สำหรับคนที่กำลังตั้งคำถามว่า สถานการณ์ตอนนี้เหมาะจะลงทุนในอสังหาริมทรัพย์หรือไม่ ? เราชวนมาหาคำตอบจากประสบการณ์ของนักลงทุนที่เล็งเห็นความสำคัญของช่วงจังหวะที่ดี ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยของความสำเร็จ โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ผู้ซื้อเป็นฝ่ายได้เปรียบแบบในขณะนี้
ฟลุค เกริกพล มัสยวานิช นักแสดงหนุ่มรูปหล่อที่ผันตัวเองมาเป็นนักลงทุน เป็นหนึ่งในกูรูด้านการเงินการลงทุนที่มักถูกรับเชิญจากสถาบันการเงิน สื่อ และอีเว้นท์ต่างๆ มากมาย เพื่อเป็น Guest Speaker แชร์ประสบการณ์ในการลงทุนและบริหารเงินให้มีประสิทธิภาพ เป็นผู้เขียนหนังสือ รวยได้แค่ใช้เงินเป็น และ Money Genius อัจฉริยะใช้เงินเป็น อีกทั้งมีความเชี่ยวชาญในการลงทุนหุ้นเนื่องจากเรียนรู้จากครอบครัวมาตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 ปี และยังผ่านประสบการณ์การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่หลากหลาย
ใน EP. 3 นี้ จึงอยากจะชวนมามองจากมุมของผู้บริโภค และนักลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ตัวจริง ที่มีประสบการณ์เริ่มต้นลงทุนมาตั้งแต่อายุยังน้อย สั่งสมจนเป็นที่ยอมรับกันในวันนี้ กับแนวคิด “เลือกลงทุนอย่างไรให้ฉลาดและคุ้มค่า ในภาวะที่ตลาดเป็นของผู้ซื้อ” มาลองมาเรียนรู้จากประสบการณ์ของคุณฟลุค เก็บเกี่ยวแนวคิดเพื่อนำไปใช้กับสไตล์การลงทุนในแบบของคุณเอง
เล่าถึงประสบการณ์การลงทุนที่ผ่านมา และพอร์ตการลงทุนในปัจจุบัน เป็นอย่างไรบ้าง?
เริ่มลงทุนตั้งแต่เด็ก ตอนที่เป็นนักแสดงใหม่ๆ อายุสัก 15-16 ปี เงินที่หามาได้ พ่อจะให้เป็นเงินเดือน โดยแบ่งเงินส่วนหนึ่งออกมาให้ ส่วนเงินที่เหลือคุณพ่อจะเอาไปลงทุนในตลาดหุ้น หรือเอาไปฝากในดอกเบี้ยแบบพิเศษ สมัยนั้นมีช่วงที่ดอกเบี้ยถึง 10 กว่าเปอร์เซ็นต์ เงินมันเลยงอกเงยตลอดเวลา แล้วคุณพ่อจะส่งรีพอร์ตมาให้ดูทุกวัน ก็ทำให้ได้ซึมซับว่า วันหนึ่งเงินของเราสามารถขึ้นหรือลงได้ จากเมื่อก่อนรู้อย่างเดียวคือออกไปทำงานเพื่อหาเงิน ตอนนั้นจึงได้เข้าใจวิธีการให้เงินมันทำงาน ตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 ปีเลย
