เรื่องราวของ “เศรษฐี” มักสร้างแรงบันดาลใจให้กับเราได้เสมอ
การที่ใครคนหนึ่งจะเป็นเศรษฐี หรือมหาเศรษฐีได้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
คนเหล่านั้นต่างต้องทำงานที่ใช่เพื่อให้ตนเองประสบความสำเร็จ
เราจะมาเรียนรู้กันในบทความนี้ บุคคลใดที่ได้รับเรียกเป็น เศรษฐี (Millionaires)
คือ คนที่มีความมั่งคั่ง 1 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 30 ล้านบาทขึ้นไป
(อ้างอิง cnbc.com)
สำหรับประเทศที่นิยามความเป็นเศรษฐีขึ้นมาอย่างเป็นทางการคงหนีไม่พ้นสหรัฐอเมริกา ลองมาดูกันว่า ประเทศอเมริกามีผู้คนที่จัดได้ว่าเป็นเศรษฐีกี่คน
ตัวเลขจาก Spectrem Group ได้รายงานว่า จำนวนเศรษฐีที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี โดยถ้านับตั้งแต่ปี 2008 ซึ่งเป็นปีที่เกิดวิกฤติ Subprime Crisis ในอเมริกาทำให้จำนวนเศรษฐีลดลง แต่หลังจากนั้นก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนปี 2017 หรือปีที่แล้วมีจำนวนเศรษฐีในอเมริกาเกือบ 12 ล้านคน แต่ก็ยังถือว่าเป็นสัดส่วนที่ยังน้อยเมื่อเทียบกับประชากรทั้งหมดของประเทศ
หากคิดถึงเศรษฐีทั้งโลก ประชากรทั่วโลกมี 7,600 ล้านคน แต่มีเพียง 36 ล้านคน หรือแค่ 0.47% ที่เป็นเศรษฐี คือ มีเงิน 1 ล้านแรกในชีวิต
เรื่องราวของมหาเศรษฐี
เมื่อเรารู้เรื่องราวของเศรษฐีกันไปแล้วมาดูเรื่องราวของมหาเศรษฐีกันบ้าง สำหรับมหาเศรษฐี หรือ Billionaires สำหรับบุคคลที่มีสินทรัพย์รวมมูลค่าเกิน 1,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 33,000 ล้านบาท ซึ่ง Millionaire ที่มีทั้งหมด 36 ล้านคน จะมีเพียงแค่ 2 พันกว่าคน ที่สามารถก้าวเข้าสู่การเป็นมหาเศรษฐี หรือ Billionaire จากคนธรรมดาจะเป็น Millionaire นั้นยากแล้ว การจะก้าวไปเป็นมหาเศรษฐียิ่งยากกว่าหลายเท่า (ข้อมูล , อภิมหาเศรษฐีบนโลกใบนี้ แหล่งข้อมูล Wikipedia)
ข้อคิดจากมหาเศรษฐีผู้ประสบความสำเร็จ นั้นมีค่าแก่การศึกษาเสมอ แม้เราอาจไม่ได้เป็นถึงมหาเศรษฐี แต่เราก็สามารถเป็นเศรษฐีได้ด้วยข้อคิดเหล่านี้ เราจะมาติดตามกันจากบุคคลตัวอย่างเหล่านี้
วอเรนต์ บัฟเฟตต์
“ไอเดียการลงทุนมักจะมาจากความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน”
วอเรนต์ บัฟเฟตต์เป็นอภิมหาเศรษฐีเพียงคนเดียวที่ไม่ได้ทำธุรกิจโดยตรง แนวคิดสร้างความร่ำรวยของบัฟเฟตต์ ค่อนข้างจะเรียบง่าย คือ เขาจะซื้อหุ้นลงทุนในระยะยาว และปล่อยให้กิจการเติบโตไปเรื่อย ๆ หากกิจการที่เขาลงทุนเติบโตดี ตัวเขาเองก็จะดีตามไปด้วย ขณะนี้ เขาเป็นเจ้าของบริษัท Berkshire Hathaway ที่มีบริษัทในเครือกว่า 80 บริษัท โดยความมั่งคั่งของบัฟเฟตต์ในปัจจุบันอยู่ที่ 84 พันล้านดอลลาร์
กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ เขาต้องผ่านความผิดพลาด เรียนรู้จากการตัดสินใจผิด ๆ และฟันฝ่าวิกฤติทางด้านการเงิน จนสามารถใช้ความรู้และประสบการณ์ด้านการลงทุนในการคิดวิเคราะห์ และได้รับการขนานนามให้เป็นนักลงทุนในหุ้นคุณค่า หรือ Value Investor ค่ะ
Photograph by Tom Stockill / Redux
เจฟ เบซอส แห่ง Amazon
“ผมรู้ว่า ถ้าผมผิดพลาด ผมจะไม่เสียใจ แต่ผมจะเสียใจแน่นน ถ้าไม่ได้ลงมือทำ”
