“แสนสิริหวังว่าโครงการ ZERO DROPOUT เด็กทุกคนต้องได้เรียน นำร่องที่จังหวัดราชบุรี จะจุดประกายให้เห็นกลไกการเปลี่ยนแปลงการศึกษา ขยายผลนำไปใช้ทั่วประเทศ”
เพราะทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและธุรกิจ ดังนั้นการสร้าง “ความเสมอภาคทางการศึกษา” ทำให้เด็กไม่หลุดจากระบบการศึกษา เติบโตเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพของประเทศ จึงเป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนต้องให้ความสำคัญและเข้ามามีส่วนร่วม โดยบริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) หนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แถวหน้าของไทย ได้ผลักดันสร้างความเสมอภาคทางการศึกษามาอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะการสนับสนุนโครงการ ZERO DROPOUT เด็กทุกคนต้องได้เรียน ซึ่งเป็นแผนระยะยาว (เริ่มตั้งแต่ปี 2565) นำร่องที่จังหวัดราชบุรี โดยหวังให้เป็น “โมเดลต้นแบบ” ในการสร้างกลไกการเปลี่ยนแปลงการศึกษาจากระดับจังหวัด ขยายผลสู่ระดับประเทศ บนเป้าหมายช่วยเด็กหลุดจากการศึกษาเป็น“ศูนย์” ภายใต้การดำเนินงานของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา(กสศ.) และสมัชชาการศึกษาราชบุรี โดยแสนสิริเป็นผู้สนับสนุนเงินทุนจำนวน 100 ล้านบาท ผ่านนวัตกรรมทางการเงิน “ออกหุ้นกู้เพื่อลงทุนทางการศึกษา” ของภาคเอกชนรายแรกในไทย
ล่าสุดในปีนี้ ได้เกิดผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัด คือการผลักดันรูปแบบการศึกษาที่ยืดหยุ่น ด้วย “โมเดลการศึกษา 1 โรงเรียน 3 รูปแบบ” ในจังหวัดราชบุรี ได้แก่ รูปแบบการเรียนในระบบ, นอกระบบ และการเรียนตามอัธยาศัย ซึ่งเริ่มต้นแล้วใน 12 โรงเรียน ทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา เพื่อเป็นตัวเลือกทางการศึกษาให้กับเด็ก แก้ปัญหาเด็กหลุดจากระบบการศึกษา จากอุปสรรคต่างๆ อาทิ ความยากจน ความบกพร่องทางร่างกาย ความเจ็บป่วย และปัญหาทางสังคมอื่นๆ
ล่าสุด ในการประชุมเชิงปฏิบัติการ เส้นทาง 1 โรงเรียน 3 รูปแบบ “การศึกษาที่ยืดหยุ่น ป้องกันเด็กหลุดจากระบบ” ครั้งที่ 2 ที่จัดโดย กสศ.
