“การกอด”
การแสดงความรักที่เรียบง่าย
ยาวิเศษที่ช่วยเยียวยาร่างกาย

“การกอด” เป็นการแสดงความรักที่เรียบง่ายและแสนพิเศษ
และยังเป็นยาวิเศษที่ช่วยเยียวยาร่างกาย
และฟื้นฟูจิตใจได้

ทุกคนคิดว่าการกอดสำคัญไหมคะ? การกอดเป็นการแสดงความรัก ให้ความอบอุ่นซึ่งกันและกัน ทำให้ผู้กอดและผู้ถูกโอบกอดรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นใจ เหมือนมีแสงอุ่นๆออกจากตัวของคนคนหนึ่งส่งต่อไปเพื่อโอบกอดหัวใจของใครอีกคน 

ทุกคนรู้ไหมว่าการกอด นอกจากจะส่งผลดีต่อสุขภาพจิตสุขภาพใจแล้ว ยังส่งผลดีต่อสุขภาพกายของเราด้วย การกอดจึงเปรียบเสมือนยาวิเศษ เป็นภาษากายที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังที่ทำให้ทุกคนที่ได้รับการโอบกอดรู้สึกดีและยังบรรเทาอาการเกิดโรคต่างๆ ทางร่างกายได้อีกด้วย 

ทุกคนคงจะแปลกใจกันใช่ไหมคะว่าแค่กอดจะเยียวยาร่างกายและจิตใจของเราได้จริงๆ หรอ ไม่ว่าจะเป็นความเครียดหรือความวิตกกังวล แต่ที่น่าแปลกใจ คือมีงานวิจัยหลายชิ้น ระบุว่า การกอดลดความเสี่ยงของการเกิดหวัดได้ อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันทั้งร่างกาย ลดความดันในเลือด ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ ฯลฯ 

วันนี้ Mental Life by Chanisara จะชวนทุกคนมาหาคำตอบกันว่าการกอดจะเยียวยาร่างกายและจิตใจของคนเราได้อย่างไรค่ะ

hug

การกอดบรรเทาอาการหวัด

การกอด ภาษาที่แสดงออกทางร่างกาย ที่ไร้ซึ่งเสียงพูดแต่ทำให้รู้สึกถึงความอบอุ่นและอ่อนโยนที่โอบกอดหัวใจของเราไว้ อย่างทรงพลัง เปรียบเสมือนยาวิเศษที่สามารถรักษาเยียวยาโรคทางกายได้อย่างไม่น่าเชื่อ อย่างเช่นลดความเสี่ยงในการเป็นหวัด และบรรเทาอาการหวัดได้ แต่เราต้องบอกก่อนนะว่า การกอดไม่ได้รักษาอาการหวัดได้โดยตรง แต่มีส่วนช่วยอย่างไร วันนี้เราจะมาบอกทุกคนกัน

จากงานวิจัยที่มีชื่อว่า “Does hugging provide stress-buffering social support? A study of susceptibility to upper respiratory infection and illness” ของ Sheldon Cohen ที่ถูกตีพิมพ์ลงวารสาร Psychological Science พบว่าการกอดช่วยให้ความเครียดของเราลดลง นั่นทำให้สามารถลดการติดเชื้อไวรัสได้ถึง 32% เลยทีเดียว 

การกอด จึงทำให้ลดการติดเชื้อหวัดลง เพราะหวัดมาจากเชื้อไวรัสนั่นเองค่ะ

สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่า การกอดสามารถลดการติดเชื้อและบรรเทาอาการเกิดหวัดได้จริง แต่ไม่สามารถทำได้โดยตรง เพราะการกอดไม่ใช่ยาฆ่าเชื้อไวรัส แต่การกอดทำให้ความเครียดของเราลดลง ส่งผลให้เราติดหวัดน้อยลง เพราะเมื่อเรามีความเครียด ภูมิคุ้มกันในร่างกายจะลดลงทำให้เราเป็นหวัดได้ง่ายขึ้น แต่หากเรากอดใครสักคนบ่อยๆ จะสามารถบรรเทาความเครียดได้ และจะทำให้โอกาสของการเกิดหวัดน้อยลงนะคะ หรือหากเราเป็นหวัดเราก็อาจจะเป็นไม่รุนแรง เพราะเรายังมีภูมิคุ้มกันนั่นเองค่ะ

การกอดช่วยลดความดันในเลือดและลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ

ทุกคนรู้ไหมว่า การกอดสามารถลดความดันในเลือดได้ด้วยนะ โดยจากงานวิจัยที่มีชื่อว่า “More frequent partner hugs and higher oxytocin levels are linked to lower blood pressure and heart rate in premenopausal women” ของ  University of North Carolina ที่ถูกตีพิมพ์ลงวารสาร Biological Psychology โดยได้ทำการทดลองกับผู้หญิงที่ใกล้จะหมดประจำเดือน เพราะ คนกลุ่มนี้จะมีการหลั่งฮอร์โมนเอสโตรเจนสม่ำเสมอซึ่งฮอร์โมนเอสโตรเจน มีผลต่อการหลั่งฮอร์โมน “ออกซิโทซิน” นั่นเองค่ะ

และจากการวิจัยพบว่า เมื่อคู่รักกอดกันจะทำให้ความดันในเลือดและอัตราการเต้นของหัวใจลดลงได้จริง 

 หลายคนคงสงสัยกันใช่ไหมคะว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่า เวลาที่เราได้กอดคนที่เรารัก สมองจะหลั่งฮอร์โมนที่มีชื่อว่า “ออกซิโทซิน” ออกมามากขึ้น จะทำให้หลอดเลือดขยายตัว ซึ่งส่งผลให้เลือดหมุนเวียนดีขึ้น หัวใจเต้นช้าลงความดันเลือดจึงลดลงนั่นเองค่ะ 

แล้วทุกคนรู้ไหมคะว่า ความดันสูงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคหัวใจเช่นกัน  เพราะฉะนั้นหากความดันในเลือดลดลงความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจก็ลดลงเช่นกันค่ะ 

การกอดบรรเทาความเจ็บปวด

การกอด ทำให้ความเครียดภายในจิตใจของเราลดลงและสามารถบรรเทาความเจ็บปวดของเราได้จริง จากงานวิจัยที่มีชื่อว่า Oxytocin enhances the pain-relieving effects of social support in romantic couples กล่าวว่า เมื่อเรากอดคนที่รักสมองจะหลั่งฮอร์โมนออกซิโทซินออกมา ซึ่งจะทำให้ความเจ็บปวดของเราลดลง ถ้าไม่รู้จะกอดใคร กอดตัวเองก็ช่วยได้นะคะ

ถ้าไม่รู้จะกอดใครให้เราลองกอดตัวเองดู 

เพราะการกอดตัวเองสามารถเยียวยาจิตใจของเราได้เหมือนกันนะ ลองกอดตัวเองด้วยท่า  Butterfly Hug เป็นท่าที่สามารถช่วยผู้ที่มีบาดแผลทางด้านจิตใจ และคนอื่นๆ ที่อยากคลายเครียด หรือคายความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ โดยวิธีนี้ถูกค้นพบโดยคุณ Lucina Artigas และ Ignacio Jarero แพทย์ปฏิบัติการ ซึ่งเป็นเทคนิค EMDR (Eye Movement Desensitization and Reprocessing)  ซึ่งเป็นการบำบัดทางใจชนิดหนึ่ง โดยท่า Butterfly Hug เป็นการกอด ปลอบโยน และมอบความรักให้แก่ตัวเอง 

วิธีการคือยกมือสองข้างแล้วไขว้กันด้านหน้า และให้มืออยู่บนหัวไหล่ร่องกระดูกไหปลาร้าพอดีจากนั้นลองเคาะหัวไหล่และหลับตาไปด้วย ขณะทำให้หลับตา เพื่อที่จิตใจจะได้สงบ และคิดถึงเรื่องที่ทำให้เราผ่อนคลาย จากนั้นก็ค่อยๆ ลืมตาจะทำให้เราผ่อนคลายมากขึ้นนั่นเองค่ะ 

เพราะเวลาเรากอดตัวเอง สมองจะหลั่งฮอร์โมนออกซิโทซิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความรัก ออกมาเช่นกัน เท่านี้เราก็เยียวยาจิตใจของเราให้กลับมาสงบและทำให้ความเครียดลดลงได้แล้วค่ะ ทุกคนอย่าลืมไปทำตามกันนะคะ