พอเริ่มเข้ามหาวิทยาลัย อายุ 19 – 20 ปี เลยเริ่มขอลองจากพอร์ตที่คุณพ่อเปิดให้ โดยแยกพอร์ตมาส่วนหนึ่ง เพราะความเป็นเด็กมันก็จะกล้าสู้ พอเราได้ยินว่าอะไรมันดี เราก็จะอัดไปเลยตัวเดียว บังเอิญว่าเฮง ได้กำไรหลัก 200 เปอร์เซ็นต์ในระยะเวลาประมาณ 4 เดือน ตอนนั้นรู้สึกมั่นใจว่าเก่งมาก ไปที่โชว์รูมรถว่าจะไปถอย Porsche คันแรก พอดีหุ้นตัวนั้นตกลงมา 30 เปอร์เซ็นต์แล้วเราขายไม่ทัน เพราะมัวแต่ช้อปปิ้งอยู่ สรุปเลยยังไม่ได้ซื้อรถ วันต่อมาพ่อเลยบอกให้ใจเย็นๆ เดี๋ยวมันก็ขึ้น สุดท้ายผมทำกำไรไปประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมดที่เล่น แล้วก็หยุดเล่นหุ้นไปประมาณ 3 ปีเพราะตกใจ หลังจากนั้นถึงค่อยๆ กลับมาศึกษาใหม่ ตอนนั้นมันคือประสบการณ์ ซึ่งเราอาจจะโชคดี ไม่แน่ใจว่าถ้าเราเข้าไปในจังหวะที่ไม่ดี ผมจะสนใจการลงทุนเท่านี้หรือไม่ สิ่งเหล่านี้คือประสบการณ์มันสอนเรา
หลังจากนั้นผมเริ่มลงทุนในอสังหาริมทรัพย์บ้าง เริ่มต้นตอนที่แต่งงานมีลูก เพราะอย่างแรกคือเราต้องมีบ้าน ผมก็ไปซื้อบ้านไว้ ด้วยความที่เราเป็นนักแสดงเรายังพอมีเงินเก็บอยู่ ผมรู้สึกว่าบ้านไม่ Generate Income เพราะถ้าวันนี้รับงานก็มีเงิน แต่ถ้าไม่มีงานจะเอาอะไรเลี้ยงลูก เลยรู้สึกว่าต้องให้มัน Diversify จึงแบ่งเงินออกเป็นสองก้อน ก้อนแรกคือบ้านที่เราอยู่ไหวและแฮปปี้กับมันระดับหนึ่ง เหมือนบ้านของเราที่เราอยู่อย่างน้อยได้ 10 ปี แต่อีกก้อนผมเอาไปลงทุนในคอนโดมิเนียม ซึ่งเป็นคอนโดฯ แรกในชีวิต ในตอนนั้นลงทุนคอนโดฯ ผมตั้งใจจะผ่อน 5 ปี ผมเลือกเลยระหว่างคอนโดฯ กับรถสปอร์ต แต่ผมเลือกซื้อคอนโดฯ แล้วคิดว่าถ้าเราผ่อน Porsche ได้ 5 ปี เราก็ต้องผ่อนคอนโดนี้ 5 ปีให้ได้ ซึ่งพอผ่อนระยะสั้น ดอกเบี้ยก็ต่ำมาก สุดท้ายผ่อนเรียบร้อยใน 5 ปี แล้วก็ไปซื้ออีกที่หนึ่ง ตอนนั้นมีการหย่าเลยได้ย้ายไปอยู่คอนโดฯ ที่ซื้อ สักพักอยากขยับขยายเลยไปซื้ออีกที่ตรงทองหล่อ เป็นตอนที่รู้สึกว่าลูกเราเริ่มโตแล้ว อายุ 5 ขวบ เริ่มวิ่งแล้ว คอนโดฯ กว้าง 90 กว่าตารางเมตรเริ่มไม่พอ และไม่ค่อยมีเงินเหลือเก็บแล้ว เลยคิดว่าต้องมีคอนโดฯ ที่ใหญ่ขึ้น และสามารถ Generate Income จากตรงนี้ให้เราได้
ผมก็ไปซื้อคอนโดฯ ใหม่ตรงทองหล่อ ตอนที่ซื้อไม่คิดเลยว่าจะทำกำไร ราคาตอนซื้ออยู่ที่ตารางเมตรละแสนต้นๆ ขนาด 143 ตารางเมตร รวมราคาประมาณ 16 ล้าน ตกแต่งอีก 2 ล้าน รวมกันไม่ถึง 20 ล้าน แล้วก็ย้ายไปอยู่ที่นั่น ส่วนอีกที่ก็ปล่อยเช่าได้ตลอดทั้ง 5 ปี มันเลยเหมือนว่าคอนโดฯ นี้แทบจะผ่อนตัวเองเกือบหมดแล้ว และมองอีกมุมได้ว่ามันจ่ายค่าเรียนลูกในโรงเรียนอินเตอร์ได้ครึ่งหนึ่ง เพราะที่จริงคอนโดฯ นี้ก็คือซื้อให้ลูกแต่ในขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งที่ช่วยจ่ายค่าเรียนให้ลูก ทำให้รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่เราโชคดี ที่ตัดสินใจถูกซื้อในที่ ทำเลติดรถไฟฟ้าเลย
