Overthinking

Overthinking
คิดแบบโอเวอร์จนทำลายสุขภาพใจ

ปลดปล่อยตัวเองจากการคิดมาก
ด้วยการมองโลกตามความเป็นจริง 

ไหนใครเป็นมนุษย์ที่คิดมากบ้างคะ? เราเชื่อว่าหลายคนเป็นหนึ่งในนั้น เพราะในแต่ละวันเรามีเรื่องให้คิดและเรื่องที่จะต้องตัดสินใจเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องครอบครัว ความสัมพันธ์กับคนรัก หรือแม้แต่เรื่องที่เราต้องเผชิญอยู่ในชีวิตประจำวัน 

หลายคนคงเคยได้ยินว่า เมื่อคนเราคิดมาก ก็ให้ปล่อยวางสิ เดี๋ยวเราก็จะรู้สึกดีขึ้น แต่ในความเป็นจริงนั้น “การปล่อยวาง” จากสิ่งที่เรากังวลหรือสิ่งที่เรากำลังคิดมากอยู่นั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมากใช่ไหมล่ะคะ เราจึงต้องค่อยๆ ลองฝึกปล่อยวางและยอมรับความจริงค่ะ

“การคิดมาก” เกิดขึ้นจากการที่เราคิดวนไปวนมาเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งในด้านลบซ้ำๆ โดยที่เราไม่สามารถแก้ไขปัญหานั้นได้ เกิดความกังวลใจ จนเราไม่ได้พักสมอง ร่างกาย และจิตใจ ซึ่งทำให้ส่งผลต่อสุขภาพใจและสุขภาพกายของเรา

เหมือนการที่เราใส่ของลงไปในกระเป๋า แบกจนมันหนักมากเกินไป แล้วไม่เอาของในกระเป๋านั้นออกสักที สุดท้ายมันอาจจะหนักจนเราแบกไม่ไหวทำให้ส่งผลต่อสุขภาพกายของเราค่ะ การคิดมากก็เช่นกัน มนุษย์เรามักต้องการความสมบูรณ์แบบ แบกความคาดหวังทั้งของตัวเองและของผู้อื่น ทำให้เราตกอยู่ในวังวนของการคิดมากซึ่งอาจจะทำให้มีปัญหาทางด้านสุขภาพใจและส่งผลเสียต่อสุขภาพกายตามมา นั่นเองค่ะ

ทุกคนอาจจะคิดว่าเมื่อเราอายุมากขึ้น มนุษย์น่าจะคิดมากมากขึ้น แต่จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัย University of Michigan พบว่ากลุ่มวัยรุ่นตอนปลายหรือวัยทำงานที่มีอายุระหว่าง 25 – 35 ปี ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่คิดมากที่สุดถึง 73% และเมื่ออายุมากขึ้น เราจะคิดมากน้อยลงนะคะ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นนะหรอ อาจเพราะคนส่วนใหญ่เมื่ออายุมากขึ้นได้เรียนรู้จากประสบการณ์ชีวิตและรู้จักที่จะยอมรับความจริงมากขึ้นนั่นเองค่ะ 

วันนี้ Mental Life by Chanisara จะพามาเปิดเหตุผลว่าทำไมหลายคนถึงคิดมาก รวมถึงบอกวิธีที่จะทำให้เราไม่คิดมากกันค่ะ

ทำไมคนเราถึง “คิดมาก” กันนะ

การคิดมากเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เพราะในแต่ละวัน เราทุกคนมีเรื่องให้คิดเต็มไปหมด ทุกคนรู้ไหมว่า สมองของเราคิดเรื่องต่างๆ ถึงวันละ 15,000 – 50,000 ความคิด และส่วนมากเราจะติดกับดักความคิดวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา ถึง 80 – 90% เลยทีเดียว

มนุษย์มักคิดมากอาจจะเพราะ เรามักจินตนาการถึงอนาคตที่ยังไม่เกิด แล้วกลัวสิ่งผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นไม่ว่าเรื่องไหนก็ตาม บางคนยึดติดกับความสมบูรณ์แบบ ทุกอย่างจะต้องเพอร์เฟค จะมีอะไรผิดพลาดไม่ได้ และมักจะแบกความคาดหวังของตัวเองและผู้อื่นเอาไว้ จนทำให้เราคิดเรื่องนั้นซ้ำๆ จนเกิดความวิตกกังวล บางทีเราแค่ลองตั้งสติแล้วมาอยู่กับปัจจุบัน และทำปัจจุบันให้ดีที่สุดโดยไม่คิดถึงอนาคต หรืออดีตที่ผ่านไปแล้ว การคิดมากของเราอาจจะลดลงก็ได้นะคะ

