A Journey of
SANSIRI ICONIC DESIGN

หากลองจินตนาการพาตัวเองไปอยู่ในช่วงเวลาแห่งบรรยากาศอันรื่นรมย์ในยุคที่ศิลปะรุ่งเรืองถึงขีดสุด

SANSIRI ICONIC DESIGN-Sansiriluxurycollection-narasiri

ความวิจิตรงดงามแฝงอยู่ในทุกอณูของการใช้ชีวิต ทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์ วรรณกรรม ดนตรี จิตรกรรม และสถาปัตยกรรม ศิลปะทุกแขนงล้วนถูกรังสรรค์อย่างประณีตบรรจง คงเป็นอีกหนึ่งห้วงแห่งกาลเวลาที่มหัศจรรย์และน่าจดจำไม่น้อย

บทกวีร้อยเล่าเรื่องราวของการเดินทางถูกย้อนเริ่มต้นในศตวรรษที่ 18 จากยุคสมัยที่รุ่มรวยด้วยศิลปะอันน่าหลงใหล ช่วงเวลาที่เหล่าศิลปินชั้นเอกต่างใช้เวลาทั้งชีวิตอุทิศตนเพื่อรังสรรค์ชิ้นงานมาสเตอร์พีซให้คงอยู่อย่างเหนือกาลเวลา ขอเชื้อเชิญไปดื่มด่ำบรรยากาศอันหรูหราของความเรืองรองทางงานศิลป์อันเลอค่า จากบันทึกหน้าประวัติศาสตร์แต่ละยุคสมัย

Sansiri Luxury Collection สู่แรงบันดาลใจของ Sansiri Iconic Design พร้อมถ่ายทอดทุกความงดงาม บอกเล่าผ่านโครงการระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ที่พิถีพิถันอย่างเหนือความคาดหมาย คัดสรรทุกรายละเอียดให้เข้ากับบริบทการใช้ชีวิตอย่างสุนทรีย์ รังสรรค์สู่ที่พักอาศัยอันน่าภาคภูมิและเป็นเกียรติที่ได้ครอบครอง

Regency Era (1811-1820 AD) : ประณีต ภูมิฐาน สะท้อนความภาคภูมิในแบบอังกฤษ

ภาพความรุ่มรวยในอดีตตามแบบฉบับราชวงศ์อังกฤษ วิถีชีวิตที่มีพิธีรีตอง ถูกรายละเอียดล้วนละเมียดละไม ความรู้สึกเหล่านี้คือสิ่งที่แฝงอยู่ในสถาปัตยกรรมด้วยเช่นกัน

การเดินทางชื่นชมศิลปะอันเป็นที่สุดของโลก ได้มาถึงช่วงเวลาของยุค Regency อันก่อกำเนิดที่ประเทศอังกฤษ ในรัชสมัยของ King George IV ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ศิลปะหลายแขนงรุ่งเรืองถึงขีดสุด ไม่เพียงแต่สถาปัตยกรรม แต่ยังรวมไปถึงวรรณกรรม ดนตรี จิตรกรรม และการออกแบบต่างๆ การใช้ชีวิตของผู้คนในช่วงเวลานั้นโดยเฉพาะชนชั้นสูงล้วนพากันให้ความสำคัญกับความสุนทรีย์ในชีวิต สังคมในสมัยนั้นจึงรุ่มรวยด้วยศิลปะ ความวิจิตรงดงามหรูหราถูกสอดแทรกอยู่ในวิถีชีวิตอย่างกลมกลืน ซึ่งรวมไปถึงที่อยู่อาศัย และอาคารบ้านเรือนด้วย

ตัวอาคารมักถูกออกแบบด้วยโทนสีขาว ตกแต่งด้วยเส้นสายสีดำ เป็นความภูมิฐานที่ดูน้อยแต่มาก และภายใต้ความเรียบง่ายยังมีชั้นเชิงอันแยบคายของรายละเอียด เช่นโค้งประตูงดงามอ่อนช้อย ราวระเบียงที่ประณีต ตัวอย่างเช่น ‘พระราชวังบัคคิงแฮม’ (Buckingham Palace) แลนด์มาร์กสำคัญในกรุงลอนดอนที่แสนสง่างามแต่มากด้วยรายละเอียดอันวิจิตรบรรจง ก็ถูกสรรค์สร้างด้วยสถาปัตยกรรมแนวนี้