“เราเป็นนักแสดง ถ้าวันนี้เรามีงานเราก็มีเงิน แต่ถ้าเกิดเราไม่มีงานจะเอาอะไรเลี้ยงลูก เลยรู้สึกว่าเราต้องกระจายความเสี่ยง ผมแบ่งเงินเป็นสองก้อน ก้อนหนึ่งคือบ้านที่เราอยู่และเราแฮปปี้ระดับนึง และอีกก้อนหนึ่งผมไปลงทุนในคอนโดแรกในชีวิต”
ในปัจจุบันก็ยังเป็นเจ้าของคอนโดมิเนียมที่ว่านี้อยู่ไหม?
ใช่ครับ ยังปล่อยเช่าอยู่ และมีอีก 2-3 ที่ที่เราซื้อขายไปเพราะหลังจากเริ่มกำไรตอนนั้น มันก็เริ่มสนุก คือเราผ่อนหมดแล้ว การลงทุนของคอนโดฯ แค่ 10 – 20 เปอร์เซ็นต์ เพราะตอนนั้นตลาดกำลังบูม เลยรู้สึกว่างั้นเราลงทุนเพิ่มอีกสัก 2 คอนโดฯ เลยไปซื้ออีกอันที่สารสิน ซึ่งเป็นอันที่เจ็บ เนื่องจากซื้อขนาด 120 ตารางเมตร 3 ห้องนอน เป็นคอนโดฯ ที่ยังสร้างไม่เสร็จ และบริหารโดยดีเวลลอปเปอร์ที่ยังไม่มีชื่อเสียงเท่าไหร่ เราซื้อก็ยังไม่ค่อยรู้อะไรมาก ตอนนั้นพอสร้างเสร็จ จากที่บอก 120 ตารางเมตร มันตีพื้นที่ออกมาได้ 136 ตารางเมตร แต่ผมมีเงินที่ 120 ตารางเมตรก็เลยไม่โอเค เพราะมันต่างกันเยอะ แล้วผมซื้อชั้นที่สวยที่สุด แต่มันติดกฎหมายที่เราไม่เคยทราบมาก่อน ปัญหาก็คือมีระเบียงแต่เราเปิดระเบียงไม่ได้ ไม่สามารถใช้ระเบียงได้ เลยรู้สึกเหมือนโดนหลอก ก็ไปปรึกษา สคบ. ขอคืนไป จากนั้นเอาเงินนี้ไปลงทุนตรงทองหล่อเป็นดีเวลลอปเปอร์เดียวกันกับที่เราอยู่แล้วมันทำกำไร
สรุปเลยได้เรียนรู้ว่า การเลือกลงทุนคอนโดมิเนียมต้องดูจากดีเวลลอปเปอร์ ดูทำเลที่เราชอบ และความต้องการจริงๆ ของเรากับคอนโดฯ นี้ จะไม่ซื้ออะไรก็ตามที่จะไม่มีวันอยู่ เพราะคิดว่าคอนโดฯ ไม่ใช่สิ่งเล็กๆ มันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ สมมติวันหนึ่งเราอยู่ตัวคนเดียว ต้องซื้อขนาด 1 ห้องนอนเราอยู่ได้ไหม ถ้าอยู่ได้ เวลาจะขายหรือปล่อยเช่าเราจะพูดด้วยความจริงใจว่าเราชอบมันด้วยความจริง แต่ถ้าเราไม่ได้ชอบมันเลย จะซื้อเพื่อลงทุนอย่างเดียวไม่ใช่สไตล์ผม
ถ้าจะเลือกคอนโดฯ ก็คือ ต้องเลือกในสิ่งที่เราชอบ เพราะสมมติว่าขายไม่ได้ เราก็จะไม่เสียดายเพราะเราอยู่ที่นี่ได้ใช่ไหม?
