกว่าการไปพบจิตแพทย์ หรือคนที่อาจจะมีปัญหาครอบครัว ความสัมพันธ์กับคนรัก ความสัมพันธ์กับลูก ไม่เข้าใจลูก ไม่เข้าใจคนรัก ก็อาจจะมาปรึกษานักจิตวิทยาเพื่อพูดคุยและหาทางออกได้เช่นกันค่ะ
จิตแพทย์ = นักจิตวิทยา เหมือนกันตรงไหนนะแล้วทำไมบางคนถึงสับสน
จิตแพทย์และนักจิตวิทยา เหมือนกันตรงไหนนะ วันนี้เราจะพาทุกคนมาหาคำตอบกัน
ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสุขภาพจิตทั้งจิตแพทย์และนักจิตวิทยา มีหน้าที่หลักที่เหมือนกันอันเป็นกุญแจสำคัญ คือ การดูแลความรู้สึกของมนุษย์และฟื้นฟูจิตใจของเราให้กลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง รวมถึงจิตแพทย์และนักจิตวิทยา ต้องมีความเชี่ยวชาญทางด้านจิตวิทยา สามารถทำจิตบำบัดได้เหมือนกันค่ะ
ถ้าหากทุกคนรู้สึกไม่สบายใจและสิ่งที่เป็นกำลังรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน อย่าลืมไปพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาเพื่อหาทางออกกันนะคะ
ทำไมการดูแลจิตใจของเราถึงสำคัญ
การดูแลจิตใจสำคัญไม่แพ้การดูแลร่างกายเลยนะคะ เรื่องของจิตใจเป็นเรื่องที่หลายคนมองข้าม การดูแลจิตใจของตัวเอง คือ การใส่ใจและเข้าใจความรู้สึกของตัวเอง รักตัวเอง ถือเป็นเรื่องที่สำคัญต่อเราทุกคน เพราะถ้าสุขภาพจิตดี เราก็จะมีความสุขในการใช้ชีวิตในทุกๆ วัน ทำให้สามารถรับมือกับความรู้สึกและอารมณ์ของตัวเองได้ดีขึ้นด้วย รวมถึงสามารถแก้ปัญหาที่เราประสบพบเจอในชีวิตประจำวันได้ และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะสามารถก้าวผ่านทุกเหตุการณ์ไปได้ด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง เรายังเชื่ออีกว่าหากสุขภาพใจเราดีสุขภาพกายเราก็จะดีตามไปด้วยค่ะ
How to วิธีดูแลสุขภาพใจ เพื่อทำให้จิตใจผ่องใสและมีความสุขในทุกๆ วัน
ขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะเป็นนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ ให้ช่วยดูแลเมื่อมีปัญหาทางใจ เพื่อฟื้นฟูจิตใจของเราทุกคนค่ะ
การฝึกมองโลกในแง่บวก จะช่วยให้เราสบายใจขึ้น หลายคนอาจจะคิดว่าการฝึกมองโลกในแง่บวกทำยากใช่ไหมล่ะคะ แต่ถ้าเราค่อยๆ ฝึกไปเรื่อยๆ เราจะคิดบวกได้โดยอัตโนมัติเองค่ะ
พบเจอ คนใหม่ๆ จะช่วยให้ภูมิคุ้มกันทางใจดีขึ้น ช่วยให้เราเห็นคุณค่าในตัวเอง
รวมถึงได้เรียนรู้ประสบการณ์จากคนอื่นๆ อีกด้วย
ฝึกสติอยู่กับปัจจุบัน จะทำให้สภาพจิตใจของเราดีขึ้นได้ รู้สึกสนุกกับชีวิตและเข้าใจตัวเองได้มากขึ้น และพร้อมที่จะแก้ปัญหา รับมือกับสิ่งต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิต
การออกกำลังกาย จะทำให้เราสดใสมากยิ่งขึ้น สามารถเปลี่ยนแปลงสารเคมีในสมอง ทำให้เราอารมณ์ดีขึ้นได้ค่ะ
หากเรากำลังประสบปัญหาทางใจ สามารถไปพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา เพื่อดูแลฟื้นฟูจิตใจให้กลับมาเข้มแข็งกันนะคะ
Source
https://www.youtube.com/watch?v=7PuGjfHL4SU
https://www.nu.edu/blog/psychologist-vs-psychiatrist-whats-the-difference/

