ความแตกต่าง ≠ ความแปลกแยก
เราทุกคนควรได้รับสิทธิอย่างเท่าเทียม

ความแตกต่าง ≠ ความแปลกแยก
แต่เราทุกคนต้องได้รับโอกาสใช้ชีวิตในสังคม
และถูกยอมรับด้วยหัวใจ

ทุกคนว่าไหมคะบนโลกใบนี้มีคนที่แตกต่างกันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นด้านสีผิว ความพิการ ชาติ ศาสนา วัฒนธรรม ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ หรือแม้แต่คนที่มีข้อจำกัดในการใช้ชีวิตในสังคม ไม่ว่าจะเป็นสาวพลัสไซส์ คนผิวเผือก คนแก่ หรือคนที่ต้องการความช่วยเหลือในด้านต่างๆ ไม่ว่าเขาจะเป็นใครเขาควรได้รับสิทธิ์ใช้ชีวิตขั้นพื้นฐานในสังคมเหมือนกับทุกๆ คน เช่น สิทธิ์ในการใช้พื้นที่สาธารณะ สิทธิ์ในการทำงาน หรือแม้แต่การเดินเข้าไปในที่ต่างๆ และได้รับการบริการอย่างเหมาะสมไม่ถูกเลือกปฏิบัติ ฯลฯ

การที่เราแตกต่างจากคนอื่นในสังคมที่เราอยู่ ไม่ได้หมายความว่า เราเป็นคนแปลกแยก จากทุกคนในสังคม และเราทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้ ด้วยการเคารพ การเห็นคุณค่า และการยอมรับในความแตกต่างหลากหลายของมนุษย์ทุกคนตามหลัก “สิทธิมนุษยชน” ที่ทุกคนควรได้รับ ซึ่งจะทำให้โลกใบนี้น่าอยู่และเราทุกคนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากขึ้น 

ด้วยปัจจุบันโลกอินเทอร์เน็ตกว้างขวาง ผู้คนสามารถเชื่อมต่อกันได้ทั่วโลกทำให้ เรามักจะเห็นภาพความไม่เท่าเทียมได้ง่ายมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น กรณีที่สาวพลัสไซส์ซื้อตั๋วเครื่องบินสองที่ แต่มีแม่มาขอให้ลูกนั่งด้วย รวมถึงลูกเรือยังเห็นด้วยกับแม่เด็กบอกให้เบียดเพื่อให้เด็กนั่งด้วยได้ไหม แล้วเธอปฏิเสธไม่ให้นั่ง เพราะเธอมีรูปร่างใหญ่ การที่เธอซื้อที่นั่งมาสองที่ เพราะเธออยากจะได้นั่งอย่างสะดวกสบายไม่ต้องไปเบียดกับคนอื่น ตามหลักสิทธิมนุษยชนแล้ว เธอมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธได้อย่างเต็มที่ เนื่องจาก เธอซื้อที่นั่งมาด้วยตัวเธอเอง ไม่มีใครควรไปละเมิดสิทธิ์ของเธอนั่นเองค่ะ 

นอกจากนี้ยังมีอีกหลายกรณีที่มีการพิมพ์ใช้ถ้อยคำพูดที่รุนแรง มีการเหยียด มีการบูลลี่ ผ่านทางโลกออนไลน์ ทุกคนรู้ไหมว่าผลสำรวจของ UNESCO–Ipsos ระบุว่า 67% ของคนที่ท่องอยู่บนโลกออนไลน์ เคยแสดงความคิดเห็นด้วยถ้อยคำที่รุนแรงซึ่งอาจจะส่งผลกระทบไปถึงวงกว้าง รวมถึงต้องยอมรับว่า Generation Gap ก็มีผลต่อความคิด ความเชื่อ ทัศนคติในเรื่องต่างๆ ทั้งนี้เราไม่ได้หมายรวมว่าทุกคนต้องเป็นเช่นนั้นนะคะ วันนี้ Mental Life by Chanisara จะพาทุกคนมาย้อนคิดถึงคุณค่าของความเท่าเทียมในสังคมที่ไม่ควรถูกแบ่งแยกกันค่ะ 

International Day for Tolerance

เมื่อความแตกต่าง ≠ ความแปลกแยก

ในโลกใบนี้ย่อมมีความแตกต่างหลากหลายของผู้คน ยิ่งทุกวันนี้เราก้าวเข้าสู่ยุค 5G ที่เราสามารถติดต่อสื่อสารกันและรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เราเห็นถึงความหลากหลายของมนุษย์ 