ใช่ หรือว่าเราอาจจะโตขึ้น เราอาจจะมีลูก หรือนึกถึงคุณพ่อคุณแม่ ต่อมาหลังจากนั้นผมลงทุนไปอีก 2 ที่แถวทองหล่อ ซึ่งลงทุนไปประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ แต่เป็นดีเวลลอปเปอร์ที่ดี จึงกู้ได้ 90 เปอร์เซ็นต์ ผมลงทุนพร้อมกันเลยทั้ง 2 แห่ง จากการเริ่มผ่อนดาวน์ พอผ่อนไปเรื่อยๆ ประมาณ 10 เดือน ที่หนึ่งก็มีคนมาขอซื้อเพราะเป็นห้องที่ดีที่สุด เป็นคอนโดฯ low-rise 7 ชั้น และเป็นตัวยู ผมเลือกมุมที่มองเห็นวิวยาวที่สุดบนชั้น 6 เพราะวิวกำลังสวยและไม่ร้อน คิดว่ามันดีแน่ๆ และสุดท้ายก็มีคนมาขอซื้อจริงๆ ผมจ่ายไปไม่เยอะจึงขายไปได้กำไรล้านกว่าบาท ส่วนอีกที่ก็ผ่อนดาวน์จนสร้างเสร็จ มันอยู่ใกล้กับที่อยู่มาก่อนหน้า เคยเก็บไว้ใช้ตอนไฟดับ ย้ายไปย้ายมา ตอนหลังขายไปทำกำไรประมาณล้านกว่าบาท เช่นกัน จากประสบการณ์ 2 ที่นี้ทำกำไรเยอะมาก เลยเป็นสิ่งที่ทำให้ชื่นชอบการลงทุนอสังหาฯ
จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในการลงทุนคอนโดมิเนียมไม่เคยขาดทุนเลย ใช่ไหม?
ผมคิดว่าจังหวะมันดี มันก็เหมือนช่วงนี้ ช่วงนี้เหมือนมันเป็นช่วงของผู้ซื้อ เพราะอสังหาฯ มันขึ้นมาระยะหนึ่งละ แต่นี้เป็นช่วงที่ทุกคนปล่อยโปรโมชั่น
นอกจากอสังหาริมทรัพย์และหุ้นที่เป็นแบบพอร์ต คุณฟลุคลงทุนอะไรอีกไหม?
อยากจะกระจายความเสี่ยงไปเรื่อยๆ เช่น ลงทุนหุ้นอย่างน้อยจะมีสัก 40 – 50 เปอร์เซ็น แล้วเก็บเงินสดไว้ประมาณ 10 เปอร์เซ็น แล้วก็คอนโดฯ น่าจะสัก 30 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ยังมีของที่เป็น Passion Investment ที่เราใช้ได้ด้วย เช่น นาฬิกา เบอร์สวย ทะเบียนรถ หรืออะไรก็ตามที่มันมีมูลค่าสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้
“ผมดูที่ความต้องการจริงๆ กับคอนโดนี้ จะไม่ซื้ออะไรก็ตามที่ผมจะไม่มีวันอยู่ สมมุติถ้าวันหนึ่งต้องอยู่คนเดียว ผมจะคิดว่าผมอยู่ได้ไหม ถ้าอยู่ได้ เวลาจะปล่อยขายหรือปล่อยเช่า ก็จะพูดด้วยความจริงใจว่า เราชอบมันจริงๆ”
จากประสบการณ์การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่เจาะจงคอนโดมิเนียมเป็นส่วนใหญ่ มีคำแนะนำสำหรับคนที่อยากลงทุนด้านนี้อย่างไรบ้าง?