ในประเทศไทยอาจจะมีหลายคนที่ไม่คุ้นเคยกับร้านค้าออนไลน์อย่าง Amazon แต่คงมีคนเคยสั่งหนังสือออนไลน์ ก็จะคุ้นเคยกับเว็บไซต์ออนไลน์ Amazon ที่ปัจจุบันไม่ได้มีขายเฉพาะหนังสือเพียงอย่างเดียว เจฟ เบซอสเป็นบุคคลที่ร่ำรวยอันดับหนึ่งของโลก โดยมีสินทรัพย์รวมกันกว่า 45.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ แหล่งความมั่งคั่งของเขามาจากเว็บไซต์ Amazon.com และหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์
เบซอสเป็นคนธรรมดา ๆ ทั่วไปที่เป็นลูกจ้างของบริษัทที่มีชื่อเสียง จุดเปลี่ยนของเบซอสเกิดขึ้นตอนอายุ 30 ปี เขาลาออกจากงานที่มีรายได้ดี มาทำตามความฝันของตัวเอง ด้วยการเปิดบริษัทในโรงรถของบ้านพ่อแม่ เพื่อขายหนังสือผ่านอินเตอร์เน็ท สำหรับยุคนั้นถือเป็นเรื่องที่ใหม่มาก ๆ เขาเคยขาดทุนในช่วงวิกฤติฟองสบู่แตกจนแทบล้มละลาย ตอนที่ทำเว็บ Amazon.com เขามีเงินทุนเพียงหยิบมือเท่านั้น (ประมาณ 300,000 บาท) และมีคนเริ่มกิจการเพียงสี่คน แต่ด้วยความมุ่งมั่น เขาจึงยืมเงินจากญาติและธนาคาร รวมถึงขายทรัพย์สินบางส่วน เพื่อทำเว็บให้เป็นจริง ข้อคิดที่ได้จากเขาก็คือ เราต้องทำสิ่งที่แตกต่าง เพื่ออนาคตที่ไม่เหมือนเดิม
บิล เกตส์ เจ้าพ่อ Microsoft
“จงอย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใครก็ตามบนโลก ถ้าคุณทำแบบนั้น คุณกำลังดูถูกตัวเอง”
อภิมหาเศรษฐีคนที่สามที่หยิบยกมาเล่าให้ฟัง และใคร ๆ คงรู้จักเขาเป็นอย่างดี คือ บิล เกตส์ เจ้าพ่อไมโครซอฟต์ หรือระบบปฏิบัติการที่เราใช้กันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ปัจจุบัน เกตส์มีรายได้ และสินทรัพย์รวมเป็นมูลค่ากว่า 9 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยมูลค่าเพิ่มขึ้นทุกปี ความมั่งคั่งของเขาส่วนใหญ่มาจากหุ้นของไมโครซอฟท์ที่มีคนบนโลกใช้เพิ่มขึ้น ทำให้มูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้นตลอดเวลา
เกตส์เองก็เป็นคนที่ออกจากการร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดกลางคัน และสามารถประสบความสำเร็จได้ ช่วงแรกที่เขาออกจากมาหาวิทยาลัยได้เริ่มต้นทำธุรกิจเกี่ยวกับไมโครคอมพิวเตอร์ ซึ่งถือเป็นเรื่องใหม่มากในยุคนั้น และเขายังเคยจับมือกับ สตีป จ๊อป แห่งแอปเปิล เพื่อสร้างคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลอีกด้วย แต่สุดท้ายก็มาลงตัวที่ระบบปฏิบัติการ Window อันโด่งดังนั่นเอง ความไม่ย่อท้อนี้เองที่ทำให้เขาได้รับการจัดอันดับโดยนิตยสารฟอบส์ให้เป็นบุคคลที่ร่ำรวบที่สุดในโลกหลายปีติดต่อกัน และยังได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการอัศวินแห่งจักรวรรดิบริเตน (KBE) จากสมเด็ตพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2
มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก แห่ง Facebook
“อย่าให้ความคิดของคนรอบข้างปิดประตูความคิดสร้างสรรค์ของคุณ”
