เรื่องราวเบื้องหลัง
5 แบรนด์คราฟต์ฝีมือคนไทย
ในงาน Winter Market Fest

ใกล้เข้ามาทุกทีแล้วกับเทศกาลแห่งความสุขอย่าง Winter Market Fest ที่ครั้งนี้เรามาในธีมที่ทั้งลึกซึ้งและมีความหมายมากกว่าเดิมกับ ‘Live and Let’s Grow’ ชวนคุณมาใช้ชีวิตให้ชิดธรรมชาติ และร่วมค้นหาความหมายของความสุขที่ยั่งยืน บอกเลยว่าปีนี้เรามีกิจกรรมเพียบ ทั้ง Photo Spots เก๋ๆ ตลอดทั้งงาน และเวิร์กชอปที่ทั้งสนุก และได้ค้นพบความสุขในมุมใหม่ๆ อีกด้วย

ซึ่งร้านค้าต่างๆ ที่มาในปีนี้ เรามีการคัดสรรมาเป็นอย่างดีจากเรื่องราวและแนวคิดที่มาของแต่ละแบรนด์ ซึ่งทุกแบรนด์มีความน่าสนใจและมีอุดมการณ์ที่เราอยากจะสนับสนุน วันนี้ขอหยิบยกเอาตัวอย่าง 5 แบรนด์คราฟฝีมือคนไทยมาเล่าให้ฟังถึงเรื่องราว Behind The Crafts กัน

Sarn Sard สานเตยปาหนัน สืบสานหัตถกรรมชาวใต้

Sarn Sard - Sansiri blog

Sarn Sard (สานสาด) เป็นแบรนด์ที่เกิดจากความชื่นชอบและ Passion อันแรงกล้าของคุณกุ๊กไก่-มนัสนันท์ ทวีวรสุวรรณ และคุณเป็ด-วิศรุต ทวีวรสุวรรณ คู่รักที่ริเริ่มแบรนด์จากการได้กระเป๋าเตยปาหนันมา 1 ใบ แล้วลงใต้กลับบ้านเกิดที่ จ.ตรัง ไปเสาะหาแหล่งกำเนิดงานจักสานชิ้นนี้

Who We Are ตัวตนของแบรนด์

“เราเป็นสตูดิโอออกแบบ ทำงานจักสานเตยปาหนัน ทำร่วมกับชุมชนมุสลิมเล็กๆ ใน จ.ตรัง ค่ะ”

What We Do สิ่งที่แบรนด์ทำ

“เราทำไลฟ์สไตล์โปรดักต์ เช่น กระเป๋าผู้หญิง กระเป๋าสะพายข้าง กระเป๋าตังค์ค่ะ ความจริงแล้วเราอยากทำ Interior เฟอร์นิเจอร์อะไรพวกนี้นะ แต่เราก็อยากให้คนได้เข้าถึงงานสานเตยปาหนันได้ง่ายขึ้น ได้สัมผัสว่ามันมีความนุ่ม เหนียว เงา ไม่ขึ้นรา ซึ่งตอนนี้โฟกัสที่ลายดอกจัน เป็นลายโบราณที่เราทำให้มันฟื้นคืนขึ้นมาอีกครั้งค่ะ”

What We Believe In ความเชื่อของแบรนด์

“เราอยากพัฒนาและสืบสานงานหัตถกรรมไทย เพราะงานจักสานเตยปาหนันเป็นงานที่ผูกกับวัฒนธรรมมุสลิมมาเป็นร้อยปี เราทำงานร่วมกับชุมชนเพื่ออนุรักษ์ลายดั้งเดิมเอาไว้ ใช้ใจคุยกับคนในชุมชน คือเข้าไปพัฒนาจริงๆ กระตุ้นให้ลายโบราณเกิดขึ้นอีกครั้ง เช่น ลายดอกจัน และลายลูกแก้วที่กำลังฝึกกันอยู่ด้วยค่ะ”

Then Now วันนั้น & วันนี้ แบรนด์เติบโตอย่างไร

“ตอนแรกเลยเราไม่ได้มีของขาย เปิดตัวเป็นงานโชว์ใน Bangkok Design Week เพราะตัวเนื้องานค่อนข้างยาก เส้นใยกว่าจะขึ้นงานสานได้ใช้เวลานานมาก กว่าจะสานเป็นลายก็ค่อนข้างท้าทาย ส่วนในปัจจุบันได้ผลตอบรับค่อนข้างดี ทั้งด้านการตกแต่งและผลิตภัณฑ์ งานเราสามารถ Customize ได้ และด้วยความที่คนสานลายนี้มีไม่เกิน 8 คน งานมันเลยค่อนข้างพิเศษมากๆ มีจำนวนจำกัด อย่างคอลเลกชันเมื่อต้นปีที่ออกแบบทรงกระเป๋าโมเดิร์น ทั้งคนสานและลูกค้าก็ได้เห็นพัฒนาการของแบรนด์ไปพร้อมๆ กันค่ะ”