สามอย่างที่บอกไปคือสิ่งสำคัญ ดีเวลลอปเปอร์, ทำเล และความรู้สึกว่าคุณชอบที่นั่นไหม เข้าไปแล้วรู้สึกอย่างไร คอนโดมิเนียมและบ้านที่ผมซื้อทั้งหมด ไม่เคยตัดสินใจเกิน 2 อาทิตย์เลย เข้าไปแล้วรู้สึกได้เลยว่านี่มันเป็นบ้านเรา และอีกอย่างคือผมเป็นคนที่ชอบคอนโดฯ ผมซื้อคอนโดฯ มากกว่าบ้าน ผมมีบ้านหลังเดียว ส่วนที่เหลือเป็นคอนโดมิเนียมหมด เพราะว่าผมชอบส่วนกลาง ชอบที่สามารถมาใช้ Facilities ได้ แล้วอีกสิ่งที่น่าประหลาดใจ ผมอยู่คอนโดฯ มาก็หลายที่ แปลกตรงที่ว่า เราคิดว่ามีจำนวนห้องเท่านี้ ถึงเวลาสระว่ายน้ำต้องคนเยอะ แต่เชื่อไหมมองไปที่สระมีคนแค่ 1-2 คน ยิมก็มีแค่ 1-2 คน มันไม่ใช่แบบที่เรามองว่า มีห้องเป็นร้อยห้องทุกอย่างต้องแย่งกันใช้ อันนี้ไม่จริงนะ ที่ผ่านมาไม่เคยเจอ เป็นเพราะผมชอบสิ่งอำนวยความสะดวก ส่วนกลาง วิว ก็เลยชอบคอนโดฯ มากกว่า และรู้สึกว่ามันขายง่าย และก็การตกแต่งมันจะไม่ได้หนักหนา
สมมติคุณไปซื้อบ้าน บ้านก็อาจจะมีข้อดี เพราะที่ดินมันขึ้นเรื่อยๆ แต่บ้านคือคนที่ซื้อเขาอยากได้ที่ดิน เขาไม่ได้อยากได้บ้านเรา แต่ถ้าเป็นคอนโดฯ คือเขาอยากได้คอนโดฯ เรา มันไม่เหมือนกัน ดังนั้นผมไม่เคยเชื่อว่า มันจะเป็นบ้านหลังเดียวตลอดชีวิต เพราะทุกอย่างมันมีการปรับเปลี่ยน สิ่งที่สำคัญเลยเป็นดีเวลลอปเปอร์ เพราะเวลาเราขาย ถ้าชื่อมันดี ราคามันมักจะไม่ตก เราจะสังเกตได้ว่ามันมีคอนโดฯ เก่าๆ ที่ราคาไม่ขึ้นเลย อาจจะขึ้นมาจากเมื่อก่อน แต่ถ้าเทียบกับที่อื่นๆ ในละแวกเดียวกัน เช่น ที่อื่น ตารางเมตรละ 2-3 แสน แต่ที่นี่ตารางเมตรไม่ถึงแสน มันมักจะเป็นคอนโดมิเนียมเก่าที่ไม่มีการรีโนเวท หรือส่วนกลางไม่สวยเลย พวกนี้จะราคาไม่ค่อยขึ้น แต่ในขณะเดียวกันถ้าเป็นเจ้าที่คนรู้จัก หรืออยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ส่วนใหญ่ราคาจะขึ้น เพราะมีคณะกรรมการของหมู่บ้าน หรือคณะกรรมการของห้องชุด หรือมีการรีโนเวทกันทุก 5 ปี
“ผมว่า Developer, Location และความรู้สึกของคุณต้องชอบมันด้วย คือ 3 สิ่งสำคัญ ซึ่งสิ่งที่น่าประหลาดคือ คอนโดที่ผมซื้อมาทั้งหมดผมไม่เคยตัดสินใจเกิน 2 อาทิตย์ คือเข้ามาแล้วรู้เลยว่า It’s Mine นี่บ้านเรา”
สถานการณ์ COVID-19 แบบนี้ หลายคนอาจจะพลิกวิกฤตเป็นโอกาส แต่บางคนก็ยังมีเงินจำกัด และติดว่ามันเป็นช่วงวิกฤตเลยไม่กล้าลงทุน อยากแนะนำอย่างไร?