อัตลักษณ์ของ Iconic Design แห่งผู้ดีอังกฤษอย่างยุคสมัย Regency ได้ถูกเลือกมาใช้รังสรรค์โครงการบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ โดย รังสรรค์ดีไซน์อันงดงามโดยไม่ผ่อนปรนในความสมบูรณ์แบบทุกรายละเอียด เริ่มตั้งแต่ซุ้มทางเข้าโครงการ งานฝีมือเหล็กดัดแบบ Low Carbon แสนประณีต Facade โทนขาวตกแต่งสีดำของตัวบ้าน ความโค้งมนของประตู (Archway) ที่ช่วยเพิ่มความโอ่โถงหรูหรา ไปจนถึงการจัดแต่งสวนที่งดงามราวกับภาพวาดของศิลปินก้องโลก แต่งแต้มความตระการตาด้วยวัสดุเลอค่าอย่างหินอ่อน Cipollino Rosso

อีกหนึ่งศิลปะขั้นสูงอันวิจิตรบรรจง ที่ขึ้นชื่อว่าเป็น Iconic Piece แห่งยุครีเจนซี่ คือภาชนะเครื่องเคลือบพอร์ซเลน (Porcelain) แบรนด์ Wedgwood Jasperware ที่มีสีฟ้าอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งได้รับความนิยมในเหล่าราชวงศ์อังกฤษจนได้รับพระราชทานอนุญาตให้ใช้ชื่อว่า Queen’s Ware และแรงบันดาลใจจาก Wedgwood Jasperware มาใช้ตกแต่งภายในโครงการ เพิ่มบรรยากาศผ่อนคลายภายในคลับเฮาส์ด้วยโทนสีฟ้า Wedgwood Blue และลวดลายอ่อนช้อยสีขาวอันเป็นเอกลักษณ์ แต่งแต้มความตระการตาด้วยวัสดุเลอค่าอย่างหินอ่อน Cipollino Rosso ทำให้โครงการนี้โดดเด่นที่เพียงแค่มองก็รับรู้ถึงวิจิตรของเส้นสายสไตล์รีเจนซี่

Renaissance Revival (1880 – 1890 AD) : งดงามในรายละเอียด สะท้อนกลิ่นอายแห่งมหานครนิวยอร์ก

จินตนาการถึงภาพมหานครนิวยอร์กอันโด่งดัง ผังเมืองที่มีระเบียบ สองข้างทางเรียงรายไปด้วยอาคารอิฐสีส้มโดดเด่น ประดับประดาด้วยเหล็กสีดำ ดูสง่างามและเคร่งขึม สถาปัตยกรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของเมืองและเป็นภาพจำมาจนทุกวันนี้ คือความรุ่งเรืองจากยุค Renaissance Revival

เรากำลังเดินทางไปสู่หนึ่งในยุคที่ใครๆ ต่างขนานนามว่า ‘นี่คือการกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งของสถาปัตยกรรม สังคม และศิลปวัฒนธรรม’ Renaissance Revival คือยุคสมัยอันรุ่งเรืองในมหานครนิวยอร์กในช่วงศตวรรษที่ 18- ศตวรรษที่ 19 นี่คือการกลับมาอีกครั้งของความงดงามแบบ Renaissance ในช่วงศตวรรษที่ 16 ที่เป็นส่วนผสมอันก่อเกิดอัตลักษณ์ของการออกแบบที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวของสถาปัตยกรรมแบบอิตาลีดั้งเดิมและสถาปัตยกรรม Renaissance แบบฝรั่งเศส