Where We Head To อนาคตของแบรนด์

“เป้าหมายใกล้ๆ ในปีหน้า เราจะออกโปรดักต์ 2 คอลเลกชันและอาจจะไปวางช็อปเมืองนอก แล้วเราก็กำลังจะทำการท่องเที่ยวให้กับชุมชน ให้คนหันมาสนใจและตระหนักถึงงานจักสานเตยปาหนันมากขึ้น ส่วนเป้าหมายระยะยาวคือการยกระดับงานหัตถกรรมจักสานไทยให้มีมูลค่ามากขึ้น ซึ่งตอนนี้เราก็ได้นำงานเข้าไปในห้องสมุดของ Material ConneXion ซึ่งมีอยู่ 7 ที่ทั่วโลก ก็เป็นอีกหนึ่งในความภาคภูมิใจของเราและสานสาดเช่นกันค่ะ”

TE Time and Space แบรนด์ชาเบรนด์ไทย เข้าถึงได้ทุกวัยในทุกวัน

TE Time and Space - Sansiri blog

คุณปลา-นันธิดา รัตนกุล และคุณนัท-ณัฐกิจ อุดมศรีรัตน์ สร้างสรรค์แบรนด์ TE (ที) ขึ้นมาด้วยความตั้งใจที่ว่า ศาสตร์การชงและดื่มชาควรอยู่ในไลฟ์สไตล์ทุกๆ วัน และเติบโตไปได้กับทุกๆ วัย

Who We Are ตัวตนของแบรนด์

“เราคือแบรนด์ชาเบลนด์สัญชาติไทย ไม่มีวัตถุดิบสังเคราะห์ ไม่ใส่กลิ่น ไม่ใส่สี ไม่ใส่น้ำหอม เราคิดสูตรเองทั้งหมดเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่มีความต้องการแตกต่างกันไป ทั้งความชอบ รสนิยม และประโยชน์ต่อร่างกาย ที่สำคัญที่สุดคือเราอยากให้การดื่มชาเป็นเรื่องของทุกวัย ไม่ใช่แค่คนสูงอายุค่ะ”

What We Do สิ่งที่แบรนด์ทำ

“ตอนนี้เรามี Signature Blends ทั้งหมด 20 ตัว เบสมีชาอู่หลงกับชาเขียวที่นำเข้ามาจากจีน และชาอัสสัมจากเชียงราย จากนั้นจึงนำมาผสมกับสมุนไพรไทย ดอกไม้ไทย วัตถุดิบในประเทศไทย แล้วก็จะมี Seasonal Blends ตามโอกาสหรือวัตถุดิบที่เราได้มา อย่างงาน #WinterMarketFest คราวนี้มีเมนู Mocktail ชาเขียวอบดอกมะลิ ซอสแอปเปิล ขิง ซินนามอน น้ำผึ้งดอกลำไย เป็นชาใสดื่มแล้วรู้สึกอบอุ่น เข้ากับช่วงเทศกาล ส่วนอีกตัวจะเป็น Matcha Latte เราใช้ชาเขียว นมสด น้ำผึ้ง สตรอว์เบอร์รีไซรัป ท็อปด้วย Cookie Crumbles สีสันก็จะสวยงาม Festive สุดๆ”

What We Believe In ความเชื่อของแบรนด์

“ความตั้งใจของเราคือการพยายามทำชาให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น อยากให้การดื่มชาเติบโตไปกับทุกวัย คนจะชอบคิดว่าศาสตร์ของการชงและดื่มชามันยาก แต่เรามองว่าแค่ต้องเปิดใจเท่านั้นเอง”