ไม่ว่าจะอยู่ในการดำเนินชีวิตประจำวันหรือบนโลกโซเชียล ความหลากหลายที่เราพูดถึงคือ เรื่องสีผิว ความพิการ ชาติ ศาสนา วัฒนธรรม ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ หรือแม้แต่คนที่มีข้อจำกัดในการใช้ชีวิตในสังคม ไม่ว่าจะเป็นสาวพลัสไซส์ คนผิวเผือก คนแก่ หรือคนที่ต้องการความช่วยเหลือในด้านต่างๆ ซึ่งเรายังหมายรวมไปถึงเรื่องการแสดงความคิดเห็นที่ส่งผลต่อความคิด ความเชื่อของเราทุกคน 

ในมุมมองของเรามองว่าความแตกต่างไม่ใช่ความแปลกแยก แต่เราทุกคนสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมเหมือนกับทุกๆ คนได้ เราต้องยอมรับว่าทุกคนมีความแตกต่างหลากหลาย และความแตกต่างหลากหลายก็มีคุณค่าในตัวเองนะคะ

การที่เราจะยอมรับความแตกต่างหลากหลายในสังคมไม่ใช่อดทนยอมรับแต่เป็น ยอมรับคนที่แตกต่างจากเราด้วยหัวใจที่แท้จริงและเปิดโอกาสให้คนในสังคมที่มีความแตกต่างหลากหลายได้ใช้ชีวิตในสังคมเหมือนกับทุกๆ คน ไม่ควรถูกเลือกปฏิบัติ หรือถูกมองว่าแปลกแยกจากทุกคนในสังคม

เราไม่ได้บอกว่าคนที่มีความแตกต่างหลากหลายไม่มีข้อจำกัด เพราะความแตกต่างหลากหลายบางอย่างก็มีข้อจำกัด เช่น คนพิการ ผู้สูงอายุ แต่ภายในข้อจำกัดหรืออุปสรรคที่เขามี เขาควรจะได้รับสิทธิ์ขั้นพื้นฐานที่จะใช้ชีวิตอยู่ในสังคมเพื่อที่เราทุกคนจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขค่ะ 

ความเท่าเทียมในสังคมตามหลักสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องสำคัญ

เราว่าความแตกต่างหลากหลายของสังคมเป็นเรื่องที่สำคัญต่อเราทุกคนและเรามองว่าความหลากหลายมีความสวยงามและมีคุณค่าในตัวเอง องค์กรสหประชาชาติหรือ UNESCO ได้ระบุว่า การเคารพ การเห็นคุณค่า และการยอมรับในความแตกต่างหลากหลายของมนุษย์เป็นหลัก “สิทธิมนุษยชน” 

แนวคิดที่กล่าวมานั้น ทำให้คนที่มีความแตกต่างหลากหลายอยู่ร่วมกันได้ในสังคม เพราะหลักสิทธิมนุษยชนทำให้เราทุกคนมีเสรีภาพในการคิด ในการเชื่อ และในการแสดงออก แต่สิทธิและเสรีภาพต้องอยู่บนพื้นฐานความเหมาะสมค่ะ

กรณีตัวอย่างสาวพลัสไซส์

ในที่นี้เราขอยกตัวอย่างกรณีสาวพลัสไซส์ที่เป็นชาวต่างชาติ ออกมาโพสต์ขอความเป็นธรรมทั้งโลกออนไลน์โดยเธอเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นว่า เธอซื้อที่นั่งบนเครื่องบินสองที่ เพราะเธอมีรูปร่างที่ใหญ่ แต่ถูกแม่เด็กคนหนึ่งขอให้เขยิบให้ลูกของเธอนั่งด้วย แต่เธอไม่ยอม จึงถูกมองแรงตลอดเที่ยวบิน รวมถึงแอร์สายการบินดังกล่าว ยังบอกให้นั่งเบียดเพื่อให้เด็กนั่งด้วย โดยมีคนในโลกออนไลน์ทั้งเห็นด้วยกับเธอและไม่เห็นด้วยกับเธอ  แต่ตามสิทธิมนุษยชนแล้วเธอสามารถทำได้อย่างถูกต้อง

หากจะอธิบายตามหลักสิทธิมนุษยชน สามารถอธิบายได้ดังนี้

สาวพลัสไซส์มีสิทธิที่จะไม่ยินยอมให้เด็กนั่ง เพราะเธอซื้อที่นั่งด้วยตัวเอง เธอจึงมีสิทธิที่จะใช้พื้นที่อย่างเต็มที่ เธอมองแล้วว่าตัวเธอมีรูปร่างที่ใหญ่ เธอจึงซื้อที่นั่งสองที่ เพื่อให้ไม่ไปกินพื้นที่คนอื่น และนั่งได้อย่างสะดวกสบาย ดังนั้นสาวพลัสไซส์ควรมีสิทธิขั้นพื้นฐานในด้านศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ตามหลักสิทธิมนุษยชนข้อที่ 1 