สะกดสายตาด้วยเอกลักษณ์อันน่าจดจำ ทั้งรูปทรงจั่ว ซุ้มโค้ง เสาตื้น และหน้าต่างแบบ Repeated Pattern ตัวอาคารนิยมสร้างด้วยหิน Limestone ที่ให้อารมณ์เคร่งขรึมน่าค้นหาและเป็นวัสดุที่มีมูลค่ามาทุกยุคสมัย สถาปัตยกรรมในรูปแบบนี้ถูกรังสรรค์ไว้มากมายในมหานครนิวยอร์ก ซึ่งแต่ละสถานที่ยังคงสง่างามและตราตรึงใจไม่ว่าจะผ่านมาเนิ่นนานแค่ไหน ทั้ง Lotte New York Palace หรือ The St. Regis New York

คือผลลัพธ์จากความหลงใหลในเอกลักษณ์อันโดดเด่นของยุค ดังเห็นได้จากประตูทางเข้าสไตล์ Grill Works สวนของโครงการที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาตินานาพรรณ ซึ่งเกิดจากแรงบันดาลใจของ Central Park และประติมากรรมน้ำพุที่วิจิตรงดงามตามแบบฉบับ Besthasda Foutain บริเวณคลับเฮ้าส์คือสัญลักษณ์ที่ทำให้ผู้พักอาศัยรู้สึกราวกับเดินพักผ่อนหย่อนใจในวันอากาศแสนสบายที่มหานครนิวยอร์ก

แนวคิดของผังเมืองย่านแมนฮัตตันถูกนำมาใช้กับการวางตำแหน่งบ้านแต่ละหลังเพื่อให้สามารถเข้าถึงพื้นที่สวนอันร่มรื่นได้อย่างสะดวกสบาย เพิ่มเติมเอกลักษณ์แบบฉบับนิวยอร์กด้วย The Sky Palor ห้องกระจกที่มีทัศนียภาพงดงาม 180 องศา บรรดารายละเอียดน้อยใหญ่ในทุกมุมมองและทุกสัมผัสของโครงการนี้ ได้ทำหน้าที่ถ่ายทอดความงดงามของ Renaissance Revival ที่สอดแทรกอยู่ในวิถีชีวิตชนชั้นสูงของมหานครนิวยอร์กอย่างลึกซึ้ง

Beaux-Arts (1885 – 1930 AD) : เอกลักษณ์ของความคลาสสิก ศิลปะอันวิจิตรที่เหนือกาลเวลา

ท่ามกลางสีสันของมหานครนิวยอร์กที่ไม่เคยหลับใหล ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเร่งรีบ แต่สถาปัตยกรรมอันเป็นสัญลักษณ์ของเมืองที่ยังคงตั้งตระหง่านท้าทายกาลเวลา นั่นคือ Grand Central Terminal หนึ่งในสถานีรถไฟที่สวยที่สุดในโลก ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงยุค Beaux-Arts หรือที่ขนานนามว่า ‘สถาปัตยกรรมแบบวิจิตรศิลป์’ อันมีต้นกำเนิดมาจากสถาบันวิจิตรศิลป์แห่งกรุงปารีส (École des Beaux-Arts)

Beaux-Arts โดดเด่นด้วยการดึงอัตลักษณ์ของสถาปัตยกรรมกรีก-โรมันโบราณ โดยใช้หลักแนวคิดจากสถาปัตยกรรมสมัย Renaissance และ Baroque ผสมผสานกับความเป็นอยู่ในยุคนั้น หลอมรวมจนเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมที่หรูหราทรงพลัง เป็นที่นิยมไปทั่วยุโรปและอเมริกา ในช่วงราวศตวรรษที่ 19- ศตวรรษที่ 20