เชื่อว่า เวลาคนเปิดคอม โน๊ตบุ๊ก หรือใช้มือถือ จะต้องเข้า Facebook กันอย่างแน่นอน และผู้ให้กำเนิดแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมจากทั่วโลก คือ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ที่พลิกโฉมวงการนักธุรกิจด้วยสถิติการเป็นเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุด ซึ่งเขาติดอันดับ Top 100 จัดอันดับโดยนิตยสาร Forbes ทั้งที่อายุเพิ่งจะ 30 ต้น ๆ เท่านั้น ปัจจุบันความมั่งคั่งของ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก อยู่ที่ราว 7.1 หมื่นล้านดอลลาร์เท่านั้นเอง และเขาร่ำรวยติดหนึ่งใน 10 อันดับของบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก
ข้อคิดของมาร์คคงหนีไม่พ้นการทำสิ่งใหม่ ๆ ที่แตกต่างไปจากเดิม โดยเขาหลงใหลเรื่องคอมพิวเตอร์ตั้งแต่เด็ก เมื่ออายุ 10 กว่าปี เขาพัฒนาโปรแกรมแชทให้คุณพ่อใช้ในคลีนิคทันตกรรม ช่วงมัธยมเขากับเพื่อน ๆ เขียนโปรแกรมที่ระบุความชอบของแต่ละคนกับเพลงที่เหมาะสม ชื่อ Synapse พอขึ้นมหาวิทยาลัย เขากับเพื่อน ๆ เริ่มพัฒนาไอเดียจากฐานข้อมูลของนักศึกษามหาวิทยาลัยอาร์วาร์ด และในปี 2004 ก็เป็น TheFacebook.com ซึ่งภายหลังตัดคำว่า The ออก เพื่อให้กระชับ และจำง่ายขึ้น จากนั้น แพลตฟอร์มของเขาก็กลายเป็นพื้นที่ที่เชื่อมต่อหลายล้านคนบนโลกไว้ด้วยกัน
โดนัลด์ ทรัมป์ เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ และประธานาธิปดีแห่งสหรัฐอเมริกา
“หากคิดจะทำอะไร คิดทำการใหญ่ไปเลย”
สำหรับผู้มั่งคั่งคนสุดท้ายที่หยิบยกมาให้อ่านก็กัน เขาผู้นั้นคือ ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ แต่เราจะไม่ได้เล่าเรื่องราวของเขาในการเป็นประธานาธิบดี แต่จะบอกเล่าเรื่องราวการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ของทรัมป์ กัน หลายคนจดจำเขาได้ว่า ทรัมป์เป็นนักธุรกิจที่เกิดและเติบโตในนครนิวยอร์ก ซึ่งเขาเป็นทายาทของเศรษฐีผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เฟรด ทรัมป์ ทรัมป์ได้รับอิทธิพลมาจากคุณพ่ออย่างมาก และเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ตัวยง
ปัจจุบันความมั่งคั่งของเขามาจากอสังหาริมทรัพย์ที่เขาพัฒนาเป็นส่วนใหญ่ โดยการลงทุนของเขากระจายไปหลายพื้นที่ในอเมริกา และไปยังประเทศต่าง ๆ เช่น ในตะวันออกกลาง ในอินเดีย สำหรับทรัมป์ อสังหาริมทรัพย์ คือ สิ้นทรัพย์ที่เป็นรูปเป็นร่าง จับต้องได้ และเขาเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับทำเลมาก ถึงกับว่า ยอมจ่ายมากขึ้น เพื่อให้ได้ทำเลศักยภาพที่โดดเด่น ทรัม์ยึดหลัก 4 ประการในการซื้ออสังหา ได้แก่ วิวต้องดี ทำเลมีชื่อเสียง และเป็นที่รู้จักของคนมีเงิน ทำเลนั้นต้องมีศักยภาพ และเดินทางได้อย่างสะดวกสบาย ส่วนเคล็ดับในการขายนั้น เขาจะทำการตลาดเจาะกลุ่มลูกค้าระดับบน และจูงใจให้เขาเหล่านั้นอยากซื้อสินทรัพย์ของเขา
สำหรับใครที่อยากหาแรงบันดาลใจในการผลักดันตนเองให้ประสบความสำเร็จมั่งคั่ง สามารถอ่านบทความเศรษฐีทั่วโลกเขาลงทุนอะไรกัน และหวังว่า บทความนี้จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับคุณผู้อ่าน และซักวันหนึ่งเราจะประสบความสำเร็จได้บ้าง หากเราเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ และไม่ยอมแพ้ล้มเลิกไปเสียก่อน