ตอนเราคิดมากสมองและร่างกาย…ทำงานยังไงนะ 

การคิดมากมักจะเกิดขึ้นจาก การที่เราจินตนาการกับเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น พอจินตนาการแล้วสมองส่วน “Amygdala” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสมองที่ควบคุมอารมณ์ ทำหน้าที่ส่งสัญญาณเตือนภัยร่างกาย โดยสมองส่วน Amygdala จะส่งสัญญาณต่อ ไปยังสมองส่วน “Hypothalamus” เพื่อที่จะทำให้ร่างกายของเราเกิดความเครียด ส่งผลให้เราจะหายใจเร็ว กล้ามเนื้อตึง ฯลฯ แม้เหตุการณ์นั้นจะไม่ได้เกิดขึ้นจริงก็ตาม จากนั้นสมองจะหลั่งฮอร์โมน “Cortisol” ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เวลาเครียดร่างกายจะหลั่งออกมา พอเรารู้สึกเครียด รู้สึกไม่ปลอดภัย รู้สึกอันตราย จึงส่งผลให้เราคิดมาก  

ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ส่วนใหญ่การคิดมาก มาจากการจินตนาการ ของเราในทางที่ไม่ดีส่งผลให้สมองของเราคิดว่าไม่ปลอดภัย ทำให้เราเครียด แล้วเกิดการคิดมากนั่นเองค่ะ

แต่บางครั้งการคิดมากก็มีข้อดี

ทุกคนรู้ไหม การคิดมากไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดีเสมอไปนะ เพราะบางครั้งการคิดมากก็ทำให้เราได้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว ก่อนที่จะตัดสินใจทำบางสิ่งบางอย่าง เพื่อจะไม่ให้เกิดความผิดพลาดหรือเกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด เพราะได้ถูกวางแผนมาอย่างดีแล้ว รวมถึงเราจะได้คิดอย่างละเอียดรอบคอบ และมองเห็นในจุดที่คนอื่นมองไม่เห็น ทำให้สิ่งที่เราจะทำไม่เกิดข้อผิดพลาดนั่นเองค่ะ แต่เราทุกคนต้องคิดยังพอเหมาะนะคะ เพราะหากคิดมากไปจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพใจของเรานั่นเองค่ะ 

How to ปลดปล่อยตัวเองจากการคิดมาก

หยุด การคิดมาก ด้วยการไปทำสิ่งอื่น จะได้ไม่จมอยู่กับความคิดของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายหรือเล่นกีฬา เช่น ว่ายน้ำ ตีแบต วิ่ง เล่นบาส การทำเช่นนั้นจะทำให้เราสามารถหยุดฟุ้งซ่านชั่วคราว รวมถึงเวลาเราออกกำลังกายสมองจะหลั่ง ฮอร์โมนเอ็นโดรฟิน ซึ่งทำให้เรามีอารมณ์ที่ดีขึ้นนั่นเองค่ะ

พูดคุยกับคนที่ไว้ใจได้ หรือลองปรึกษานักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ เพื่อที่เราจะได้สบายใจขึ้น และได้มุมมองใหม่ๆ เพื่อไปปรับใช้กับชีวิตของเราเอง

การมองโลกตามความเป็นจริง จะทำให้เรายอมรับ และคิดฟุ้งซ่านน้อยลง

ลองออกไปข้างนอก เพราะการเปลี่ยนสถานที่ทำให้ความคิดของเราเปลี่ยนได้เช่นกัน  หรือเราออกไปสถานที่ที่ทำให้เรารู้สึกสงบ ธรรมชาติ จะทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นและความคิดฟุ้งซ่านของเราจะลดลง 

ฝึกสติให้มีสมาธิ การฝึกสติด้วยการกำหนดลมหายใจเข้าออกช้าๆ หรือการนั่งสมาธิเป็นการทำให้เรามีสติ ขจัดความคิดฟุ้งซ่าน ทำให้เราสามารถเห็นทางออกของปัญหาและทำให้เราสบายใจขึ้นด้วยค่ะ

ไม่ไปอยู่ในที่ที่กระตุ้นความคิดฟุ้งซ่าน หากเรารู้ว่าถ้าเราอยู่สถานที่ไหน หรือสถานการณ์ไหนที่ทำให้เรายิ่งคิดฟุ้งซ่าน เราก็เดินออกมาจากความไม่สบายใจนั้น เพื่อจะไม่ให้เรารู้สึกแย่หรือบั่นทอนสุขภาพจิตของเราค่ะ 

การคิดมาก อาจเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่มันบั่นทอนสุขภาพจิตและสุขภาพใจของเรา ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของเราค่ะ เพราะฉะนั้นถ้าใครคิดมาก เรามา “หยุด” ความคิดมากไปด้วยกันนะคะ


