เคยไหมที่อยู่บ้านคนเดียว แล้วเกิดรู้สึกโดดเดี่ยวขึ้นมา ต้องหาทางออกไปพบปะผู้คน นัดเจอกลุ่มเพื่อนเพื่อพูดคุยให้คลายเหงา ความรู้สึกแบบนี้อาจเป็นเพราะ “มนุษย์เป็นสัตว์สังคม”
“Man is by nature a social animal; an individual who is unsocial naturally and not accidentally is either beneath our notice or more than human.”
Aristotle, Politics
หลายคนคุ้นเคยดีกับคำกล่าวแสนก้องโลกนี้ ที่ว่า “มนุษย์เป็นสัตว์สังคม” แนวคิดดังกล่าวไม่ได้มาจากใครที่ไหน แต่มาจาก อริสโตเติล (Aristotle) นักปรัชญายุคกรีกโบราณผู้โด่งดังที่เรารู้จักกันดีนี่เอง จากการเป็นผู้จุดประกายให้เกิดการขบคิดและศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติของสิ่งต่างๆ ในโลกใบนี้ และแน่นอนว่ารวมไปถึง “ธรรมชาติของมนุษย์” ด้วยเช่นกัน…
อริสโตเติล ให้แนวคิดไว้ว่า มนุษย์นั้นต้องอยู่ร่วมกันเป็นสังคม เพราะต่างคนต่างต้องพึ่งพาอาศัยกัน ติดต่อสัมพันธ์กัน และทำกิจกรรมร่วมกันอยู่เสมอ จึงจะนำมาซึ่งพลังสร้างสรรค์อันยิ่งใหญ่ได้ เลยไม่น่าแปลกใจว่าอะไรๆ ในโลกนี้จึงไม่ได้สำเร็จได้ด้วยมือของใครคนหนึ่งเพียงคนเดียว เพราะแน่นอน เราคงไม่สร้างอาคารบ้านเรือน ส่งจรวดไปดาวอังคาร หรือเปิดร้านอาหารใหญ่โต…ด้วยตัวคนเดียว
ส่วนใครที่ว่าแนวคิดจากมหาบุรุษผู้ทรงอิทธิพลต่อแนวคิดทุกยุคสมัยอย่างอริสโตเติล…เก่าไปแล้ว ก็ยังต้องยอมรับในญาณวิทยาเชิงสังคม (Social Epistemology) แนวคิดแขนงใหม่ทางปรัชญา ที่ไม่ใช่เพียงค้นหาว่า “ความรู้คืออะไร?” หรือ “เรามีความรู้ได้อย่างไร ติดตัวมาแต่กำเนิด หรือผ่านประสบการณ์?” แต่สนใจใคร่รู้ไปถึงว่า “สังคมเป็นแหล่งที่มาของความรู้ได้ไหมนะ?”
แนวคิดนี้เชื่อว่า “ได้” เพราะเมื่อคนหลายๆ คนมาอยู่รวมกัน ทำอะไรเริ่มกัน จะก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนทัศนคติ และทำให้ผู้คนสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้ เช่น การที่คนถกเถียงกัน และแสดงความเห็นที่แตกต่าง เพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ที่ถูกต้อง และพัฒนาต่อไปเป็นความสร้างสรรค์ทางความคิดในที่สุด
หากมองย้อนไปตั้งแต่การนัดพบปะจิบน้ำชา เพื่อพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกันของผู้คนในอดีต ทอดยาวส่งต่อมาถึงยุคดิจิทัล ที่เกิดปรากฏการณ์รวมกลุ่มของคนที่มีความสนใจเหมือนๆ กันบนโลกออนไลน์ แม้จะไม่รู้จักกันมาก่อน… พื้นที่ที่เกิดขึ้นนี้ ได้กลายมาเป็นพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนความคิด ทัศนคติ และแบ่งปันข้อมูลต่างๆ ที่แต่ละคนมี รวมถึงความรู้ต่างๆ จากสิ่งที่แต่ละคนเชี่ยวชาญ และผ่านประสบการณ์ลองผิดลองถูกมาด้วยตนเอง
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด และเชื่อว่าหลายคนรู้จักเป็นอย่างดี ต้องยกให้เว็บบอร์ด “Pantip” พื้นที่แห่งการแสดงความคิดเห็นที่หลากหลาย ที่บางคนถึงขั้นกลายเป็น “นักสืบพันทิป” ชั่วข้ามคืน จากการคอยค้นคอยหาข้อเท็จจริง มาแชร์กัน หักล้างกัน และอัปเดตกัน
Facebook เองก็ไม่น้อยหน้า ทั้ง Fanpage และ Group ต่างๆ เพราะแต่แรกเริ่ม ก็ตั้งมาเพื่อวัตถุประสงค์ของการเป็น Community ให้คนได้แชร์ประสบการณ์ร่วมกันอยู่แล้ว เหมือนกับฟีเจอร์ใหม่ของ Line Application ที่เรียกว่า “Line Square” ซึ่งดีไซน์มาให้เป็นที่รวมตัวของผู้คนในการพูดคุยเรื่องราวต่างๆ โดยมีจุดเชื่อมโยงคือความหลงใหลในเรื่องเดียวกัน YouTube ยิ่งแล้วใหญ่ วันนี้ใครอยากทำอาหารเมนูอะไร ไม่ต้องนั่งเปิดตำราหาเอง หรือนั่งรอรายการทำอาหารจากเชฟผู้เชี่ยวชาญหน้าทีวีแล้ว แค่ search หาคลิปเมนูอาหารที่ต้องการ ก็กลายเป็นเชฟมือสมัครเล่นได้ แถมบางครั้งยังได้เคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ จากหลายคลิปผสมกัน ไม่ต้องคอยลองผิดลองถูกเองให้เสียเวลา