Then Now วันนั้น & วันนี้ แบรนด์เติบโตอย่างไร

“เราทำ TE มา 8 ปี เริ่มจากพาร์ตไทม์ที่แบกของไปขายตามงาน จนเปิดร้านที่ทองหล่อเมื่อ 3 ปีก่อน อย่างแรกคือมันก็มีที่ทางของตัวเอง มีคนรู้จักเยอะขึ้น แต่สิ่งสำคัญจริงๆ คือเราได้เจอผู้คนที่กว้างขึ้น เอาจริงๆ คนที่ชอบดื่มชามีจำนวนเยอะใช้ได้เลย เหมือนได้สร้างคอมมูนิตี้เล็กๆ ที่มาแลกเปลี่ยนกัน และเราก็ภูมิใจมากที่ได้ช่วยให้หลายๆ คนมีสุขภาพดีขึ้นด้วยชา”

Where We Head To อนาคตของแบรนด์

“แน่นอนว่าเราก็จะทำเบลนด์ใหม่ไปเรื่อยๆ แล้วก็อยากสร้าง Experience ในการดื่มชาด้วย เพราะยุคนี้การที่คนตั้งใจออกจากบ้าน เขาต้องได้รับประสบการณ์ที่ดี ในใจเราวางแผนว่าอยากทำ Tea Omakase เสิร์ฟกับขนมและอาหารให้มากขึ้น แล้วก็ทำชา Customized สำหรับลูกค้าบุคคลให้มากขึ้นด้วยค่ะ”

Termtem Studio ทอผ้าไหมไทยด้วย Passion ที่แรงกล้า

TERMTEM STUDIO - Sansiri blog

จากจุดเริ่มต้นเพียงแค่คุณแพรวา รุจิณรงค์ ต้องการเติมเต็มสกิลด้านการทอผ้าของตัวเอง สู่สตูดิโอที่ช่วยเติมเต็มทั้งความรู้ ทักษะ และเทคนิคให้กับ Textile Designer มากมาย จนกลายเป็น TERMTEM STUDIO (เติมเต็ม สตูดิโอ) สังคมที่กลมกล่อมไปด้วยคนที่มี Passion เดียวกัน

Who We Are ตัวตนของแบรนด์

“เราเป็นสตูดิโอทอผ้าที่เฉพาะทาง เราต้องการคนที่อยากเรียนรู้จริงๆ เหมาะกับคนที่เรียนรู้ลึก เราเลือกเส้นไหมจากชุมชน ย้อมสีเอง ปั่นหลอดด้วยมือ เราแชร์ Energy ให้กันและกัน เป็นเหมือนครอบครัว Textile Design”

What We Do สิ่งที่แบรนด์ทำ

“เราแบ่งออกเป็น 3 แกนหลักๆ ก็คือ 1. มีคลาสสอนทอผ้า 2. มีการร่วมงานกับดีไซเนอร์หรือเพื่อนๆ ที่ต้องการทดลอง Prototype ใหม่ๆ และ 3. มีโปรดักต์เด่นเป็นเส้นไหมย้อมสีธรรมชาติ เราเรียนรู้ว่าเราเป็นต้นน้ำที่ขาย Material ได้ดี ลูกค้าก็ซื้อไปทำงานปัก ซื้อไปตกแต่งเสื้อผ้า แล้วก็มีแมสก์กับผ้าคาดผมที่เพิ่มเข้ามา คอนเซ็ปต์คือเศษผ้าที่อยู่ในบ้าน เศษมัดหมี่ เอาหัวมาทอใหม่ เป็นสีแปลกๆ บ้าง ผสมบ้าง โมโนโทนบ้าง ซึ่งในงาน #WinterMarketFest ก็จะมี Gift Set สำหรับการปักผ้าไปขายด้วยค่ะ”

What We Believe In ความเชื่อของแบรนด์

“เราต้องการให้คนเลือกในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ อย่างการทอผ้าต้องใช้ความอดทนมากๆ ถ้าใคร Passion ไม่เข้มข้นจริงๆ ไม่ถึงจริงๆ ก็อาจจะล้มเลิกไปเลยก็ได้”

Then Now วันนั้น & วันนี้ แบรนด์เติบโตอย่างไร

“5 ปีที่ผ่านมาเราเติบโตแบบค่อยๆ เดิน ไม่ได้รวดเร็วอะไรมากมาย เราเป็นสตูดิโอที่สร้าง Passion ให้คนอื่นและตัวเอง เปิดโอกาสและพูดความจริง อย่างการทอผ้าไทยไม่ได้เป็นอะไรที่เข้าใจยาก ไม่ได้ต้องขึ้นหิ้ง ไม่ได้จำกัดให้ตัวเองเป็นใคร จากสมัยก่อนทำคนเดียว ทุกวันนี้มีทีมอีก 6 คน”