“การกอด” จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่เยียวยาร่างกายและจิตใจของเราได้ค่ะ อย่าลืมไปกอดตัวเองหรือกอดคนที่เรารักเยอะๆ นะคะ


Source

https://www.psychologytoday.com/us/blog/close-communication/202205/4-significant-physical-benefits-of-hugging  

https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC4323947/

https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/15740822/ 

https://vt.tiktok.com/ZSAExvCaW/ 

https://www.sanook.com/health/23569/ 

Related Articles

คำพูดที่รุนแรง ทำให้อาจจะเป็นคน Red flags โดยไม่รู้ตัว

คำพูดมีค่ากว่าที่คิด เพราะ “คำพูด”  เป็นประตูที่ก้าวผ่านเข้าไปสู่หัวใจ สามารถสร้างบาดแผลในใจ และปลุกพลังชีวิตให้กลับมาลุกขึ้นสู้  ทุกคนรู้ไหมคะว่าคำพูดที่ทุกคนพูดออกไป มีคุณค่ามากกว่าที่ทุกคนคิด เพราะคำพูดเหมือนเป็นประตูที่ก้าวผ่านเข้าไปสู่หัวใจ คำพูดเป็นสิ่งที่ทรงพลังเพราะมีผลกระทบต่อจิตใจ ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจ และการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา และบางครั้ง คำพูดเพียงแค่ประโยคเดียวอาจจะทำให้คนฟังจำไปตลอดชีวิตเลยก็ได้ค่ะ คำพูดจึงไม่ได้เป็นเพียงเสียงที่เราเปล่งออกไป แต่คำพูดเป็นกระจกสะท้อนความคิด ความเชื่อ ที่อยู่ภายในจิตใจของเราค่ะ มีใครเคยพูดโดยใช้ถ้อยคำรุนแรงออกไป แล้วมาคิดได้ทีหลังว่าเราไม่น่าพูดเช่นนี้ออกไปเลยไหมคะ? 

5 เรื่องที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ เกี่ยวกับโรคหัวใจ

สุขภาพของเราทุกคนเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม ทุกคนรู้ไหมคะว่าโรคหัวใจนับว่าเป็นโรคที่ไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่มีคนเป็นโรคนี้จำนวนมาก โรคหัวใจมักจะเป็นโรคที่เราอาจจะเป็นโดยไม่รู้ตัว เพราะไม่มีสัญญาณเตือนภัยของโรคที่ชัดเจนนัก หลายคนอาจจะคิดว่า คนที่เป็นส่วนมากจะเป็นคนที่มีอายุมากแล้ว แต่แท้จริงแล้วโรคหัวใจเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แม้กระทั่งคนที่อายุไม่มาก หรืออยู่ในช่วงวัยทำงาน ก็สามารถเป็นโรคหัวใจได้ค่ะ องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ได้ระบุว่า ในปี ค.ศ. 2022 มีการคาดการณ์ว่า

Overthinking

Overthinking คิดแบบโอเวอร์จนทำลายสุขภาพใจ

ปลดปล่อยตัวเองจากการคิดมาก ด้วยการมองโลกตามความเป็นจริง  ไหนใครเป็นมนุษย์ที่คิดมากบ้างคะ? เราเชื่อว่าหลายคนเป็นหนึ่งในนั้น เพราะในแต่ละวันเรามีเรื่องให้คิดและเรื่องที่จะต้องตัดสินใจเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องครอบครัว ความสัมพันธ์กับคนรัก หรือแม้แต่เรื่องที่เราต้องเผชิญอยู่ในชีวิตประจำวัน  หลายคนคงเคยได้ยินว่า เมื่อคนเราคิดมาก ก็ให้ปล่อยวางสิ เดี๋ยวเราก็จะรู้สึกดีขึ้น แต่ในความเป็นจริงนั้น “การปล่อยวาง” จากสิ่งที่เรากังวลหรือสิ่งที่เรากำลังคิดมากอยู่นั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมากใช่ไหมล่ะคะ เราจึงต้องค่อยๆ ลองฝึกปล่อยวางและยอมรับความจริงค่ะ “การคิดมาก” เกิดขึ้นจากการที่เราคิดวนไปวนมาเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งในด้านลบซ้ำๆ