แนะนำให้ลองนึกภาพถึงตอนที่ผมเพิ่งซื้อหุ้นเข้าไปเพิ่ม คือเมื่อตอนที่ตลาดหุ้นอยู่ที่ประมาณ 1,200-1,300 เมื่อตอนต้นปี พ.ศ.2563 นี้ แล้วมันก็ตกมาเหลือ 1,000 พอถึงตอนนั้น นักวิเคราะห์หลายคนพูดว่า 700 กว่า และทุกคนบอกว่าอย่าซื้อ ต้องขาย แต่สิ่งที่ทำคือผมซื้อ ผมไม่ได้ฟัง ผมค่อยๆ ซื้อ ซื้อมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึง 900 กว่าตอนที่มันฟลอร์สุดของที่ผ่านมา และตั้งแต่ตอนนั้น ถึงวันนี้ มีหุ้นบางตัวบวกต่ำสุดของผมคือ 10 เปอร์เซ็นต์ สูงสุดที่ซื้อตอนนี้กำไร 97เปอร์เซ็นต์ จากวันนั้นที่มัน 900 วันนี้เราบวก 20 จุด ณ ตอนนี้ ถ้าวันนั้นเราไม่ซื้อเราก็ตก ตกม้า มันเหมือนตอนนี้เลย
ตอนนี้ผมว่ามันเป็นช่วงของตลาดอสังหาฯ ที่ไม่มีอะไรที่จะราคาดี และโปรโมชั่นดีเท่าช่วงนี้ ดังนั้นถ้าจะเลือกซื้อสักทีหนึ่ง ผมคิดว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่เราจะได้เปรียบ ผู้ซื้อได้เปรียบที่สุด มันจะไม่คุ้มได้ไง ตอนนี้มันเป็นตลาดของผู้ซื้อจริงๆ แล้วเรามีโอกาสช้อปปิ้งที่ที่ดีที่สุด ในราคาที่ดีที่สุด ตัวอย่างเช่น อยู่ดีดีมีคนเข้ามาบอกคุณเข้ามาอยู่ 24 เดือนเราจ่ายให้คุณ เมื่อก่อนนี้เดือนนึงก็ดีใจแล้วครับ เดือนเดียวผมก็เอาแล้ว ถึงบอกว่าตอนนี้มันเป็นตลาดของผู้ซื้อจริงๆ แล้วดอกเบี้ยนี้ไม่ต้องพูดถึง มันไม่มีดอกเบี้ยอะไรถูกไปกว่านี้อีกแล้ว แบบที่คุณจะกู้ได้ และมันเป็นหนี้ที่ดี แต่สำคัญที่สุดคืออย่าเกินประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ ของรายได้ ถ้าเราไหว ก็ต้องทำ เพราะมันคืออนาคตของเรา
เพื่อย้ำว่าการลงทุนในช่วงนี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจ ดังนั้นถ้าใครสักคนสนใจจะลงทุนในคอนโดมิเนียม ตัวอย่างเป้าหมายไม่เกิน 5 ล้านบาท จะแนะนำอย่างไรดี?