Where We Head To อนาคตของแบรนด์

“เราอยากให้ Textile Designer มีพื้นที่ได้ทำงาน อยากเปลี่ยนภาพจำที่ว่าสาวทอผ้าต้องเป็นสาวเรียบร้อย มัดผมมวย ให้เป็นผู้หญิงที่มีความอดทน ประณีต แต่มี Passion ใน Textile จริงๆ และในอนาคตอีก 5 ปี เราจะเปิดสตูดิโอใหญ่ขึ้นที่นนทบุรี มีโรงย้อมสี มีบ่อบำบัด มีการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่านี้ อาจจะมีพื้นที่ให้ดีไซเนอร์มาทำงานกับเรา แล้วก็อาจจะมีโฮสเทลสำหรับคนที่อยากมาเรียนรู้การทอผ้าด้วย”

Kad Kokoa โกโก้เชียงใหม่ คว้ารางวัลระดับโลก

Kad Kokoa - Sansiri blog

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าคู่รักผู้ก่อตั้ง Kad Kokao (กาด โกโก้) คือคุณต้า-ณัฐญา และคุณต้น-ปณิธิ ชุณหสวัสดิกุล ผันตัวจากอาชีพนักกฎหมายมาทำช็อกโกแลต โดยเริ่มจากศูนย์ เรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเอง บินไปศึกษาที่สิงคโปร์และฮาวาย และพัฒนาโกโก้ไทยจนได้รับรางวัลระดับโลกการันตี

Who We Are ตัวตนของแบรนด์

“กาด โกโก้ เกิดจากการที่เรามีที่อยู่ที่เชียงใหม่ ความจริงคือเราซื้อไว้รอเกษียณจากงานกฎหมาย แต่ระหว่างนั้นก็คิดว่าต้องทำอะไรให้พื้นที่ตรงนี้มันงอกงามด้วย ก็เลยเลือกปลูกโกโก้ ซึ่งพอปลูกแล้วมันไม่ใช่ผลผลิตที่ซื้อมาขายไป เราต้องต่อยอด ก็เลยเริ่มศึกษาตั้งแต่นั้นมาค่ะ”

What We Do สิ่งที่แบรนด์ทำ

“ปัจจุบันนี้เรามี Single Origin Dark Chocolate ทั้งหมด 4 ตัว แต่ละตัวเป็นเมล็ดโกโก้จาก 4 จังหวัด มีเชียงใหม่ ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ และจันทบุรี ทุกครั้งที่ทานก็คือเมล็ดโกโก้ที่เกษตรกรไทยเป็นคนปลูกค่ะ”

What We Believe In ความเชื่อของแบรนด์

“มันคือการเปิดโอกาสให้โกโก้ไทยเป็นที่รู้จักในระดับสากล เราไปเรียนเรื่องโกโก้ที่สิงคโปร์และฮาวาย คนสอนก็ยังบอกเลยว่าไม่เคยรู้มาก่อนว่าที่ไทยมีโกโก้ เราเลยมองว่าเป็นเรื่องของโอกาสมากกว่า ในมุมหนึ่งก็เหมือนงาน #WinterMarketFest ที่เปิดโอกาสให้แบรนด์ใหม่ๆ แบรนด์เด็กๆ มีพื้นที่และมีตัวตนมากขึ้น”

Then Now วันนั้น & วันนี้ แบรนด์เติบโตอย่างไร

“เราว่ามันคือการก้าวออกจาก Comfort Zone เพราะการทำช็อกโกแลตมันยากมาก คือมันไม่มีใครรู้จักเลย ยิ่งเราไม่ได้มีพื้นฐานด้านเชฟ ด้านการทำอาหารมาก่อน เราต้องเรียนทุกอย่างด้วยตัวเอง ใช้เวลาประมาณ 2 ปีก่อนจะเปิดแบรนด์ ตอนที่เมล็ดโกโก้ของเราชนะรางวัล เรายังไม่มีร้านเลย แต่ตอนนี้เรามีร้าน มีแบรนด์ และมีช็อกโกแลตแล้ว”

Where We Head To อนาคตของแบรนด์

“คนจะชอบคิดว่าโกโก้ไทยรสชาติแย่ ทำไปก็สู้เจ้าอื่นไม่ได้หรอก แต่เราไม่คิดแบบนั้น เราว่า Craft Chocolate มันเป็นเรื่องใหม่มากๆ ในไทย เราใช้วัตถุดิบแค่ 2 อย่างในการทำช็อกโกแลต ก็คือเมล็ดโกโก้และน้ำตาลออร์แกนิค เป็นรสชาติที่ไม่ได้ผ่านการปรุงแต่ง เราอยากบอกเล่าสิ่งนี้ อยากให้คนรู้จักและยอมรับโกโก้ไทยให้มากขึ้นค่ะ”

