เมื่อทำงานมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว หลายคนก็มีความฝันที่จะมีบ้านสักหลังหรือคอนโดสักห้องเป็นของตัวเอง แต่การซื้ออสังหาริมทรัพย์เหล่านี้ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ ที่ทำให้ต้องตัดสินใจกู้สินเชื่อจากธนาคารเพื่อที่อยู่อาศัยที่เราอยากเป็นเจ้าของ
ในการกู้เงินจากธนาคารจะต้องเข้าใจเรื่องการผ่อนชำระ ซึ่งเป็นการจ่ายผ่อนชำระหนี้ตามระยะเวลาที่ตกลงเอาไว้กับธนาคาร โดยบางคนสามารถกู้ได้ 100% บางคนอาจจะไม่ถึง 90% ของราคาประเมิน ซึ่งขึ้นอยู่กับสัดส่วนรายได้และกำลังผ่อนของแต่ละบุคคล โดยส่วนใหญ่แล้วจะกู้ได้ประมาณ 50 เท่าของรายได้หรือแล้วแต่การพิจารณาของธนาคาร
ก่อนเริ่มตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์เป็นของตัวเอง เรามาทำความเข้าใจกับเรื่องดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารว่า อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ แบบไหนที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ทางการเงินของคุณ เพื่อเป็นแนวทางในการวางแผนในการใช้จ่ายของคุณ
ทำความรู้จักกับ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR และ MRR
ในการกู้เงินของธนาคาร เมื่อมีลูกค้า 2 คนเข้ามาขอกู้เงินที่ธนาคารเดียวกัน พวกเขาจะได้ข้อเสนอของอัตราดอกเบี้ยที่ไม่เท่ากัน เนื่องจากลูกค้าแต่ละรายมีความเสี่ยงของการกู้ยืมที่ต่างกัน โดยถูกพิจารณาจากรายได้, ความสามารถในการชำระหนี้, ประวัติการชำระหนี้, เครดิตบูโรหรือภาวะหนี้สินปัจจุบัน ซึ่งเป็นตัววัดความเชื่อถือของลูกค้าที่ต้องการกู้เงิน
อัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อ
MLR (Minimum Loan Rate) อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำที่เหมาะกับเงินกู้ระยะยาว โดยมีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน เช่น สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อเพื่อการประกอบธุรกิจ อัตราดอกเบี้ยนี้ธนาคารมักจะปล่อยกู้ให้กับลูกค้าชั้นดีซึ่งวัดได้จาก อาชีพ ฐานเงินเดือน รายรับ ประวัติการเคลื่อนไหวบัญชี อายุที่เปิดบัญชีธนาคาร และข้อมูลการค้างชำระกับทางธนาคาร
MRR (Minimum Retail Rate) อัตราดอกเบี้ยขั้นต้นสำหรับเงินกู้ที่เรียกเก็บกับลูกค้ารายย่อยชั้นดี ซึ่งเป็นบุคคลทั่วไป โดยเป็นสินเชื่อส่วนบุคคลเพื่อที่อยู่อาศัย หรือสินเชื่อบัตรเครดิต
การผ่อนชำระเงินกู้
ระยะเวลาในการผ่อนชำระ สำหรับการกู้ยืมเงินหรือสินเชื่อในระยะยาว จะมีการแบ่งชำระเป็นจำนวนเดือนหรือจำนวนงวดตามระยะเวลาที่ตกลงไว้กับในสัญญากับธนาคาร สำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยนั้นจะได้รับระยะเวลาในการผ่อนที่นานกว่าสินเชื่อแบบอื่นๆ แต่จะมีระยะเวลาไม่เกิน 30 ปี
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเราค้างการผ่อนชำระเป็นเวลานาน?
เมื่อเราค้างชำระค่างวดกับธนาคาร ทางธนาคารผู้เป็นเจ้าหนี้จะเข้าไปยึดที่พักอาศัยที่คุณกู้ซื้อมา เพื่อนำไปขายและนำเงินที่ขายได้นั้นมาชำระหนี้ที่คุณติดค้างเอาไว้ ซึ่งนอกจากจะทำให้เสียยอดเงินผ่อนจ่ายทั้งหมดแล้ว ก็เสียที่อยู่อาศัยที่กู้ซื้อมาด้วย ดังนั้น ควรตรวจความพร้อมทางการเงินของคุณให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจกู้ซื้อเงิน
ประเภทของดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย
Fixed Rate เป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้คงที่ ที่ผู้กู้ยืมต้องจ่ายอัตราดอกเบี้ยตามสัญญาที่กำหนดไว้ในอัตราที่เท่ากันตลอดจนครบยอด ข้อดีของอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่คือ ไม่ต้องกังวลว่ายอดชำระเงินกู้จะสูงขึ้น เมื่อธนาคารมีการเปลี่ยนแปลงตามภาวะเศรษฐกิจ และยังทำให้ผู้ที่กู้ยืมสามารถวางแผนการเงินของตนเองได้อย่างแม่นยำ
