หากมีโอกาสขึ้นไปที่สูงแล้วมองลงมาเบื้องล่าง ทุกวันนี้ก็จะได้เห็นหลังคาบ้านที่เปลี่ยนไปจากเดิม เพราะมีเจ้าแผ่นสีคล้ายโลหะมาวางอยู่ นั่นก็คือ “แผงโซล่าเซลล์”
แม้จะดีต่อโลกและประหยัดต่อเราแค่ไหน ทว่าแต่เดิมนั้นการจะติดตั้งแต่ละครั้ง ต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูง
อย่างไรก็ตามในปัจจุบันที่เทคโนโลยีก้าวหน้าไปไกล ทำให้ Solar panel on the roof มีต้นทุนการติดตั้งที่ถูกลงและเข้าถึงได้ง่าย ประกอบกับค่าไฟแพงขึ้นและมีแนวโน้มอาจสูงขึ้นในอนาคต รวมถึงแนวคิดอนุรักษ์ใส่ใจสิ่งแวดล้อม-ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในปัจจุบัน ทั้งหมดจึงล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนหันมาติด Solar Panel กันมากขึ้น
เช่นเดียวกับที่โครงการแสนสิริ เราเป็นอสังหาฯ เจ้าแรกๆ ของไทย ที่ริ่เริ่มการใช้พลังงานธรรมชาติเหล่านี้อย่างจริงจังมาแล้วกว่า 5 ปี และยังมุ่งมั่นต่อไปในอีกหลายขวบปีต่อจากนี้
ชวนทุกคนมาติดตาม Solar Story ของแสนสิริ จากแสงสาดส่องหลังคา เราเปลี่ยนมาสู่บ้านพลังงานสะอาดได้อย่างไร
ก่อนอื่นต้องทราบถึงระบบการทำงานและประเภทการติดตั้งของโซล่าที่โครงการแสนสิริกันก่อน โดยในปัจจุบันการติด Solar Panel นั้น จะมีหลักๆ ทั้งหมด 3 ระบบ คือ ระบบออนกริด (On Grid), ระบบออฟกริด (Off Grid), ระบบไฮบริด (Hybrid Grid)
โดยที่แสนสิริ เราใช้ระบบบออนกริด ซึ่งเป็นระบบโซล่าที่ใช้ทั้งไฟจากการไฟฟ้า และไฟฟ้าที่ผลิตได้จากแผงโซลาร์ เหมาะกับบ้านที่ใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลากลางวัน ไม่มีแบตเตอรี่ ผลิตไฟฟ้าได้แล้วใช้เลย (ระบบที่แสนสิริยังไม่สามารถขายไฟคืนให้การไฟฟ้าได้)
ขนาดกําลังวัตต์ที่แสนสิริติดตั้ง Solar Panel นั้นจะอยู่ที่ 1.84 kWp ประมาณ 7.36 หน่วยต่อวัน 220 หน่วยต่อเดือน กรณีค่าไฟอยู่ที่ 4.2 บาท ช่วยประหยัดค่าไฟอยู่ที่ประมาณ 928 บาทต่อเดือนเลยทีเดียว
แม้เป็นระยะเวลากว่า 5 ปีแล้ว ที่แสนสิริได้เริ่มต้นการให้ลูกบ้านได้มีส่วนร่วมใช้พลังงานสะอาดที่โครงการของเรา แต่ในปี 2022 นี้ จากข้อสรุปจากวาระโลก COP27 และ APEC2022 ซึ่งยังคงเน้นย้ำ Net-Zero ประเด็นที่ทุกภาคส่วนทั่วโลก ต้องช่วยกันเร่งแก้ ลดมลภาวะโลกให้ได้ตามเป้าที่วางไว้
ตามความมุ่งมั่นสู่องค์กร Net Zero ของแสนสิริ ตามที่เราได้ประกาศไว้ตั้งแต่ต้นปี จึงได้ติดตั้ง Solar Panel 100% ในบ้านเดี่ยวโครงการใหม่ทุกหลัง ทุกระดับเซ็กเมนท์ คืบหน้าแล้ว 600 หลัง ในกว่า 31 โครงการ (จากเป้า 6,600 หลัง ภายใน 2025)
ซึ่งลูกบ้านแสนสิริ มีส่วนร่วมช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน จากการซื้อบ้านแสนสิริทุกโครงการใหม่แล้วกว่า 967 ตันคาร์บอน เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 64,474 ต้น และช่วยประหยัดเงินค่าไฟให้ลูกบ้านและค่าส่วนกลางได้แล้วกว่า 7.6 ล้านบาทเลยทีเดียว