จากความหลงใหลของชาวปาริเซียงสู่ความนิยมของอเมริกันชน สถาปัตยกรรม Beaux-Arts คือแบบแผนในการสร้างสถานที่สำคัญต่างๆ ทั้งในสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศส ไม่ใช่เพียงการออกแบบพื้นที่อย่างโอ่โถงหรูหรา แต่ยังคัดสรรแต่วัสดุชั้นเลิศตระการตามาประดับประดาอยู่เสมอ เช่นการตกแต่งด้วยงานศิลปะ Baroque หรือ Roccoco นำงานประติมากรรมอันอ่อนช้อยมาสอดแทรกในการออกแบบอาคารด้านนอก ไปจนถึงหัวเสา ซุ้มประตู ฯลฯ ทำให้ทุกกระเบียดนิ้วรุ่มรวยด้วยศิลปะ สะท้อนความหรูหรามีระดับ Beaux-Arts คือแรงบันดาลใจในการรังสรรค์ โครงการที่อยู่อาศัยระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่บนถนนวิทยุที่ศิวิไลซ์ เพียบพร้อมเสมือน Fifth Avenue อันเป็นศูนย์กลางธุรกิจและย่านมหาเศรษฐีที่โด่งดังในแมนฮัตตัน มหานครนิวยอร์ก โดยนอกจากตัวอาคารแล้ว การตกแต่งภายในยังเต็มไปด้วยรายละเอียดที่วิจิตรงดงามในทุกตารางนิ้ว

งานฝีมืออันเป็นเลิศถูกรังสรรค์เพื่อโครงการนี้โดยเฉพาะ ทั้งผลงานหล่อปูนสุดประณีตบริเวณเพดาน คิ้วบัว และหัวเสา คราฟท์โดยทีมช่างฝีมือชั้นสูงจากนิวยอร์ก ‘Hyde Park Mouldings’ และเพื่อถ่ายทอดสุนทรียสัมผัสของศิลปะนี้ได้อย่างถ่องแท้ ทีมงานจึงคัดสรรวัสดุที่ดีที่สุดในโลกอย่างหินอ่อน Statuario จากอิตาลี นำมาเรียงร้อยต่อลาย Bookmatch อย่างลงตัว เพื่อประดับประดาแต่ละยูนิตให้มีความโดดเด่นสวยงาม อีกทั้งบรรดาสิ่งเล็กน้อยยังสามารถสะท้อนรสนิยมได้อย่างละเอียดอ่อน เช่น ลูกบิดและกลอนจาก Baldwin ที่ถูกเลือกใช้สำหรับทำเนียบขาว ไปจนถึงประตูไม้จริงลาย Mahogany Crotch และพื้นไม้ โอ๊คลาย Herringbone นำเข้าจากสหรัฐอเมริกา

ความเหนือกาลเวลาของ Beaux-Arts ถูกถ่ายทอดภายใต้ปรัชญา ‘The Best Comes as Standard’ ของ 98 Wireless เพื่อให้ผู้ครอบครองได้สัมผัสถึงมาตรฐานที่ดีที่สุดของความงดงามในทุกองค์ประกอบอย่างแท้จริง

Industrial Heritage (Present) : ความหรูหราของสัจจะวัสดุ ที่ถูกบอกเล่าอย่างมีชั้นเชิง

ยุคสมัยแห่งความสวยงามที่ฉีกภาพจำเดิมๆ Industrial Heritage คือเรื่องราวในอดีตที่ถูกส่งต่อมายังอนาคต เริ่มต้นจากช่วงยุคหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมผ่านพ้นไป

ช่วงเวลาหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ เมื่อมวลมนุษย์ได้ก้าวข้ามผ่านภาวะสงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากเหตุการณ์นั้นสิ่งที่หลงเหลืออยู่คือโครงสร้างอาคารของกิจการต่างๆ ที่ต้องปิดตัวลง ขณะนั้นเอง แนวคิดการออกแบบ Industrial Heritage ได้ก่อกำเนิดขึ้น ด้วยสายตาของเหล่านักสร้างสรรค์ที่มองเห็นแง่มุมที่งดงามของทุกสรรพสิ่งอยู่เสมอ ในความดาษดื่นของโครงสร้างมากมาย พื้นที่ว่าง ไปจนถึงผิวสัมผัสของสัจจะวัสดุ สิ่งเหล่านี้ถูกนำมาบอกเล่าใหม่ในมุมมองที่แยบคาย สไตล์ Industrial Heritage