Float Rate เป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบลอยตัวที่เปลี่ยนไปตามต้นทุนของธนาคารแต่ละแห่ง ทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไม่คงที่อยู่ตลอดระยะเวลาที่กู้ยืม โดยธนาคารสามารถปรับเปลี่ยนขึ้นหรือลงได้ตามที่เห็นสมควร ในปีที่อัตราดอกเบี้ยถูกลงจะทำให้เราจ่ายดอกเบี้ยถูก แต่เมื่อปีไหนที่อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นเราก็ต้องจ่ายตามอัตราที่เพิ่มขึ้น
อัตราการปรับเปลี่ยนของดอกเบี้ยในบางธนาคารอาจมีการปรับเปลี่ยนถึง 5 ครั้ง หรือบางปีก็แทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย โดยบางธนาคารออาจจะคิดดอกเบี้ยตามประกาศจริง แต่บางธนาคารอาจจะคำนวณค่างวดโดยบวกอัตราดอกเบี้ยไปอีก 1-3% ซึ่งเป็นผลดีต่อผู้ขอกู้ เนื่องจากเงินค่างวดที่จ่ายเกินไว้จะไปทบกับเงินต้นมากขึ้น ส่งผลให้หนี้หมดเร็วกว่าที่ระบุไว้ในสัญญา
ภาพเปรียบเทียบประเภทอัตราดอกเบี้ยแบบ Fixed Rate และแบบ Float Rate
Mixed Rate เป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบผสมระหว่าง Fixed Rate และ Float Rate โดยเป็นแบบอัตราดอกเบี้ยคงที่ในอัตราที่ธนาคารกำหนดไว้ และหลังจากนั้นอัตราดอกเบี้ยจะปรับเป็นแบบไม่คงที่ ซึ่งธนาคารในประเทศไทยจะมีอัตราดอกเบี้ยแบบผสมแบ่งเป็น 2 แบบ คือ
1. อัตราดอกเบี้ยคงที่ระยะสั้นในช่วง 1-5 ปี หลังจากนั้นปรับเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว โดยจะไม่รู้ล่วงหน้าว่าหลังจากดอกเบี้ยลอยตัวแล้วจะปรับให้ดอกเบี้ยสูงขึ้นหรือต่ำลง
2. อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นแบบขั้นบันไดในช่วง 1-5 ปีแรก โดยการกำหนดอัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันไดเป็นการปรับอัตราดอกเบี้ยให้เพิ่มขึ้นในแต่ละปีซึ่งเริ่มจากต่ำไปสูง เช่น ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2% ปีถัดไปปรับขึ้นเป็น 3% เมื่อครบสัญญาจะปรับเป็นอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว
แล้วคุณเหมาะกับดอกเบี้ยเงินกู้แบบไหน
การเลือกดอกเบี้ยเงินกู้ตามประเภทของเงินกู้เพื่อให้คุณสามารถวางแผนทางการเงินในระยะเวลาระหว่างกู้ได้ ซึ่งมีให้เลือกทั้งแบบ Fixed Rate, Float Rate, และแบบ Mixed Rate โดยทั้งนี้ต้องพิจารณาจากความพร้อมในการจ่ายค่างวดในแต่ละเดือน รวมถึงภาระหนี้สินอื่นๆ ที่มีในปัจจุบัน
ตัวอย่างที่ 1 สำหรับการกู้ดอกเบี้ยแบบคงที่ หรือ Fixed Rate เป็นทางเลือกของผู้ที่มีแผนการใช้จ่ายที่แน่นอนในแต่ละเดือน เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีภาวะหนี้สินอื่นๆ เช่น
พนักงานเงินเดือน 35,000 บาทและมีรายได้จากช่องทางอื่นอีก 15,000 บาท รวมเป็น 50,000 บาทต่อเดือน ต้องการกู้สินเชื่อเพื่อบ้านหลังแรก โดยที่เขาไม่มีภาระผ่อนจ่ายอื่นๆ และไม่มีหนี้สิน ทำให้เขาสามารถแบ่งจ่ายอัตราดอกเบี้ยคงที่ได้อย่างสม่ำเสมอ
ตัวอย่างที่ 2 สำหรับการกู้ดอกเบี้ยแบบลอยตัว หรือ Float Rate เป็นทางเลือกของคนที่ยอมรับความเสี่ยงของการขึ้น-ลง ของอัตราดอกเบี้ยในอนาคตได้ เช่น
พนักงานเงินเดือน 50,000 บาท แต่มีภาระผ่อนชำระค่าบัตรเครดิต ทำให้มีแผนค่าใช้จ่ายที่ไม่แน่นอน การเลือกอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัวจึงช่วยให้การจ่ายอัตราดอกเบี้ยในแต่ละงวดช่วยประหยัดค่าใช่จ่ายลงได้เมื่อมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง
สรุป
ข้อแนะนำของการกู้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยคือ สังเกตสถานะการณ์ดอกเบี้ยเงินกู้ของแต่ละธนาคารดูก่อน และการเลือกผ่อนแบบดอกเบี้ยต่ำที่สุดก็จะเป็นผลดีต่อการชำระหนี้ในแต่ละงวด ซึ่งก็อาจจะขึ้นอยู่กับการเสนออัตราเงินกู้ของธนาคารเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากความเสี่ยงทางการเงินของแต่ละคนไม่เท่ากัน
อย่างไรก็ตามควรศึกษาเกี่ยวกับ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ตลอดทั้งสัญญา และแผนการชำระค่างวดของตนเองเพื่อความคล่องตัวทางการเงินที่ดีที่สุดของคุณด้วย