Source

https://www.talkiatry.com/blog/why-do-i-overthink-everything 

https://news.umich.edu/most-women-think-too-much-overthinkers-often-drink-too-much/ 

https://www.medicalnewstoday.com/articles/326944#tips 

https://www.health.harvard.edu/staying-healthy/understanding-the-stress-response#:~:text=The%20stress%20response%20begins%20in,distress%20signal%20to%20the%20hypothalamus 

https://www.psychologytoday.com/us/blog/brothers-sisters-strangers/202407/how-to-stop-the-rumination-that-often-plagues-the-estranged

Related Articles

hug

“การกอด” การแสดงความรักที่เรียบง่าย ยาวิเศษที่ช่วยเยียวยาร่างกาย

“การกอด” เป็นการแสดงความรักที่เรียบง่ายและแสนพิเศษ และยังเป็นยาวิเศษที่ช่วยเยียวยาร่างกาย และฟื้นฟูจิตใจได้ ทุกคนคิดว่าการกอดสำคัญไหมคะ? การกอดเป็นการแสดงความรัก ให้ความอบอุ่นซึ่งกันและกัน ทำให้ผู้กอดและผู้ถูกโอบกอดรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นใจ เหมือนมีแสงอุ่นๆออกจากตัวของคนคนหนึ่งส่งต่อไปเพื่อโอบกอดหัวใจของใครอีกคน  ทุกคนรู้ไหมว่าการกอด นอกจากจะส่งผลดีต่อสุขภาพจิตสุขภาพใจแล้ว ยังส่งผลดีต่อสุขภาพกายของเราด้วย การกอดจึงเปรียบเสมือนยาวิเศษ เป็นภาษากายที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังที่ทำให้ทุกคนที่ได้รับการโอบกอดรู้สึกดีและยังบรรเทาอาการเกิดโรคต่างๆ ทางร่างกายได้อีกด้วย  ทุกคนคงจะแปลกใจกันใช่ไหมคะว่าแค่กอดจะเยียวยาร่างกายและจิตใจของเราได้จริงๆ หรอ ไม่ว่าจะเป็นความเครียดหรือความวิตกกังวล แต่ที่น่าแปลกใจ คือมีงานวิจัยหลายชิ้น

Inner Speech

เปลี่ยน “เสียงในหัว” เปิดประตูสู่การมีสุขภาพจิตที่ดี

เปลี่ยน “เสียงในหัว” ที่เราพูดกับตัวเองในใจ ให้เป็นเชิงบวก เพื่อสะท้อนความคิด เปิดประตูสู่การมีสุขภาพจิตที่ดี  ใครมีเสียงในหัวบ้างคะ หลายคนอาจจะสงสัยใช่ไหมละคะว่าเสียงในหัวคืออะไร?เสียงในหัว เสียงที่เราพูดกับตัวเองในใจ ซึ่งออกมาจากความคิดของเราเอง อาจจะเป็นความคิดที่เราพูดกับตัวเองทั้งในแง่บวกและในแง่ลบ ซึ่งเป็นเสียงที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติและเป็นเรื่องปกติที่สามารถจะเกิดขึ้นได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีเสียงในหัวของตัวเองนะคะ บางคนมีเสียงในหัวตลอดเวลา บางคนมีเสียงในหัวเป็นครั้งเป็นคราว และบางคนไม่มีเสียงในหัวเลย แต่สามารถคิดเป็นภาพหรือความรู้สึกได้  หากเรามี “เสียงในหัว” เราสามารถฝึกเสียงในหัวตัวเอง

ChatGPT

ChatGPT AI ที่ไม่มีความรู้สึก แต่ปลอบโยนมนุษย์ให้สบายใจได้

ChatGPT พื้นที่ระบายความในใจโดยไม่ตัดสิน ถึงแม้ไม่มีความรู้สึก  แต่โอบกอดหัวใจทำให้มนุษย์รู้สึกดีขึ้นได้ ในปี 2025 ที่ AI เข้ามามีบทบาทในยุคปัจจุบัน AI ที่ทุกคนรู้จักอย่างแพร่หลายอย่าง ChatGPT ไม่ได้เป็นเพียงปัญญาประดิษฐ์ที่ช่วยผู้คนหาคำตอบ แต่หลายคนใช้ ChatGPT เพื่อพูดคุยเยียวยาจิตใจ เพราะคุยและตอบคำถามได้ดี เหมือนเวลาเราไปปรึกษาใครสักคนจริงๆ ChatGPT จึงเป็นเพื่อนคุยที่สามารถทำให้เราลดความเครียด