Kanz by Thaitor อนุรักษ์ผ้าบาติกเมืองแพร่ ส่งเสริม Slow Fashion

Kanz by Thaitor - Sansiri blog

Kanz by Thaitor (กานต์ บาย ไททอ) เป็นแบรนด์รุ่นลูกที่ก่อตั้งโดยคุณกิ๊ก-กานต์ศิริ พิทยะปรีชากุล ดีไซเนอร์ผู้ลงมือรีแบรนด์และสืบทอดแบรนด์เสื้อผ้าของครอบครัว อนุรักษ์ผ้าบาติกเมืองแพร่สืบต่อไป

Who We Are ตัวตนของแบรนด์

“แบรนด์ของเราทำเสื้อผ้า Slow Fashion ที่สานต่อจากแบรนด์เก่าของพ่อแม่ ทุกคนในครอบครัวทำกันเอง ทำผ้า ตัดเย็บ ดีไซน์ เป็นผ้าบาติกที่ทำเองทั้งหมด ผสมกับผ้าไทยจากภาคต่างๆ เป็นงานทอของคนรุ่นใหม่ ให้คนรุ่นใหม่ใส่ผ้าไทยมากขึ้น”

What We Do สิ่งที่แบรนด์ทำ

“ตอนนี้มีเฉพาะเสื้อผ้า แต่ว่าเราก็เคยทำของตกแต่งต่างๆ โชว์ในงาน Chiang Mai Design Week แล้วที่บ้านของเราเปิดโฮสเทล Homelynestphrae พวกผ้านวม ปลอกหมอน เราก็ทำกันเองทั้งหมดค่ะ”

What We Believe In ความเชื่อของแบรนด์

“เราเป็นแบรนด์เล็กมากๆ เป็นการทำงานร่วมกันของทุกคนในครอบครัว เราเชื่อว่า Slow Fashion มันยั่งยืน มันทำให้คนเข้าใจงานคราฟต์มากขึ้น พอคนเข้าใจกระบวนการมากขึ้น เขาก็จะให้คุณค่ากับงาน อย่างผ้าทอต้องรอ 4-5 เดือน คุณพ่อก็ค่อยๆ ทำผ้าบาติกวันละชิ้นสองชิ้น เราค่อยๆ ทำไปทีละสเต็ป เราไม่ได้ทำทีละเยอะๆ แต่ละตัวก็ไม่เหมือนกัน มันเป็นงานมือทั้งหมด ซึ่งทุกๆ ชิ้นจะเป็น Masterpiece มีความพิเศษในตัวมันเอง”

Then Now วันนั้น & วันนี้ แบรนด์เติบโตอย่างไร

“ย้อนกลับไปสมัยที่พ่อแม่ทำแบรนด์เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว คนซื้อมีแต่ต่างชาติ เพราะว่าคนไทยไม่เข้าใจงานเรา แต่พอเราจบมาก็รีแบรนด์ นับหนึ่งใหม่ เปิดตลาดใหม่ ลูกค้ากลุ่มใหม่เป็นคนไทย เราก็ได้เรียนรู้ว่าต้องทำยังไงให้ไปต่อได้ เราว่าแบรนด์มันโตขึ้นทุกปี จากแรกๆ เป็นผ้าสีธรรมชาติ เน้นขายวัยรุ่นวัยทำงาน พอออกงานไปเรื่อยๆ เข้าโครงการต่างๆ ก็ทำให้เราโตขึ้น เริ่มจะเป็นที่รู้จักมากขึ้น จนแบรนด์มี Signature มีเอกลักษณ์ของตัวเอง คนเห็นแล้วรู้ว่าเป็นงานของเรา”

Where We Head To อนาคตของแบรนด์

“ในอนาคตเราอยากขยับขยายไปตลาดต่างประเทศ เรามีแผนจะร่วมงาน Collab กับแบรนด์อื่นๆ ให้หลากหลายมากขึ้น แล้วก็อยากดึงคนในชุมชนมาทำงานกับเรา ให้คนในชุมชนมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์งานกับเรา แน่นอนว่ามันต้องใช้เวลา ต้องพยายามค่อยๆ ให้เขาเข้าใจในสิ่งที่เราอยากจะทำค่ะ