การที่แม่เด็กและแอร์โฮสเตสสายการบินดังกล่าวมองว่า การที่สาวพลัสไซส์รูปร่างใหญ่มีที่นั่งตั้งสองที่ ก็คนสละที่นั่งให้ลูกของเธอด้วย ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องตามหลักสิทธิมนุษยชน เพราะการที่เธอไม่ให้ลูกของผู้หญิงคนนั้นนั่ง ก็เป็นสิทธิ์ของเธอ เธอต้องไม่ถูกกดดัน ไม่ควรถูกเลือกปฏิบัติ จากลูกเรือหรือผู้หญิงที่ขอ เพราะเธอซื้อที่นั่งมาอย่างถูกต้อง

ตามหลักสิทธิมนุษยชน ข้อที่ 7 เธอสามารถทำได้ และสิทธิมนุษยชนข้อที่ 7 ได้กล่าวไว้ว่า มนุษย์ทุกคนต้องได้รับสิทธิ์ตามกฎหมายแล้วไม่ควรถูกเลือกปฏิบัตินั่นเองค่ะ 

Generation Gap กับการยอมรับความแตกต่างทางความคิดเห็น

ต้องบอกว่า Generation Gap ที่แตกต่างกันมีผลต่อความคิด ทัศนคติ การมองโลก ซึ่งเรามองว่าไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่เราควรเคารพสิทธิของผู้อื่น การที่เราทุกคนเกิดมาในยุคสมัยที่แตกต่างกัน ย่อมถูกหล่อหลอมด้วยเหตุการณ์ และสภาพสังคม การศึกษา การเลี้ยงดู ค่านิยมและ การเข้าถึงสื่อที่แตกต่างกันในแต่ละยุค ซึ่งทำให้คนในแต่ Generation เกิดการยอมรับ ความหลากหลายได้แตกต่างกันเช่นกันค่ะ ซึ่งเราสามารถแบ่งตาม Generation ดังนี้

Gen Baby Boomer เคร่งครัดเรื่องขนบธรรมเนียม โดยส่วนมากคนกลุ่มนี้จะถูกเรียกว่า “อนุรักษนิยม” มักมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง ชอบคนที่มีความคิดที่เหมือนกัน ทำให้บางคนจะไม่ยอมรับความคิดเห็นที่มีความแตกต่าง แต่เราไม่ได้หมายความว่าทุกคนใน Generation Baby boomer จะเป็นเช่นนั้น

Gen X อยู่ในช่วงยุคเก่าและยุคที่ทันสมัย เพราะเป็นยุคที่เทคโนโลยีเริ่มก้าวเข้ามามีบทบาทในชีวิตมากขึ้น คนยุคนี้มีทีวี มีวิทยุ ทำให้คนกลุ่มนี้รับฟังข่าวสารได้มากขึ้น ซึ่งส่งผลให้คน Generation X โดยส่วนมากตระหนักถึงสิทธิของตัวเองมากขึ้น กล้าตั้งคำถาม และรักษาสิทธิ์ของตัวเองมากขึ้นนั่นเองค่ะ 

Gen Y ถูกดูแลเอาใจใส่เต็มที่จากพ่อแม่ ทำให้มีความมั่นใจในตัวเองสูง มองโลกในแง่บวก และมีความเป็นตัวของตัวเอง มีแนวโน้มว่าจะยอมฟังความคิดเห็น ถ้าผู้ใหญ่ยอมรับฟังความคิดเห็นของพวกเขา โดยส่วนมากจะอยู่บนโลกออนไลน์ทำให้รับรู้ข่าวสารและติดต่อสื่อสารได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจส่งผลให้บางคนมีความอดทนลดลงเช่นกันค่ะ

Gen Z  เติบโตขึ้นกับเทคโนโลยี ใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน และพวกเขาสามารถยอมรับความแตกต่างหลากหลายในสังคมได้มากกว่า Generation อื่นๆ  

Gen Alpha เกิดมายุคเทคโนโลยีกับ ai มีแนวโน้มจะยอมรับความหลากหลายมากขึ้นเพราะ ถูกปลูกฝังมาจากคนรุ่นก่อนๆ นั่นเองค่ะ 