ตัวอย่างเช่น 5 ล้านอยู่คนเดียว หรืออาจจะไม่อยู่อาศัยเองก็ได้ ที่สำคัญให้เลือกก่อนเลย คือทำเล กับดีเวลลอปเปอร์ที่ไว้ใจได้ ส่วนตัวจะมองแถวพระโขนง เพราะเราชอบทองหล่อ จะซื้อทำเลทองหล่อไว้เยอะ แต่ปัจจุบันนี้ทองหล่อมันแพง เลยแนะนำให้ขยับออกไปหน่อย เพราะเวลารถไม่ติดมันไม่ไกลกันเลย น่าจะเป็นอนาคตที่ดีได้ เมื่อก่อนทองหล่อแพง ต่อมาเอกมัยแพง ตอนนี้ก็น่าจะเป็นทางพระโขนง เป็นทำเลที่รถไฟฟ้าถึง และน่าจะได้ราคาที่ดีที่สุดที่สักตารางเมตรละแสนต้นๆ ถ้าตัวอย่างมีงบ 5 ล้าน อาจจะได้สัก 40 ตารางเมตร แบบ 1 ห้องนอน นี่เป็นไซส์ที่กำลังดีสำหรับปัจจุบัน และมีอนาคตที่จะเติบโตได้ และมองดีเวลลอปเปอร์ที่เราไว้ใจได้ มองที่มีชื่อเสียงเป็นสำคัญเพราะถ้าเขาเสีย เขาเสียหนักกว่าเราแน่นอน
“ตอนนี้ผมว่าเป็นช่วงของตลาดอสังหาที่ไม่มีราคาและโปรโมชั่นดีมากเท่าช่วงนี้ ดังนั้นถ้าจะเลือกซื้อ ช่วงนี้เราจะได้เปรียบในฐานะผู้ซื้อ เลือกที่ดีที่สุด ราคาที่ดีที่สุด และดอกเบี้ยถูกที่สุด สิ่งสำคัญที่สุดให้จำไว้ว่า การลงทุนเพื่อที่อยู่อาศัย คือหนี้ที่ดี แต่สำคัญที่สุดคืออย่าเกินประมาณ 30% ของรายได้ ถ้าเราไหว ก็ต้องทำ เพราะมันคืออนาคต”
แล้วถ้าจะขยับขึ้นมาอีกหน่อยถ้าสำหรับบางคน ถ้าว่าผ่อนดาวน์ได้ กู้ธนาคารก็น่าจะผ่าน งบประมาณ 10 ล้าน ลงทุนที่ไหนดี?
ผมยังเลือกที่เดิมแถวพระโขง เนื่องด้วยเรา Social Distancing อาจทำให้เราอยู่บ้านกันมากขึ้น ได้ Work from home กันจริงๆ จนกว่าวัคซีนจะออกมา หรือมันอาจจะเป็นพฤติกรรมที่กลายเป็น New Normal ก็ได้ ดังนั้นทุกคนจะต้องการพื้นที่มากขึ้น ถึงแม้เราจะมีเงินมากขึ้น แต่เราอาจจะไม่ต้องอยู่ใจกลางเมืองมาก เนื่องจากพระโขนงยังไม่ไกลเกิน เพิ่มเงินขึ้นมา เราก็อาจจะได้พื้นที่ใหญ่ขึ้น สมมติงบ 10 ล้านคุณอาจจะได้สัก 80 ตารางเมตร มันคือ 2 ห้องนอนสวยๆ หรือ 1 ห้องนอนสไตล์ Bachelor Pad แบบหล่อๆ มีห้องแต่งตัว มีสัดส่วน มีมุมทำงาน มีห้องทำงานที่ใช้ทำงานจากที่บ้าน ไม่ต้องรบกวนพื้นที่พักผ่อน แล้วมันก็จะเป็นบ้านที่ไม่อึดอัด คุณจะอยู่ได้นานขึ้น เช่น ถ้าจะต้องเปลี่ยนทุก 5 ปี 10 ปี มันอาจจะได้เกิน 10 กว่าปี