“สมัชชา พรหมศิริ” Chief of Staff บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงบทบาทภาคเอกชนในการสนับสนุนการศึกษาที่ยืดหยุ่น เด็กทุกคนต้องได้เรียนว่า ถือเป็นบทบาทของทุกภาคส่วนรวมถึงภาคเอกชน เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กที่จะกลายเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ ทำให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีสุขภาวะที่ดี และมีความรู้ที่ดีเพียงพอ
“ภาคเอกชนเป็นภาคหนึ่งที่จะต้องเข้ามาช่วยเรื่องการศึกษา อย่ามองว่าการศึกษาไม่ใช่เรื่องของภาคธุรกิจเพราะสุดท้าย ทรัพยากรมนุษย์ที่เข้ามาทำงานในภาคเอกชนล้วนช่วยมีส่วนผลักดันเศรษฐกิจและธุรกิจ โดยโครงการนำร่องที่จังหวัดราชบุรี ที่แสนสิริเข้าไปสนับสนุนทางการเงิน เราหวังจะจุดประกายให้ทุกภาคส่วนเห็นกลไกแก้ไขปัญหา เป็นอีกนวัตกรรมทางการศึกษาที่ถูกถอดบทเรียน และขยายผลไปทั่วประเทศ”
Chief of Staff บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ยังเห็นว่าการสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาที่ยั่งยืน คือ การจัดระบบการศึกษาที่ยืดหยุ่นสอดคล้องกับวิถีชีวิตของเด็กและเยาวชนที่มีความหลากหลาย สามารถเชื่อมโลกการทำงานกับการเรียนรู้ไปด้วยกัน และตอบโจทย์ความต้องการกำลังคนของภาคเอกชน
ขณะเดียวกันเรื่องความเสมอภาคในด้านต่างๆ ไม่เฉพาะด้านการศึกษาของเด็กและเยาวชน เช่น ด้านแรงงาน เชื้อชาติ ความหลากหลายทางเพศฯ เป็นเรื่องที่แสนสิริให้ความสำคัญ เพราะมองว่า สังคมที่มีความเสมอภาค จะลดความเหลื่อมล้ำ ลดความขัดแย้ง ลดปัญหาสังคม นำไปสู่ความสุข และความยั่งยืนในที่สุด
“สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ” ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงทิศทางและนโยบายการจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่นว่า กระทรวงศึกษาธิการ ยึดนโยบาย เรียนดี มีความสุข และเด็กทุกคนมีโอกาสได้เรียน ภายใต้การเรียนเพื่อความเป็นเลิศ และการเรียนเพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิต จึงสอดคล้องกับโครงการ ZERO DROPOUT เด็กทุกคนต้องได้เรียน ที่แสวงหาโมเดลการศึกษาเพื่อ “ลดความเสี่ยง” เด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา
“ที่ผ่านมาเด็กจำนวนหนึ่งต้องหลุดจากระบบการเรียน เพราะติดปัญหา อาทิ ต้องช่วยพ่อแม่ทำมาหากิน มีปัญหาความยากจน ท้องในวัยเรียน ฯลฯ จึงต้องมีรูปแบบการศึกษาใหม่ ให้เด็กที่เข้าข่ายเหล่านี้ ไม่จำเป็นต้องมาโรงเรียนทุกวัน แต่สามารถจบการศึกษาได้ ด้วยต้องกำหนดตัวชี้วัดใหม่ พัฒนาสู่การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย โดยสามารถนำมาเทียบโอนหน่วยกิต จบการศึกษาได้เช่นกัน ซึ่งขณะนี้กระทรวงศึกษากำลังเดินหน้าเรื่อง ธนาคารหน่วยกิต เพื่อผลักดันเรื่องนี้ให้เกิดเป็นรูปธรรมต่อไป” ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ กล่าว
ด้าน “ศาสตราจารย์ ดร.สมพงษ์ จิตระดับ” กรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า การปลุกพลังและเปิดมุมมองสร้างโอกาสการศึกษาที่ยืดหยุ่นและเป็นไปได้เพื่อเด็กทุกคน เมื่อรับฟังนโยบายด้านการศึกษาจากกระทรวงศึกษาธิการแล้ว ทำให้เห็นความเป็นไปได้ในแก้ปัญหาเด็กหลุดจากระบบการศึกษา ซึ่งปัจจุบันทั่วประเทศประเมินว่ามีเด็กเสี่ยงหลุดจากระบบการศึกษาจำนวนกว่า 1 ล้านคน