อัตลักษณ์ของสถาปัตยกรรม Industrial Heritage จะมีความโดดเด่นเมื่ออยู่ในบริบทที่ลงตัว สำหรับกรุงเทพฯ ย่านทองหล่อคือพื้นที่ที่ผสานความเป็น Industrial และ Heritage ไว้อย่างกลมกลืน ด้วยการคลุกเคล้าความเป็นย่านที่อยู่อาศัยของตระกูลเก่าแก่และร้านรวงดั้งเดิม หลอมรวมเข้ากับบรรยากาศของแหล่งแฮงก์เอาท์ที่ล้ำสมัย จึงถูกเลือกเป็นพื้นที่ตั้งของโครงการที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการออกแบบสไตล์ Industrial Heritage นั่นคือ 2 โครงการคอนโดมิเนียมสุดลักซ์ชัวรี่ภายใต้

โดดเด่นด้วยโครงสร้างของอาคารรูปทรง Monolith และสระว่ายน้ำที่มีเอกลักษณ์ราวประติมากรรมที่ตระหง่านอยู่ใจกลางเมือง ด้วยแรงบันดาลใจจากวงปีของต้นไม้ใหญ่ที่ดึงดูดสายตาและชวนให้ค้นหาอย่างไม่รู้เบื่อราวกับได้จ้องมองงานศิลปะชั้นเยี่ยม รสนิยมอันหรูหราถูกสะท้อนผ่านบรรดาผลงานศิลปะระดับโลกที่รวบรวมไว้ที่โครงการนี้ ทั้งแชนเดอเลียจาก Lasvit ที่รังสรรค์มาเป็นพิเศษ และ Murano Lamp หนึ่งในหกคู่ของโลก รวมทั้งภาพผลงานศิลปะอันประเมินค่ามิได้อีกมากมายที่ทำให้ The Monument Thonglor ไม่ได้ถูกจำกัดแค่นิยามของที่พักอาศัย แต่เป็นเสมือนมรดกแห่งวงศ์ตระกูลที่จะส่งมอบต่อไปนับทศวรรษ

โดดเด่นจนแทบละสายตาไม่ได้ และทำให้เราต้องรู้สีกใจเต้นแค่เพียงเห็น ด้วย Facade สีคอปเปอร์จากอลูมิเนียมและ Glass Wall ที่สร้างเสน่ห์อันย้อนแย้งแต่งดงาม กลมกลืนอย่างเหนือคาดไปกับกำแพงหิน เพียงแค่ภาพลักษณ์ภายนอกก็ทำให้โครงการนี้กลายเป็นแลนด์มาร์กสำคัญบนเส้นทองหล่อ ความชัดเจนในสไตล์ Industrial Heritage ยิ่งดูมีชีวิตชีวาเมื่อถูกถ่ายทอดจากฝีมือของดีไซเนอร์อัจฉริยะ Philippe Starck ที่สร้างผลงานให้โลกได้ชื่นชมมาแล้วมากมาย ดีไซเนอร์ผู้นี้ได้เดินทางมาสัมผัสบรรยากาศบริเวณย่านทองหล่อด้วยตัวเอง ก่อนที่จะร่วมออกแบบโครงการในทุกมิติ ทั้งฟังก์ชัน การคัดสรรวัสดุและเฟอร์นิเจอร์ ควบคุมทุกขั้นตอนแม้ในรายละเอียดเพื่อดึงเสน่ห์ของ Industrial Heritage ออกมาให้ได้มากที่สุด เช่น การใช้วัสดุแบบ Raw Beauty ที่ตอกย้ำความเป็น Timeless Desgin ทั้งยังใส่ลูกเล่นอย่างมีชั้นเชิง สอดแทรกไว้ด้วยชิ้นงานโปรดักส์อันโด่งดัง และส่งต่อความครีเอทีฟผ่านเฟอร์นิเจอร์โอเวอร์สเกลที่ทำให้ Khun By Yoo เปรียบเสมือนงานศิลปะที่จะทวีมูลค่าสูงขึ้นในอนาคต