คนเราทุกคนย่อมมีความแตกต่างหลากหลาย และทุกคนควรที่จะมีโอกาสได้ใช้ชีวิตในสังคมอย่างเท่าเทียมกันค่ะ


Source

https://www.sanook.com/news/9198838/ 

https://www.unesco.org/en/articles/unesco-dedicates-international-day-education-2024-countering-hate-speech 

https://www.youtube.com/watch?v=xmJ0xinVIow 

https://psub.psu.ac.th 

https://thepotential.org/social-issues/generation-gap 

https://hre.amnesty.or.th/ 

Related Articles

single

เพราะไม่ว่าเราจะเป็นโสด หรือ มีคู่เราจะต้องเป็นแสงสว่างที่นำทางชีวิตตัวเอง

ไม่ว่าจะโสดหรือมีคู่ เราต้องมีความสุขและเป็นเทียนที่ส่องสว่าง นำทางชีวิตตัวเองให้ได้  ทุกคนรู้ไหมว่าในปัจจุบันมีคนโสดทั่วโลกอยู่ประมาณ 2.12 พันล้านคน หรือราว 27% ของประชากรโลกเลยนะ และมีการคาดการณ์ว่าคนโสดจะมีสูงขึ้นเรื่อยๆ (ข้อมูลล่าสุด ปี 2023) ทุกคนคิดว่าการที่เป็นคนโสด เราต้องรู้สึกเหงาจริงหรือเปล่านะ มีหลายผลการวิจัยบอกว่าการเป็นโสดทำให้เหงากว่าคนมีคู่นิดหน่อย แต่ทำไมมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังเป็นโสดกันล่ะ อาจเป็นเพราะอยากอยู่คนเดียว ไม่ชอบออกจากบ้าน ชอบนอนดูซีรีส์

รู้ยัง! จิตแพทย์ VS นักจิตวิทยา แตกต่างกันยังไงนะ

พบจิตแพทย์ = การรักษา พบนักจิตวิทยา  =  พูดคุย ปรับความคิด ฟื้นฟูจิตใจให้กลับมาเข้มแข็ง ทุกคนรู้ไหมคะว่าการหาหมอจิตแพทย์กับการไปหานักจิตวิทยาต่างกันอย่างไร ทุกคนคงรู้ว่าทั้งจิตแพทย์และนักจิตวิทยา เป็นคนที่ช่วยดูแลใจของเราทั้งคู่ ทุกวันนี้มีผู้คนจำนวนมากที่หันมาใส่ใจและให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตมากขึ้น ถึงแม้ว่ายังมีคนบางส่วนที่ยังเข้าใจว่าคนที่ไปหาจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา จะต้องเป็นคนที่ประสบปัญหาสุขภาพจิตค่อนข้างหนัก แต่แท้จริงแล้วการไปพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา ไม่ต้องประสบปัญหาด้านสุขภาพจิตก็สามารถไปพบได้ เช่น รู้สึกไม่สบายใจ กลุ้มใจ มีปัญหาทางด้านความรัก

5 เรื่องเกี่ยวกับกลโกง ลวง ให้ รัก ที่ทุกคนควรรู้เท่าทัน

ปัจจุบันการหลอกลวงผ่านโลกออนไลน์มีหลายรูปแบบทำให้คนที่โดนหลอกสูญเสียทรัพย์สินและของมีค่ามากมายมหาศาล หนึ่งในรูปแบบของการหลอกลวงนั้นคือ “Romance Scam” หรือ “การลวงให้รัก” ทุกคนรู้ไหมคะว่า การลวงให้รักนั้นถือเป็นการหลอกลวงรูปแบบหนึ่งผ่านทางโลกออนไลน์ที่สร้างความเสียหายอันดับต้นๆ ของไทยเลยนะ เพราะทุกวันนี้มีคนจำนวนไม่น้อยที่หาเพื่อนคุย หรือหาคนรักผ่านทางโลกออนไลน์ ทำให้มิจฉาชีพใช้จุดนี้เป็นช่องโหว่เพื่อหลอกเงินจากคนที่เป็นโสดและอยากตามหารักแท้  และที่สำคัญไปกว่านั้น การหลอกลวงเหล่านี้ มิจฉาชีพไม่ได้ทำเพียงคนเดียว แต่ทำเป็นขบวนการเฉกเช่นแก๊งคอลเซนเตอร์ การหลอกลวงให้รักไม่ใช่แค่หลอกลวงให้เสียทรัพย์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการหลอกลวงที่เข้าไปเล่นกับความรู้สึกในใจคน ทำให้บางคนเสียความรู้สึก เศร้าใจและเกิดบาดแผลในใจ