เมื่อเรามีพื้นที่มากขึ้นเรามีความสุขมากขึ้นนะ และยังประหยัดด้วย เวลาเราอยู่บ้านที่มันรก และมันเล็ก เราจะชอบออกไปข้างนอกเพราะว่าข้างนอกมันสวย แต่ถ้าพื้นที่ของเราดี เราจะอยู่บ้านมากขึ้น เราจะประหยัดมากขึ้น เราจะเก็บเงินได้มากขึ้น แล้วเราก็จะรวยขึ้น ที่แนะนำพระโขนงเพราะเป็นคนชอบแถวทองหล่อ แต่ถ้าคุณเองชอบทำเลอื่นๆ ก็ลองไปบวกลบดูว่า มันใกล้กับสิ่งที่ชอบหรือไม่ หรืออาจจะมองหาที่ที่ใกล้มหาวิทยาลัยเพื่อหาผู้เช่าได้ง่าย เพราะวันหนึ่งที่คุณไม่อยู่อาศัยเอง ก็น่าจะมีคนเข้ามาตลอดเวลา
“สิ่งสำคัญที่สุดให้จำไว้ว่า การลงทุนเพื่อที่อยู่อาศัยแล้วเป็นสิ่งที่เราต้องใช้ และยิ่งถ้าบ้านหลังแรก คือหนี้ที่ดี แต่สำคัญที่สุดคืออย่าเกินประมาณ 30% ของรายได้ ถ้าเราไหว ก็ต้องทำ เพราะมันคืออนาคตของเรา”
นิยามการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในแบบฉบับของ “ฟลุค เกริกพล มัสยวาณิช” คืออะไร?
เลือกในสิ่งที่เราคิดว่าเราจะได้ใช้ และความรู้สึกเมื่อเราเดินเข้าไปแล้วมีความสุขกับมัน มันต้องมี Passion ด้วย
สำหรับ Episode นี้ คงจะเรียนรู้ได้ว่า การที่จะประสบความสำเร็จในด้านการลงทุนได้ นอกจากทำเลที่ดี การเลือกผู้ประกอบการที่น่าไว้ใจ ข้อมูลที่มากพอแล้ว สิ่งสำคัญก็คือตัวของเราเองที่จะเป็นผู้ตัดสินใจได้ว่าที่แห่งนั้นเหมาะกับไลฟ์สไตล์การลงทุนของเราหรือไม่ มันดีพอที่เราจะเชื่อเมื่อต้องขายต่ออย่างไร ? ‘ฟลุค เกริกพล’ มีโอกาสที่ดีในการเริ่มเรียนรู้ตั้งแต่ยังอายุน้อย ทำให้มีความมั่นใจและได้ค้นหาจนพบว่ามีความหลงใหลในการลงทุนคอนโดมิเนียมมากที่สุด แต่สำหรับใครที่สนใจการลงทุนในอสังหาฯ ไม่สายไปถ้าจะเริ่มต้น โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ จังหวะที่ผู้ซื้อได้เปรียบ ลองมองหาพื้นที่ที่คุณรู้สึกมีความสุข มี Passion เชื่อมั่น และเริ่มต้นลงทุนในสไตล์ของคุณเอง
ถ้าคุณอยากเรียนรู้แนวคิดดีๆ จากคนในแวดวงอสังหาฯ ติดตาม SIRI Podcast ใน EP. ต่อไป หรืออ่านย้อนหลังได้ที่
– EP. 1 ล้วงลึกเรื่องลงทุน จากมุมมอง ‘วรางคณา อัครสถาพร’ ผู้อยู่เบื้องหลังพอร์ตรายได้กว่า 3 หมื่นล้านของแสนสิริ
– EP. 2 ‘Design ต่าง สร้าง Value’ ลงทุนในอสังหาฯ คือการลงทุนในความสุข กับ อู้ พหลโยธิน
สามารถฟังพอดแคสต์ SIRI Podcast
ผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ ด้านล่าง