ทั้งนี้เห็นว่าการเรียนในรูปแบบใหม่ต้องยืดหยุ่นมองทะลุจาก “ห้องเรียน” ไปสู่ภายนอก มีห้องเรียนที่แยกออกไปจากห้องเรียนปกติให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตเด็ก เพื่อประคับประคองให้จบการศึกษา อย่างไรก็ตามการดำเนินการจะต้องกำหนดรูปแบบการศึกษาให้เด็กที่จบการศึกษาโดยไม่หย่อนคุณภาพ
“รูปแบบการศึกษา ต้องยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง กล้าคิดนอกกรอบ และมีกฎหมายรองรับที่ถูกต้อง ซึ่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ปี 2542 ก็เปิดทางให้ดำเนินการได้ ในมาตรา 15 ที่กำหนดให้โรงเรียนสามารถจัดการศึกษาในระบบหรือนอกระบบได้ตามอัธยาศัย ขณะที่ พระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ 2566 ในมาตรา 6 และมาตรา 15 ระบุถึง การเรียนรู้ตลอดชีวิต การเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเอง และการเรียนรู้เพื่อคุณวุฒิตามระดับ โดยเห็นว่าหากสามารถแก้ปัญหาเด็กหลุดออกจากระบบได้ จะถือเป็นการตัดวงจรความยากจน และยุวอาชญากร แก้ปัญหาสังคมได้” ดร.สมพงษ์ กล่าว
“ชัยศักดิ์ ภูมูล” ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านกองม่องทะ จังหวัดกาญจนบุรี หนึ่งในผู้เข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการ กล่าวถึงโมเดลการศึกษา 1 โรงเรียน 3 รูปแบบว่า ถือเป็นรูปแบบการศึกษาที่ทันสมัย สอดคล้อง เหมาะกับการจัดการศึกษาให้กับเด็ก ทั้งในพื้นที่ทุรกันดาร พื้นที่ห่างไกล ซึ่งมีเด็กเสี่ยงที่จะหลุดออกจากระบบการศึกษา หรือแม้แต่โรงเรียนในเมือง โดยหลักสูตรนี้จะเป็นการรักษาไว้ซึ่ง “โอกาสทางการศึกษาขั้นพื้นฐาน” ให้กับเด็ก
“ส่วนตัวเคยใช้รูปแบบ 1 โรงเรียน 3 รูปแบบมาแล้วระดับหนึ่ง พบว่า สามารถป้องกันเด็กหลุดจากระบบการศึกษาได้ เช่น เด็กที่ท้องในวัยเรียน เด็กที่มีภารกิจต้องดูแลผู้ปกครอง ไม่สามารถปลีกตัวมาเรียนได้เต็มเวลา หรือเด็กที่ประสบอุบัติเหตุต้องใช้เวลาฟื้นฟูกายภาพ โดยหลักสูตรนี้สามารถรองรับโอกาสทางการศึกษาของเด็กไว้ได้”
ชัยศักดิ์ ยังกล่าวอีกว่า อยากเห็นการพัฒนาการศึกษา ให้การศึกษาไม่แข็งตัวจนเกินไป ยืดหยุ่นรองรับทุกบริบทปัญหาของเด็ก ทั้งในเชิงป้องกัน แก้ไข และเป็นทางเลือกการศึกษาให้เด็กสามารถเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย ขณะเดียวกันต้องมีความเข้มแข็งในเรื่องของหลักสูตร มีความเข้มแข็งในเรื่องของสถานศึกษา และมีความเข้มแข็งในเรื่องของภาคีเครือข่ายการจัดการศึกษาไปพร้อมกัน
และทั้งหมดนี้ คือรูปธรรม และมุมมองที่สอดคล้องกันในการแก้ไขปัญหาเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา จากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน สะท้อนให้เห็นถึง “ความร่วมมือ” ทั้งในระดับนโยบาย ระดับปฏิบัติการของรัฐ และความร่วมมือจากภาคเอกชน เพื่อผลักดันเป้าหมายช่วยให้เด็กหลุดจากการศึกษาเป็น “ศูนย์” (ZERO DROPOUT) ทำให้เกิดความเสมอภาคทางการศึกษา เพิ่มศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ พร้อมไปกับการแก้ปัญหาสังคมอย่างยั่งยืน