แน่นอนว่าความตั้งใจมุ่งสร้างจุดเปลี่ยนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ไม่ใช่สิ่งที่ทำกันแค่หนึ่งปีเท่านั้น เป้าหมายระยะของแสนสิริคือ การติด Solar Panel ให้ครอบคลุมทุกเซ็กเม้นท์ตอบโจทย์ดีมานด์ความต้องการที่เพิ่มขึ้นของลูกบ้าน
– เริ่มตั้งแต่ ปีหน้า 2023 ติดได้ในบ้านเดี่ยว (ไม่รวมบ้านแฝด) รวม 2,100 หลัง ทุก segment (คิดเป็น 30% จากเป้า 6,000 หลัง)
– ติด Solar panel เพิ่มในพื้นที่คลับเฮาส์ ทุกโครงการใหม่จำนวน 48 โครงการ และติดในส่วนกลางของคอนโดมิเนียมใหม่กว่า 60 โครงการ ภายใน 3 ปี
– ติดตั้งเพิ่มในพื้นที่คลับเฮาส์ ทุกโครงการใหม่ตั้งเป้าติดตั้ง จำนวน 48 โครงการ อย่าง อณาสิริ, สราญสิริ, เศรษฐสิริ, บุราสิริ และ Demi
ทั้งก็เพื่อเป้าหมายที่มุ่งสู่การเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายแรกของไทยที่ตั้งเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็น “ศูนย์” (Net-Zero) ภายในปี 2050 ให้ได้
ไม่ใช่แค่ในโครงการที่อยู่อาศัยเท่านั้น แต่ที่แสนสิริ เราให้ความสำคัญกับทุกองคาพยพ จึงมั่งมั่นที่จะขยายการติดตั้ง Solar panel ต่อไปยังธุรกิจอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น โรงงานพรีคาสต์แห่งที่ 3 ซึ่งเป็นโรงงานพรีคาสต์สีเขียวอย่างเต็มรูปแบบแห่งแรกในไทย รองรับการเติบโตก้าวกระโดดของแสนสิริปี 2023, โรงแรม The Standard Hotel Hua Hin, โรงแรม Peri Hotel ทั้ง 2 แห่งที่ หัวหินและเขาใหญ่ และ โรงเรียนสาธิตพัฒนา
ทั้งหมดนั้น เราตั้งเป้าติดจำนวน 812 กิโลวัตต์ ซึ่งจะสามารถประหยัดไฟได้ 5.5 ล้านบาทต่อปี
การประกาศกร้าวว่าจะเป็น อสังหาฯรายแรกในประเทศไทยที่สร้าง “Smart Green-Energy Living Ecosystem” การอยู่อาศัยแห่งอนาคตเต็มรูปแบบที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนสู่สิ่งแวดล้อมโลกให้เหลือ ‘ศูนย์’ นั้น ไม่ได้อาศัยแค่ความกล้าและตั้งใจเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
หากแต่เรามั่นใจกับพาร์ทเนอร์มืออาชีพ อย่าง ION Energy มาร่วมกันพัฒนาและนำนวัตกรรมใหม่ เพื่อมุ่งมั่นสู่การเป็น Low-energy home มาใช้ให้เกิดขึ้นจริงที่แสนสิริ ทั้ง
– พัฒนา 2-in-1 Solar panel tile ในรูปแบบกระเบื้องลอนโซล่า วางเป้าติดตั้งในคลับเฮาส์โครงการลักซ์ชัวรี่ ‘บ้านแสนสิริ บางนา’ ภายในปี 2024
– วางเป้า R&D พัฒนาแบตเตอรี่เก็บไฟในบ้านในราคาที่ข้าถึงได้ ร่วมกับพันธมิตรด้านพลังงาน ภายในปี 2030
– ลูกบ้านบริหารจัดการปริมาณการใช้ไฟจาก solar roof แบบ Real-time ผ่าน Sansiri Home Service Application ไม่ว่าจะเป็น คำนวณใช้ไฟฟ้า และการประเมินการใช้ไฟฟ้า, ดูการทำงานของระบบ และระบบแจ้งตือนการซ่อมที่เตรียมพัฒนาระบบในอนาคต, จำนวนการผลิตไฟฟ้า ฯลฯ
ทั้งหมดคือเรื่องราวของ Solar Story ที่เรานำมาฝากทุกคนกันในวันนี้ แต่นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเล็กๆ เท่านั้น เพราะยังมีอีกหลายสิ่งที่เราตั้งใจทำเพื่อโลกใบนี้ รอติดตามไปด้วยกันกับเรา