รับรองเลยว่างาน Winter Market Fest “Live and Let’s Grow” ในปีนี้ จะอัดแน่นไปด้วยร้านรวงต่างๆ กว่า 80 ร้านจากทั่วประเทศ ทั้งงานคราฟต์ เครื่องแต่งกาย ของใช้กระจุกกระจิก รวมถึงอาหารและเครื่องดื่ม มาพบปะและอุดหนุนได้ที่โซน HEART & SOUL MADE ได้ตลอดทั้ง 2 วัน และสำคัญที่สุด! อย่าลืมพกภาชนะใส่อาหารกับเครื่องดื่ม และนำถุงผ้ามาเองจากที่บ้าน ลดการสร้างขยะและสร้างจิตสำนึกที่ดีในการรักษาสิ่งแวดล้อม หรือใช้ภาชนะของร้านค้าที่เป็น Compostable ย่อยสลายได้ในธรรมชาติ 100% สนับสนุนโดย GC

และพิเศษสุดๆ สำหรับลูกบ้านแสนสิริ สามารถขอรับริสแบนด์ SANSIRI FAMILY ที่จุดทางเข้างาน เพื่อรับส่วนลดเพิ่ม On Top อีก 5% เมื่อใช้จ่ายที่ร้านค้าและกิจกรรมที่ร่วมรายการ

อย่าลืมจองคิวชวนเพื่อนสุดซี้ จูงมือครอบครัว ควงแขนคนพิเศษ มาสร้างช่วงเวลาดีๆ ส่งท้ายปีไปด้วยกันที่ Winter Market Fest “Live and Let’s Grow” วันที่ 19-20 ธันวาคม 2563 ณ T77 Community ซอยอ่อนนุช 1/1 ที่เดิม! ไม่อยากพลาดทุกข่าวสาร กด Going อีเวนต์เพจไว้ได้เลยที่ siri.ly/WinterMarketFest_Event

CONTRIBUTOR

Related Articles

Winter Market Fest

เลข 7 ในตำนาน กับสิ่งมหัศจรรย์ของ Winter Market Fest #7

ว่ากันว่าช่วงเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ! โดยเฉพาะความสุขชวนยิ้มกว้างที่งาน Winter Market Fest เทศกาลช้อปเพลิน เดินชิลล์ ต้อนรับลมหนาวแห่งปีที่ใครไม่ไปถือว่าพลาดมาก เห็นเลข 7 ในตำนานแบบนี้ Winter Market Fest #7 ก็ไม่ได้มาแบบธรรมดาๆ เหมือนกันนะ เพราะครั้งนี้เรียกได้ว่าจัดเต็ม! ช่วงสุดท้ายของปีมาถึง หลายๆ

บันทึกบทที่ 5 ‘Winter Market Fest’ ทุกอย่างเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือความโปร

ผ่านมาเป็นครั้งที่ 5 กับเทศกาลช้อปเพลิน เดินชิลล์ จากแสนสิริ งานที่เป็น Talk of the town มาหลายปี และครั้งล่าสุดได้ถูกจัดขึ้นในคอนเซ็ปต์ ‘มหัศจรรย์เมืองคริสต์มาส’  ลงทุนเนรมิต T77 ให้กลายเป็น X’Mas Town ที่สดใส นอกจากบรรยากาศสนุกสนานและความอบอุ่นภายในงานที่ไม่เคยตกหล่นแล้ว

ปลุกความเด็กในตัวคุณที่งาน Winter Market Fest #5

เมื่อเราโตเป็นผู้ใหญ่ ความเป็นเด็กในตัวก็ยังคงไม่ได้หายไปไหน เพียงแค่ถูกซุกซ่อนเพราะภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ  ซึ่งทำให้ความสดใสในเยาว์วัยหายไป แต่ถ้าได้มา “Winter Market Fest #5” ในปีนี้ รับรองเลยว่าความเป็นเด็กและจินตนาการสนุกๆ ที่มีจะต้องถูกปลุกให้กลับขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยบรรยากาศงาน Festive สุดฮิปที่จะเติมเต็มความสดชื่นให้ชีวิตผู้ใหญ่ที่เหนื่อยล้ามาทั้งปี ได้ชาร์จพลังแบบเด็กๆ อย่างเต็มที่ มีความสุขกับเรื่องง่ายๆ ยิ้มกับเรื่องเล็กๆ ให้ชีวิตสดชื่นอีกครั้ง