ไม่ใช่เพียงแค่โลกออนไลน์หรือโลกของโซเชียลมีเดียเท่านั้น ที่เต็มไปด้วยพลังงานแห่งการแลกเปลี่ยนทางความคิดและแรงบันดาลใจ แต่ทุกวันนี้เรายังได้เห็นการสร้างสรรค์ Community area มากมาย ที่แปลงร่างเป็นพื้นที่ให้ผู้คนได้มารวมตัวสังสรรค์ ต่อยอดความรู้ที่มี แบ่งปันความคิดอย่างสร้างสรรค์
ตัวอย่างชัดเจนที่สุดก็ต้องยกให้เทรนด์ Co-Working Space ที่ได้แตกแยกย่อยออกเป็นรูปแบบต่างๆ ที่ตอนนี้หลากหลายกว่าเดิมเสียอีก แถมยังไม่ใช่แค่สถานที่เพื่อทำงานนอกบ้านแล้ว แต่ไปไกลถึงขั้นมีตู้เกมให้เล่นและห้องออกกำลังกายให้ใช้ยามต้องการพักผ่อน นี่ก็เพราะ Co-Working Space หลายแห่งในปัจจุบันหันมาให้ความสำคัญกับไลฟ์สไตล์มากขึ้น จึงปรับตัวเองสู่การเป็น Lifestyle Co-Working Space ที่ตอบรับและสอดรับกับชีวิตผู้คนมากกว่าเดิม โดยเน้นให้ความสำคัญกับแง่มุมอื่นที่นอกเหนือจากการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการจัดคลาส workshop ต่างๆ การเรียนโยคะ มีบริการ Nap Pod เพื่อชาร์จพลังระหว่างทำงาน มีพื้นที่สำหรับสัตว์เลี้ยงคู่ใจ หรือแม้แต่มีเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการหน้าใหม่ เหล่านี้ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าผู้คนต้องการความเป็นสังคมและพื้นที่ในการเข้าถึงร่วมกัน พร้อมกับมองหาไลฟ์สไตล์ส่วนรวมมากขึ้นเรื่อยๆ
นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ในรูปแบบ Lifestyle Community เกิดขึ้นอีกมากมาย ที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้ผู้คนได้มาใช้ในการพบปะสังสรรค์ พูดคุย กิน ดื่ม และใช้ชีวิตร่วมกัน และด้วยความใส่ใจในทุกองค์ประกอบเพื่อเติมเต็มทุกการใช้ชีวิตของแสนสิริ รวมทั้งความตั้งใจที่จะโอบรับไลฟ์สไตล์อันหลากหลายของผู้คนยุคนี้ จึงเป็นที่มาของ SIRI HOUSE แหล่งแฮงเอาท์สุดฮิปแห่งใหม่ ที่จะพาจิตวิญญาณความเป็นสัตว์สังคมที่อยู่ในทุกคนที่มาเยือน ไปค้นพบเรื่องราวใหม่ๆ พร้อมสัมผัสประสบการณ์เก๋ๆ ในพื้นที่ที่ไลฟ์สไตล์ชั้นนำถูกรวบรวมมาไว้ในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นอาหารเลิศรส ร้านค้าสุดชิค แกลเลอรีแสดงงานศิลปะสุดเก๋ ตลอดจนพื้นที่แห่งการเรียนรู้ล้ำสมัย เพื่อให้ผู้คนได้ค้นหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ และเชื่อมต่อกันได้มากยิ่งขึ้น
โดยได้เปิดตัวไปแล้วเป็นแห่งแรกที่ Dempsey Hill ประเทศสิงคโปร์ มาคราวนี้ แสนสิริ เตรียมเปิดบ้านแห่งใหม่ ณ ซอยสมคิด ย่านชิดลม อย่าง SIRI HOUSE at Somkid ต้อนรับทุกคนที่แวะเวียนเข้ามาอย่างอบอุ่น เสมือนบ้านหลังเล็กแสนผ่อนคลายใจกลางเมืองให้คุณได้มีโอกาสเดินเท้าเปล่าสัมผัสพื้นหญ้า นั่งเอาเท้าจุ่มน้ำ หรือจัดปาร์ตี้บาร์บีคิวริมสระน้ำแบบชิลล์ๆ ที่แห่งนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงสถานที่สำหรับกิน ดื่ม เที่ยวเท่านั้น แต่เป็นสถานที่สำหรับการฟื้นคืนพลังชีวิต ปลุกพลังความสร้างสรรค์ และสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ให้กับทุกคน
“การอยู่อาศัยในยุคโมเดิร์นนั้นต้องโอบรับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ความมุ่งมั่นของเราก็คือการคัดสรรสิ่งที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นด้านอาหาร ดนตรี ศิลปะ และวัฒนธรรม เพื่อทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้”
อู้ พหลโยธิน