ถึงแม้ว่าจะเนิ่นนานแค่ไหน ผ่านช่วงเวลาจากยุคสู่ยุค แต่งานศิลปะแห่งการออกแบบอย่าง Sansiri Iconic Design ยังคงความสง่างามท้าทายกาลเวลา เปี่ยมไปด้วยเรื่องราวอันน่าค้นหา และสะท้อนรสนิยมอันเป็นเลิศมาจวบจนปัจจุบัน

CONTRIBUTOR

Related Articles

THE ERAS OF AESTHETIC DESIGN

THE ERAS OF AESTHETIC DESIGN 40 ปีแห่งการดีไซน์ เล่าผ่านยุคสมัยอันรุ่งเรืองทางศิลปะ

ไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคสมัย “ศิลปะ” ก็ยังคงเป็นสิ่งสร้างความจรรโลงใจ เพลิดเพลิน รื่นรมย์ และผ่อนคลายให้กับมนุษย์ จากความวิจิตรงดงามในด้านต่างๆ ทั้ง สถาปัตยกรรม ประติมากรรม วรรณกรรม จิตรกรรม รวมไปถึงคีตศิลป์ต่างๆ ทั้งหมดทั้งมวลได้รับการรังสรรค์และร้อยเรียงกันด้วย “การดีไซน์” ให้ลงตัว บทบาทของความผู้ด้านดีไซน์ของ แสนสิริ เองนั้นก็เองก็เริ่มจากความเชื่อ…เชื่อในความเป็นไปได้ใหม่ๆ พร้อมสานต่อยุคสมัยแห่งความรุ่งเรืองทางศิลปะให้คงอยู่ไปจนถึงอนาคต

แสนสิริ x ดีไซน์เนอร์ระดับโลก

แสนสิริ x ดีไซน์เนอร์ระดับโลก รังสรรค์บ้านที่งดงาม ดั่งงานศิลปะชิ้นเอก

เพราะ แสนสิริ ไม่เคยมองว่า “บ้าน” เป็นแค่ที่สำหรับอยู่อาศัยเพียงอย่างเดียว แต่เรามอง “บ้าน” ให้มีความหมายมากกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นฟังก์ชันที่ตอบโจทย์กับทุกไลฟ์สไตล์ หรือการที่ลูกบ้านจะได้รับประสบการณ์อันแสนรื่นรมย์และเหนือระดับ เสมือนได้ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางงานศิลปะชั้นเลิศ ที่ลิ้มรสเท่าไหร่ก็ไม่เคยเบื่อ ให้ความรู้สึกทรงพลัง มั่นคง และงดงามเหนือกาลเวลา ทั้งหมดนี้จึงเป็นเหตุผลที่เราเลือกร่วมงานกับดีไซน์เนอร์ที่มีผลงานระดับโลก เพื่อให้บ้านของโครงการ Sansiri Luxury Collection

Luxury Landscape Design

Luxury Landscape Design ชื่นชมสุนทรียภาพผ่านการดีไซน์ชีวิตที่ใกล้ชิดธรรมชาติ

เพราะสุนทรียภาพในการใช้ชีวิต เป็นส่วนหนึ่งของ “ความเชื่อ”… แสนสิริ เชื่อเสมอว่า ภูมิทัศน์ที่งดงามจากธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นหมู่แมกไม้ สายธาร และผืนฟ้า จะทำให้คุณได้ปลดปล่อยอารมณ์ ผ่อนคลายจิตใจอันเหนื่อยล้า ชื่นชมทัศนียภาพอันงดงามจากธรรมชาติอย่างใกล้ชิด สูดอากาศสดชื่นในพื้นที่สีเขียวชอุ่มได้เต็มปอด และสัมผัสกับบรรยากาศที่แสนสงบภายใต้เงาไม้อันแสนรื่นรมย์ นอกจากการรังสรรค์งานศิลปะอันโดดเด่น มีเอกลักษณ์ หรูหรา และงดงามให้คุณได้ใช้ชีวิตได้อย่างอิ่มเอมกับสุนทรียศิลป์ต่างๆ ภายในบ้านแล้ว “การออกแบบภูมิทัศน์”